ท่ามกลางกระแสช่วงนี้ที่บริการสตรีมมิ่งโซนอเมริกาอย่าง Netflix, HBO และ Disney+ Hotstar กำลังมาแรงและเริ่มทยอยเข้ามาทำการตลาดทีละเจ้าๆ จนเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในบ้านเรา ก็มีสตรีมมิ่งเจ้าหนึ่งที่กำลังบูมในไทย ‘แบบเงียบๆ’ จากการมีซับไทยให้ชมและมีซีรีส์ที่ผลักดันตัวเองจนเกิดกระแสปากต่อปากขั้น talk of the town มาได้พักใหญ่ๆ นั่นคือ Amazon Prime Video สตรีมมิ่งที่มี ‘The Boys’ เป็นหนึ่งในตัวชูโรงอย่างแข็งขันเรื่อยมา
แม้จะไม่รู้จัก ไม่เคยดู หรือไม่สนใจจะดู แต่เชื่อว่าอย่างน้อยๆ ผู้อ่านน่าจะเคยได้ยินกิตติศัพท์และชื่อเสีย(ง) เรียงนามของ The Boys มาบ้าง ด้วยการเป็นซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่ล้อทีม Justice League ของฝั่ง DC Comics ที่มาในแนวโหดเรต R เต็มไปด้วยฉากพ่นคำหยาบคายถี่ๆ รัวๆ, เรื่องเพศกับการใช้สารเสพติดที่โจ่งแจ้ง (พร้อมฉากที่ใครหลายคนอาจจินตนาการไม่ถึง) กับฉากโหดเลือดสาดแบบงัดความโหดมาใช้ไม่พร่ำเพรื่อแต่เมื่อปรากฏแต่ละครั้งถึงกับต้องคิดในใจว่า ‘โหดจริง’ ซึ่งทั้งหมดที่พูดมาคือเอกลักษณ์ของ The Boys ที่ทำได้คงเส้นคงวา และไม่ว่าจะกี่ซีซั่น คนดูก็ไม่เคยชินหรือเดาทางได้สักที
สำหรับซีซั่น 3 ที่เพิ่งจบไปนี้ เป็นซีซั่นที่มีอะไรให้พูดถึงมากมาย และเป็นซีซั่นที่คนที่ดูต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อะไรก็ตามที่ผมกล่าวถึงไปเมื่อกี้ ทั้งเดือด มัน เข้มข้น น่าสนใจ และไปสุดกว่าที่เคย ราวกับตัวซีรีส์อัดฉีดสารสร้างพลังซูเปอร์ฮีโร่ที่ในเรื่องเรียกว่า ‘คอมพาวด์ วี’ (Compound V) เข้าสู่ร่างกาย และยิงเลเซอร์ที่เรียกว่า ‘เนื้อเรื่อง’ อันร้อนระอุออกจากดวงตามาสู่คนดูอย่างจัง
และเมื่อพูดถึงเนื้อเรื่องในภาพรวมของ The Boys ซีซั่น 3 มีประเด็นใหญ่ๆ ที่ต้องพูดถึง 3 เรื่องด้วยกัน คือ (1) ‘อดีต’ การเผยพื้นหลัง เหตุผล และคลี่คลายปมในใจตัวละครทุกฝั่ง (2) ‘ปัจจุบัน’ การจัดการสะสางกับปมขัดแย้งในอดีต การทำลายเส้นศีลธรรมอย่างสิ้นเชิง และเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ลุ้นระทึกที่แม้จะซีเรียสตามประสา แต่ก็ซีเรียสกว่าที่เคยด้วยโอกาสในการปิดเกมอีกฝั่งได้ด้วยตัวแปรสองตัวที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่ ไปจนถึง (3) ‘บทสรุป’ ที่พูดถึงพัฒนาการตัวละคร การเลือกเส้นทางต่อจากนี้ และแววความบรรลัยที่บังเกิดตั้งแต่ในซีซั่นนี้เพื่อส่งผลต่อไปในซีซั่นหน้า
