ตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค. กลุ่มชาวนาได้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐช่วยเหลือในเรื่องหนี้ของชาวนา ซึ่งสุมกองพะเนินสวนทางกับราคาข้าวที่ตกต่ำลง
The MATTER ลงพื้นที่พูดคุยกับชาวนาที่ขณะนี้ปักหลักอยู่ข้างกระทรวงการคลัง พวกเขาเผชิญปัญหาอะไร ทำไมถึงต้องออกมาเรียกร้องถึงกรุงเทพฯ และพวกเขาหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลืออย่างไรบ้างจากรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ราคาข้าวถูกลง – ต้นทุนเพิ่มขึ้น
ตอนนี้ราคาข้าวตันละ 6,000 กว่าบาท แต่ต้นทุนทำไร่นึงก็ตกเกือบ 5,000 – 6,000 บาทแล้ว บางทีเกี่ยวข้าวไม่ได้ถึงเกวียนก็ขาดทุนอีก บางเจ้าแมลงลงเจ๊ง ร้องไห้ก็มี
ลุงพุด (นามสมมุติ) ชาวนาจังหวัดฉะเชิงเทราเล่าให้เราฟังขณะที่ขบวนม็อบชาวนาเดินทางไปเจรจาที่สำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงไทย เขากล่าวต่อว่า “บ้านพี่มีที่นาประมาณ 40 กว่าไร่ ทำนารอบนึงก็ต้องรอประมาณ 4 เดือนครึ่งกว่าจะได้เกี่ยวทีนึง แต่หลังมานี้ก็ขาดทุนบ่อยมาก บางครั้งขาดทุน 20,000 -30,000 บาทเลย นี่ขนาดยังไม่ได้คิดค่าแรง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เลยนะ”
ข้อมูลจากปากชาวนาจังหวัดฉะเชิงเทราตรงกับกลุ่มชาวในจังหวัดอื่นๆ ที่เข้าร่วมกับชุมนุมครั้งนี้ ซึ่งจากข้อมูลของศูนย์วิจัยธนาคารกสิกรระบุว่า ราคาข้าวในปี 2564 นับว่ามีราคาต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี โดยสาเหตุหลักมาจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่กระทบต่อการบริโภคในประเทศ ปัญหาน้ำท่วม รวมถึงตัวเลขการส่งออกข้าวที่ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งมีปัญหาจากการขาดแคลนตู้ขนส่งสินค้า นอกจากนี้ ข้าวไทยเริ่มไม่เป็นที่นิยมในประเทศอื่น และเริ่มส่งออกลดน้อยกว่าประเทศในอาเซียนอย่างเวียดนาม ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากความไม่หลากหลายทางสายพันธุ์ ประกอบกับต้นทุนในการผลิตของเวียดนามที่ต่ำกว่าไทยด้วย
แต่นั่นเป็นเพียงปัญหาปลายเหตุที่ชาวนาไทยต้องเผชิญ ลุงนวย (นามสมมุติ) ชาวนาในจังหวัดกำแพงเพชรระบุเพิ่มเติมว่านอกจากปัญหาราคาข้าวที่ตกต่ำแล้วอีกปัญหาคือ ต้นทุนในการปลูกข้าวทุกอย่างมีราคาสูงขึ้น ยกตัวอย่าง ปุ๋ยกระสอบที่ทุกวันนี้มีราคาประมาณ 1,000 บาท ซึ่งทำให้ต้นทุนในการปลูกข้าวยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
“ชาวนาจริงๆ เขาไม่อยากเข้ามาหรอก แต่ค่าปุ๋ยเดียวนี้กระสอบละ 1,000 กว่าบาท แล้วขายข้าวได้เกวียนนึงแค่ประมาณ 6,000 บาท”
ลุงนวยตัดพ้อว่า “แบบนี้มันเจ๊งอยู่แล้วล่ะ”
ลุงพุดอธิบายว่า ราคาข้าวที่ต่ำลงสวนทางกับต้นทุนการปลูกข้าวที่เพิ่มขึ้นในทุกอย่าง ทั้งค่าปุ๋ย ค่ายา ตลอดจนค่าน้ำมัน ซึ่งในบางพื้นที่ชาวนาต้องใช้น้ำมันจำนวนหลายร้อยลิตรเติมลงไปในเครื่องสูบน้ำ โดยลุงนวบกล่าวว่า
“ท่านคิดดูว่าขี่รถเก๋งมาหาผมใช้น้ำมันเท่าไหร่ แต่ชาวนาต้องใช้น้ำมันวันละ 200 ลิตรเพื่อใส่ในเครื่องยนต์วิดน้ำ แล้วดูละกันว่าตอนนี้น้ำมันลิตรเท่าไหร่แล้ว” ข้อมูลวันที่ 7 ก.พ. จากเว็บไซต์ PTTOR ราคาน้ำมันดีเซลในภูมิภาคอยู่ที่ลิตรละ 30.37 บาท หรือเท่ากับชาวนาต้องลงทุนกว่า 6,000 บาทต่อการสูบน้ำหนึ่งครั้ง
ปัญที่ชาวนาไทยกำลังเผชิญอยู่นี้ยังไม่ได้คำนึงถึงภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้มูลค่าเงินสดในมือของพวกเขาต่ำลง สวนทางกับภาวะที่ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่ำเนื่อง โดยเฉพาะเนื้อหมูที่เผชิญการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกันหรือ AFS