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์ The Boys
อดีต
การเล่าย้อนอดีตในซีรีส์ The Boys นั้นเกิดขึ้นในทุกซีซั่น และค่อนข้างเป็นวิสัยของซีรีส์เรื่องนี้ที่ค่อยๆ เปิดเผยทีละด้านทีละมุมมองของตัวละครของทั้งฝั่งฮีโร่สุดเลวและฝั่งกลุ่มเดอะ บอยส์ (The Boys) จนปะติดปะต่อได้เป็นภาพรวม แน่นอนว่าทุกๆ อดีตสำคัญ แต่สำหรับซีซั่นนี้อดีตที่สำคัญคือไพ่ตายใบสำคัญที่มีชื่อว่า ‘โซลเจอร์บอย’ (Soldier Boy) หรือกัปตันอเมริกาเวอร์ชั่นถ่อยสถุลที่เป็นตัวแบกและดาวเด่นของซีซั่นนี้ เขาคือตัวแปรตัวแรกที่จะกล่าวถึง
โซลเจอร์บอยรับบทโดย เจนเซน แอกเคิลส์ (Jensen Ackles) จากซีรีส์ Supernatural โดยผู้สร้าง อีริก คริปเก (Eric Kripke) ที่เคยร่วมงานกับนักแสดงคนนี้มาก่อนใน Supernatural ซีรีส์สองพี่น้องล่าปีศาจที่เขาเคยเป็นผู้สร้างและโปรดิวซ์ซีซั่น 1-5 ซึ่งหลังจากเห็นว่าเจนเซนเป็นนักแสดงที่มีดีขนาดไหน (ออกมาพูดอยู่ตลอดว่าอยากให้โลกให้รู้จักเจนเซน) และซีรีส์ที่เจนเซนแสดงแทบจะทั้งชีวิตการแสดงจบลง อีริกตัดสินใจแคสต์เจนเซนมารับบทสำคัญนี้ เพราะเชื่ออย่างแรงกล้าว่า นักแสดงคนนี้จะทำให้ตัวละครโซลเจอร์บอยที่โผล่มาแค่ซีซั่นเดียวและมีบทบาทสำคัญที่สุดบทบาทหนึ่งออกมาโดดเด่น น่าจดจำ
และอีริกก็คิดถูกทีเดียว ตัวละครนี้โดดเด่นตั้งแต่ปรากฏตัวครั้งแรกจนถึงฉากสุดท้าย นอกจากคนดูจะได้เห็นกัปตันอเมริกาที่เป็นตัวแทนอเมริกาจริงๆ ยิ่งกว่าของมาร์เวล เจนเซนและบทที่ปรับเพื่อเขามีส่วนอย่างมากในการทำให้โซลเจอร์บอยมีบุคลิกที่แตกต่างจากในคอมมิกส์เป็นอย่างมาก จากปอดแหกสมยอมที่แม้กระทั่งพลีกายให้โฮมแลนเดอร์ (Homelander) เพื่อเข้าทีม เดอะเซเว่น (The Seven) เปลี่ยนเป็นยอดชายสาย alpha male/giga chad ที่เดินอกผายพ่นคำด่าคนอื่นว่า “weak” (“อ่อนแอว่ะ”) ใช้อำนาจในเชิงกดขี่ข่มเหงผู้อื่น (abusive) เสมอ และเป็นตัวอันตรายสุดๆ ด้วยพลังนิวเคลียร์จากหน้าอกที่สามารถฆ่าได้แม้กระทั่งพวกเหนือมนุษย์ หรือ ซูปส์ (Supes)
นั่นจึงเป็นที่มาของเส้นเรื่องหลักของซีซั่น 3 โซลเจอร์บอยออกล้างแค้นทีมเพย์แบ็กที่รวมหัวกันส่งเขาไปให้รัสเซียเพื่อกำจัดให้พ้นทาง เขาถูกรัสเซียทรมานอย่างสาหัสสากันครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วจากนั้นบริษัทวอท (Vaught) ก็นำเด็กชายคนใหม่ที่ชื่อโฮมแลนเดอร์มาแทนที่ เกิดเป็นดีลระหว่างพวกเดอะบอยส์ขึ้น ว่าถ้าหากพวกเขาช่วยโซลเจอร์บอยฆ่าทีมเพย์แบ็ก (Payback ที่แปลว่าแก้แค้น ล้อกับชื่อ Avengers) จนเกลี้ยง (แบล็กนัวร์สมาชิกทีมทีมเดอะเซเว่นเคยอยู่ทีมนี้มาก่อน) โซลเจอร์บอยจะเป็นคนฆ่าโฮมแลนเดอร์ให้
ซีซั่นนี้มีการเล่าเรื่องคู่ขนานเกิดขึ้น คือในซีนที่โฮมแลนเดอร์—วายร้ายที่คนดูทั้งเกลียดและอยากให้ตายมากๆ กับในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ตัวละครสร้างสีสันและแบกซีรีส์ทั้งเรื่องแบบนี้ตายเช่นกันเพราะนั่นคงเป็นจุดจบของซีรีส์เรื่องนี้—คุยกับเมฟ (Queen Maeve) หรือซูเปอร์แมนคุยกับวันเดอร์วูแมนของซีรีส์ The Boys คุยกัน โฮมแลนเดอร์บอกว่า “ผมรักคุณ” แต่เมฟก็ได้บอกด้วยโทสะว่า “ฉันเกลียดคุณ” และพอตัดมาที่ฉากโซลเจอร์บอยบอกรักและแสดงความผิดหวังกับ คริมสัน เคานท์เทส (Crimson Countess หรือตัวละครล้อเลียน สการ์เล็ต วิช (Scarlet Witch) ฝั่งมาร์เวล) เธอก็ได้บอกกับเขาแบบเดียวกันว่า เธอเกลียดเขาและทุกคนในทีมเพย์แบ็ก นั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าโซลเจอร์บอยเลวร้ายแค่ไหน
อดีตของแบล็กนัวร์ยังเป็นตัวเปิดเผยเพิ่มเติมว่า เขาในฐานะคนผิวสีต้องปกปิดหน้ากากหรือไม่สามารถเปิดเผยใบหน้าได้ และเคยถูกโซลเจอร์บอยทำร้ายร่างกายอย่างหนักจนคนดูอย่างเราๆ อดเห็นใจไม่ได้ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เขาโดนระเบิดระหว่างทำภารกิจจนหน้าเละ เส้นเสียงขาด พูดไม่ได้ และต้องใส่หน้ากากตลอดไป จนสุดท้ายเขาต้องอยู่กับเพื่อนการ์ตูนในจินตนาการ สิ่งเดียวที่รู้ใจเขา และคอยปลอบประโลมใจให้หน้าที่และมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แบล็กนัวร์ถือเป็นพยานสำคัญจากรุ่นสู่รุ่น และยังเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกว่า ภายใต้การชูความเท่าเทียมปลอมๆ ของบริษัทวอท คนผิวสียังคงไม่มีสิทธิ์มีเสียง และโดดเด่นได้แค่เบื้องหลัง
อีกหนึ่งอดีตที่สำคัญคือโซลเจอร์บอยเป็นคนฆ่าครอบครัวของ เอ็มเอ็ม (M.M. หรือ Mother’s Milk) ด้วยการทุ่มรถทั้งคันไปที่บ้านของเขาในตอนเด็ก ตามนิสัยสันดานซูเปอร์ฮีโร่สไตล์ The Boys ที่ดีบังหน้า เน้นพีอาร์เป็นหลัก แต่ตัวจริงพี้ยา มั่วเซ็กซ์ เหยียดเพศ เหยียดผิว เหยียดศาสนา ใช้อำนาจเต็มที่ไม่กลัวผิด และหยาบคายไม่เหมือนในทีวี ซึ่งถึงแม้เราจะได้เห็นมุมมองจากโซลเจอร์บอยว่าเขาเป็นคนมีมิติ คำไหนคำนั้น และมีมุมที่ดูเป็นคนดี (A.K.A. ไม่ได้ชั่วขนาดนั้น) อยู่บ้าง และอาจดีกว่าโฮมแลนเดอร์ แต่ทั้งหมดบ่งชี้ว่า เขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากซูเปอร์แมนสารเลวที่ลึกๆ ก็มีหัวใจอย่างโฮมแลนเดอร์ แค่มาก่อนในยุค 80s เท่านั้น
ส่วนอดีตของบุตเชอร์เองก็ไม่พูดถึงไม่ได้เช่นกัน บุตเชอร์มีน้องชื่อ เลนนี (Lenny) ตัวเขากับน้องถูกเลี้ยงมาโดยพ่อที่พูดหยาบ (เป็นที่มาของการติดปากพูดถึงน้ำ “อ้อยคั้น!” ทั้งเรื่อง) ใช้เข็มขัดฟาด จนน้องเลือกปลิดชีวิต ซีซั่นนี้เป็นซีซั่นที่ทำให้เราได้รู้จักบุตเชอร์ดีขึ้น ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นคนดีและรักคนอื่น แต่ความกร้านโลกที่สั่งสมมาตั้งแต่ตอนเด็กกับความผิดบาปในใจนั้น ส่งให้บุตเชอร์เลือกที่จะทำอะไรก็ตามที่ต้องทำเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ โดยไม่สนวิธีการหรือจะต้องเสียสละอะไร เพราะวัยเด็กสอนให้เขาสู้กับความโหดร้ายเกินควรด้วยความโหดร้ายเกินควรอย่างเท่าเทียม เราจึงได้รู้ว่า จริงๆ แล้ว เขาก็มีมุมที่เป็นคนดีและน่าสงสารเหมือนกัน
นอกจากนี้ยังมีอดีตที่ไม่คาดคิดและคงต้องใช้คำว่าเซอร์ไพรส์ที่สุด คือ อดีตของโซลเจอร์บอย ซึ่งเขาเป็นแค่ลูกคนรวยที่ใช้ทางลัดเพื่อเป็นซูเปอร์ฮีโร่ และกลายเป็นหน้าตาของอเมริกา ในขณะที่ตัวจริงนั้นไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลยนอกจากเป็นเด็กเอาแต่ใจ ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่รัสเซียจะทำให้เขารู้สึกผิด สิ่งนึงที่เราได้รู้จากการบอกเล่าของเขา คือ โซลเจอร์บอยอยากแก้ไขด้วยการมีลูกสักคนและเลี้ยงมาให้ดีกว่านี้ พูดดีกว่านี้ สอนดีกว่านี้ เพื่อให้ลูกไม่โดนแบบตัวเอง และไม่โตมาแบบตัวเอง ซึ่งจะเห็นได้ว่าไปสอดคล้องกับความต้องการของโฮมแลนเดอร์พอดี ที่อยากมีลูกด้วยจุดประสงค์เดียวกัน และอยากมีพ่อแม่มาตลอด
“ถ้าเราไม่ขีดเส้น เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรายืนอยู่ตรงไหน?”
ปัจจุบัน
อดีตทั้งหมดส่งผลต่อปัจจุบันทั้งตัวละครและเส้นเรื่อง ซีซั่นนี้นอกจากจะมีโซลเจอร์บอยเป็นตัวแปรตัวแรกแล้ว อีกตัวแปรสำคัญคือสารคอมพาวด์วีแบบชั่วคราวที่มีสีเขียวแทนสีฟ้า สารที่มีชื่อว่า ‘V24’ หรือ ‘เทมป์วี’ (Temporary V) ที่จะมอบพลังเหนือมนุษย์ให้แก่ใครก็ตามทีฉีดเข้าไปในร่างกายเป็นเวลา 24 ชั่วโมง โดยมีผลค้างเคียงต่อร่างกายตามมา
สิ่งนี้โดยลำพังก็เหมือนกับอาวุธที่ไม่เคยมีความผิดในตัวมันเอง แต่ความผิดตกมาอยู่ที่มนุษย์ผู้เป็นคนใช้มัน สาร V24 ทำให้กลุ่มตัวเอกที่เป็น แอนติฮีโร่ (anti-hero) ต้องตั้งคำถามกับแนวทางของตัวเองและจุดยืนมากกว่าที่เคย บางคนเช่นบุตเชอร์และฮิวอี้ (Hughie) เลือกจะใช้ ในขณะที่บางคนอย่าง สตาร์ไลท์ (Star Light) เฟรนชี่ (Frenchie) และเอ็มเอ็มไม่เห็นด้วย จากการที่พวกเขาต่อสู้อยู่คนละฟากฝั่งกับพวกซูปส์มาโดยตลอด แม้ว่าใช้ยานี้แล้วมันจะเวิร์กก็ตาม
ฉะนั้นเมื่อนำตัวแปรทั้งสองอย่าง V24 กับโซลเจอร์บอย (ที่บาดหมางกับเอ็มเอ็มโดยส่วนตัวอยู่แล้ว) มาวางบนโต๊ะ จะเห็นชัดเจนว่าซีซั่นนี้จึงเป็นการพูดถึงการพูดถึงขั้วอำนาจเดิมที่มีแรงงัดแบบทัดเทียม เหมือนนำวัตถุมาวางอีกฝั่งจนตราชั่งอยู่ในระดับเท่ากัน เพราะหลังจากที่ได้แต่หนีหัวซุกหัวซุน หลบๆ ซ่อนๆ แพ้และสูญเสียมาโดยตลอด ครั้งนี้กลุ่มเดอะบอยส์สามารถสู้แบบหมัดแลกหมัดกับซูปส์ได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งโฮมแลนเดอร์ที่ทุกคนกลัวมาตลอด)
แต่ก็อย่างที่เอ็มเอ็มได้พูดไว้ว่าต้องมีการขีดเส้น ที่ผ่านมาแม้เดอะบอยส์จะทำผิดพลาดและทำคนบริสุทธิ์เสียชีวิตไปบ้าง หรือจำเป็นต้องฆ่าก็ต้องฆ่า แต่พวกเขาก็มีหลักหรือเซตศีลธรรมของตัวเองอยู่ และเมื่อเป้าหมายไม่ตรงกัน อุดมการณ์คนละอย่าง หรือแย่กว่า V24 ที่ทำร้ายผู้ใช้คือการร่วมมือกับโซลเจอร์บอยในฐานะตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้ และรู้อยู่เต็มอกว่าเป็นฆาตกรซูปส์เลือดเย็นอีกคน มันจึงดูเป็นการกระหายชัยชนะจนไม่สนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น คนกับฮีโร่ที่โดนระเบิดตายและบาดเจ็บในงานเซ็กส์หมู่ (Herogasm) หรือคนบริสุทธิ์บริเวณตึกค้าขายที่ถูกโซลเจอร์บอยระเบิดหายไปพร้อมกับตึกเป็นแถบ
ทั้งหมดเป็นความผิดของทุกคนที่ทำให้โซลเจอร์บอยหลบหนีออกมา ทีมเดอะบอยส์จึงเกิดรอยแยก ความสัมพันธ์อันกลมเกลียวเริ่มร้าวฉานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในขณะที่ฝั่งเดอะบอยส์ได้ตัวแปรหรือไพ่ตายสองใบ ในซีซั่นนี้โฮมแลนเดอร์สูญเสียไพ่สองใบในมือที่ทำให้ลงพนันหมดหน้าตัก แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม ไพ่ใบแรกคือสตอร์มฟรอนต์ (Storm Front) แฟนสาวอายุ 103 ปี ที่เป็นที่พึ่งพาจิตใจและเสริมความรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในขณะที่มีคนจ้องจะเล่นเขาตั้งมากตั้งมาย ไพ่อีกใบคือการทำตัวเป็นซูเปอร์แมนที่ดีต่อหน้าสาธารณะกับการเสียความรู้สึกมั่นคง เมื่อมีคลิปแบล็กเมล์เหตุการณ์บนเครื่องบินซีซั่นแรกปล่อยอกมา ซึ่งการตายของสตอร์มฟรอนต์และการถูกบีบให้จนมุม ส่งผลให้เขาฟิวส์ขาดและพูดจาหยายคายแบบไม่สนโลกออกทีวี โฮมแลนเดอร์ขู่สตาร์ไลท์ว่าถ้าแบล็กเมล์ เขาทำลายเมืองและคนที่เธอรักราวกับทุ่มหมดหน้าตักเหมือนคนไม่มีอะไรจะเสีย ทว่า ผลลัพธ์กลับกลับตาลปัตรกลายเป็นเรื่องดีสำหรับโฮมแลนเดอร์ มีทั้งคนสนับสนุนเขาอย่างสุดโต่งและกลัวเขาอย่างตัวสั่น เราจึงได้เห็นว่าเขาดูเติบโตอย่างชั่วร้ายและมั่นใจในอำนาจมากกว่าที่เคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกำจัด สแตน เอดการ์ (Stan Edgar) ประธานวอทไปได้และตั้งตนเป็นใหญ่ซะเอง
แต่การมาของโซลเจอร์บอยทำให้โฮมแลนเดอร์ต้องสั่นคลอนและหวาดกลัวอีกครั้ง เมื่ออำนาจที่ไม่เคยถูกแตะต้องได้กำลังถูกท้าทาย และอำนาจนั้นสามารถตายได้ เราจึงได้เห็นฉากที่ต้องบอกว่าขยี้ความเป็นโฮมแลนเดอร์และเผยมิติตัวละครนี้ให้มากขึ้นไปอีก นั่นก็คือฉากที่โฮมแลนเดอร์คุยกับตนเอง ตรงนี้ผู้สร้าง อีริก คริปเก้ ยืนยันแล้วว่า โฮมแลนเดอร์มีสองบุคลิกหรือเป็นโรค DID (dissociative identity disorder) คือแยกเป็นบุคลิกเด็กน้อย (childish) และบุคลิกเผด็จการไร้หัวใจ (dictator) จากการที่ตัวตนหนึ่งต้องการคนปกป้อง ต้องการความอบอุ่น มีคนดูแล และอีกตัวตนหนึ่งถูกสร้างมาอย่างสุดโต่งให้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ปลอบประโลมด้านอ่อนแอ และทำให้ตัวเองยืนอยู่บนยอดภูเขาที่สูงที่สุดบนโลกใบนี้ไปตลอด พลางยิงเลเซอร์ใส่ทุกคนที่พยายามปีนขึ้นมาทำร้ายหรือดึงเขาลง
ซีซั่นนี้ยังได้แสดงความอำนาจบาทใหญ่ของโฮมแลนเดอร์อย่างชัดเจน (จากที่ชัดเจนอยู่แล้ว) ด้วยการข่มเอ-เทรน (A-Train) และเดอะดีพ (The Deep)—ที่ทั้งสองตัวละครผ่านทั้งเส้นเรื่องที่คนแรกได้ตระหนักอะไรบางอย่างกับคนหลังใช้ชีวิตอย่างไม่มีสาระไปวันๆ—แล้วเหยียบจนจมดิน ขยี้ศักดิ์ศรีด้วยการแสดงอำนาจและการพูดจาจนไม่เหลือ
และใน Herogasm หรือตอนที่ 6 ก็ได้เกิดสิ่งที่น่าสนใจขึ้น แม้ตอนนี้จะชูด้วยฉากเซ็กซ์พิสดารลามกอนาจารที่จะเป็นตำนานของ The Boys (และวงการโทรทัศน์) แต่คำว่า Herogasm ที่แท้จริงไม่ได้หมายถึงฮีโร่จัดกิจกรรมเซ็กส์หมู่ แต่หมายถึงการดูฉาก ‘hero’ สู้กัน บวกกับความรู้สึกพึงพอใจถึงขั้น ‘orgasm’ ต่างหาก
ฉากที่ว่าคือฉากโซลเจอร์บอยปะทะโฮมแลนเดอร์ซึ่งเป็นซีนในฝันที่ไม่เคยมี—หรืออาจไม่มีวันมี—โอกาสได้เห็น เทียบได้กับฉาก ‘กัปตันอเมริกาปะทะซูเปอร์แมน’ ที่เราพอจะมีได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยทุนสร้างเท่านี้) กับฉากโซลเจอร์บอย บุตเชอร์ และฮิวอี้ รุมโฮมแลนเดอร์อย่างดุเดือด
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่ว่าไม่ได้หมายถึง Herogasm ในความหมายที่แท้จริง แม้มันจะน่าพึงพอใจจริงๆ ก็ตาม หากแต่หมายถึงผลลัพธ์จากการต่อสู้ นั่นก็คือที่โฮมแลนเดอร์ วายร้ายเอาแต่ใจ หลงตัวเอง และหยิ่งผยองรายนี้ รู้สึกกลัวจนต้องบินหนี มิหนำซ้ำยังร้องไห้กับตัวเองหน้ากระจก จนเผยให้เห็นถึงรอยช้ำ ซึ่งนั่นคือความก้าวหน้าของเดอะบอยซ์แล้ว การทำโฮมแลนเดอร์ช้ำได้ และหวาดกลัวได้ จากที่ไม่เคยเป็นอะไร มากสุดก็ชุดขาดหรือชุดเป็นรอยเหมือนไซตามะใน One Punch Man เท่านั้น
สิ่งที่ต่อยอดมาจากซีซั่นที่แล้วที่ดำเนินต่อเนื่องมาสู่ตอนสุดท้ายของซีซั่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือความสัมพันธ์ระหว่างบุชเชอร์กับไรอัน (Ryan) ลูกชายที่เกิดจากโฮมแลนเดอร์ขืนใจเบกกา ภรรยาบุตเชอร์—ที่บุชเชอร์สัญญาก่อนเธอถูกไรอันฆ่าตายโดยไม่ตั้งใจ การกระทำของบุตเชอร์ที่รักเด็กคนนี้ได้ลงและยังทนมองหน้าไรอันได้นับว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐและน่าชื่นชมมากๆ แล้ว แต่คำถามคือ มันจะเป็นแบบนี้ไปได้นานเท่าไหร่? และแล้ววันหนึ่งก็มาถึงจุดหนึ่งที่ทุกอย่างประดังประเด บุตเชอร์พูดจาแรงโดยไม่ตั้งใจ และผลักไรอันออกไกลจากตัว ในขณะเดียวกันไรอันถึงกับเกลียดบุตเชอร์ เปิดช่องว่างให้กับโฮมแลนเดอร์เข้ามาแทรกได้สำเร็จ ด้วยการเป็น biological father และเป็นคนเดียวที่ไรอันรู้สึกว่ารักและสามารถพึ่งพาได้
บทสรุป
สำหรับบทสรุปของ The Boys ซีซั่น 3 ค่อนข้างจะเป็นที่ถกเถียง ด้วยการตัดสินใจของตัวละครและการเขียนบทแบบชัดเจนที่ดูก็รู้ว่าจงใจยืดเพื่อให้มีต่อ
ฉะนั้น หากพูดถึงเนื้อหาที่ทั้งปิดจบและปูไปเพื่อซีซั่นหน้า พัฒนาการของแต่ตัวละครคือประเด็นสำคัญ ทั้งเมฟตั้งแต่วันที่ได้เห็นสตาร์ไลท์ร้องไห้ในห้องน้ำในซีซั่นแรกที่กล้าหาญขึ้นเรื่อยๆ และสุขสมปรารถนา แอชลีย์ (Ashley) ที่ยอมลบฟุตเทจเมจหลังจากเป็นคนเห็นแก่ตัวมาตลอด แอนนีเลิกเป็นสตาร์ไลท์ การเกิดประชาธิปไตยในกลุ่มเดอะบอยส์ การที่บุตเชอร์ไม่ได้เป็นผู้นำชี้ขาดเสมอไปไปจนถึงเดอะดีพและเอ-เทรนที่ยังคงเป็นลูกกระจ๊อกวันยันค่ำ
ในภาพรวมแล้ว The Boys ซีซั่น 3 ตอกย้ำความคงเส้นคงวาของซีรีส์เรื่องนี้ ที่ไม่ได้มีดีแค่เรต R แต่เนื้อหาของตัวละคร บทสนทนา การจับต้นชนปลายของเนื้อเรื่องกับตัวละคร และการเซอร์ไพรส์คนดู ยังคงทำได้แข็งแรงเช่น
เช่นเคย ซีรีส์ The Boys ซีซั่นแรกจนถึงซีซั่นนี้พูดถึงเรื่อง ‘อำนาจ’ เสมอ หากซีซั่นแรกเป็นความ ‘หวาดกลัวอำนาจ’ ซีซั่น 2 เป็นการ ‘ท้าทายอำนาจ’ ซีซั่น 3 มีธีมคือการ ‘สั่งสมขั้วอำนาจ’ ที่เริ่มจาก V24 และโซลเจอร์บอย จนกลายเป็นผลลัพธ์ที่น่าเกลียดและเตลิดเปิดเปิงกว่าเดิมเท่าๆ กับเส้นศีลธรรมที่ขาดสะบั้นเมื่ออำนาจที่มากกว่าตกไปอยู่ในมือของอีกฝ่าย เรื่องของอำนาจยังคงถูกพูดถึงต่อไปผ่านตัวละครที่น่ากลัวที่สุดอย่างโฮมแลนเดอร์ ที่คราวนี้ในซีซั่นต่อไปจะมาเป็นแพ็กเกจพ่อแถมลูก
“ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวไปกว่าคนชั่วถือครองอำนาจสูงสุดไว้ในมือแล้ว” การสรุปความเช่นนี้เป็นสิ่งที่เป็นจริงทั้งในโลกความความจริงและใน The Boys สำหรับ The Boys ซีซั่นต่อไป ความน่ากลัวที่กำลังจะมาต่อจากนี้บ่งบอกได้จากที่รอยยิ้มของโฮมแลนเดอร์กับไรอัน และ วิกตอเรีย นิวแมน (Victoria Neuman) หรือซูปส์พลังระเบิดหัวที่ตอนนี้กลายมาเป็นว่าที่ผู้เข้าชิงรองประธานาธิบดีแล้ว
รอยยิ้มเหล่านั้นไม่ได้หมายความแค่ว่าพวกเขามี ‘อำนาจ’ แต่มันหมายความว่าพวกเขามีอำนาจและสามารถทำตัวชั่วร้ายอย่างลอยนวลพ้นผิดต่อไปได้ เพราะมีคน ‘สนับสนุน’ และ ‘เห็นดีเห็นงามด้วย’ นั่นต่างหากคืออำนาจและความน่ากลัวของมันที่แท้จริง