ปลูกข้าวบนผืนดินคนอื่น
พ่อแม่ขายที่ดินให้ธนาคารไปหมดแล้ว เราก็ต้องมาเช่าที่ดินทำนารอบละ 1,000 บาท ปีนึงทำสองรอบ 2,000 บาท แล้วปีนี้ต้นทุนทุกอย่างขึ้นหมด แต่ราคาข้าวกลับตก ขาดทุนตลอด หนี้จี้ตูดเลย
พี่ตุ้ม (นามสมมุติ) ชาวนาจากจังหวัดอยุธยาพูดถึงปัญหาการเช่าที่ดินทำกิน ซี่งทำให้ต้นทุนในการทำนาเพิ่มสูงขึ้น
ข้อมูลจากพี่ตุ้มเป็นการยืนยันอีกครั้งถึงคำพูดของ ประยงค์ ดอกลำไย ที่ปรึกษาสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ ในปี 2557 ที่ว่า ในจำนวนชาวนา 4.8 ล้านคนที่มาขึ้นทะเบียน มีเพียง 29% ที่มีที่ดินของตนเอง ส่วนมากกว่าครึ่งทำนาบนที่ดินเช่าจากคนอื่น
ขณะที่ในภาพใหญ่กว่านั้น ข้อมูลจากงานวิจัย ‘รวยกระจุก จนกระจาย: ความเหลื่อมล้ำกับการปฏิรูปภาษีที่ดิน’ ของ รศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล ชี้ว่าคนเพียง 1% ถือครองที่ดินมากถึง 22,522,047 ล้านไร่ หรือมากกว่าพื้นที่ 7 จังหวัดภาคตะวันออกรวมกัน โดยผู้ที่ถือครองที่ดินมากที่สุดมีที่ดินถึง 631,263 ไร่
หนี้สินท่วมหัว
ปัญหาหนี้สินของชาวนาเป็นข้อเรียกร้องหลัก 2 ใน 3 ข้อของเครือข่ายหนี้สินชาวนาแห่งประเทศไทย หรือ คนท. ในครั้งนี้ ซึ่งประกอบไปด้วย
- อุ้มหนี้เกษตรกร ให้เข้าสู่กระบวนการการจัดการหนี้สินของสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร หรือ กฟก.
- ลดหนี้ของผู้เสียชีวิตเหลือ 25% ปลดหนี้ให้กับเกษตรกรสมาชิก กฟก. กรณีที่ตาย พิการ ทุพพลภาพ ชราภาพ เจ็บป่วยเป็นโรค เหลือไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ระบุไว้ใน พ. ร.บ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรที่ได้บัญญัติไว้ช่วยเหลือเกษตรกร
- ตรวจสอบการทุจริตของกองทุน กฟก.
ที่นั่งอยู่นี่มีหนี้ทุกคนแหละ และไม่ใช่แค่นี้นะ ต่างจังหวัดไปชี้เอาทุกหลังคาเรือนเป็นหนี้กันทั้งนั้น ยิ่งพวกทำนามี 700,000 – 800,000 บาททุกคน ไม่มีหรอกเป็นหนี้ 20,000 -30,000
ป้าจันทร์ (นามสมมุติ) ชาวนาจากจังหวัดอยุธยาพูดพลางชี้นิ้วเป็นวงรอบไปที่เพื่อนร่วมอาชีพอีกประมาณ 20 ชีวิต
ป้าจันทร์ปฏิเสธที่จะเล่าตัวเธอเองมีหนี้สินติดพันอยู่เท่าไหร่ เธออธิบายเพียงแค่ว่า “ครึ่งต่อครึ่ง” ไม่ใช่นโยบายรัฐบาลในช่วง COVID-19 แต่คือหนี้สินที่พอกพูนขึ้นเป็นสองเท่าของตัวเธอเอง
ด้านลุงนวย ชาวนาจังหวัดกำแพงเพชรอธิบายว่า หนี้สินของเกษตรกรเหมือน “ดินพอกหางหมู” กล่าวคือ ยิ่งกู้มาทำนา ยิ่งพอกพูนเพิ่มขึ้น “อย่างผมกู้หนี้ ธกส. มา 50,000 บาท แล้วมาเจอน้ำท่วม หนอนลงมันก็เจ๊งหมด เมื่อมันเจ๊งก็พอกหางหมู ไม่ได้คืนเงินเขา ก็ถูกคิดทั้งต้นทั้งดอกเพิ่มไปเรื่อย”
และในสถานการณ์ที่ราคาข้าวตกต่ำ ส่งออกน้อย สวนทางกับต้นทุนที่สูงขึ้นเช่นนี้ ปัญหาหนี้สินของชาวนาจึงนับว่าเป็นปัญหาที่ทั้งใหญ่และยากจะแก้ในระยะอันสั้น
ไปปลูกอย่างอื่น
เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2558 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกฯ ในขณะนั้นได้พูดถึงวิธีการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง โดยแนะนำให้ชาวนาหันไปปลูกหมามุ่ยแทนข้าว
“วันนี้เราขายหมามุ่ยได้ ก.ก. ละ 800 บาท และถ้าส่งไปประเทศอินเดียแล้วมีการแปรรูปกลับมาเป็นยา หรืออะไรต่างๆ ราคาได้กลายเป็น ก.ก. ละ 8 หมื่นบาท แล้วเหตุใดเรายังโง่ปลูกอย่างอื่นที่มีกำไรเพียงไม่กี่บาท อย่างไรก็ตามขณะนี้ข้าวของเรายังดีอยู่ ในส่วนที่เสียก็เป็นภาระของรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาเป็นความคิดที่ไม่ถูกวิธีเพราะเราต้องทำให้เกษตรกรมีความเข้มแข็ง พระเจ้าอยู่หัวทรงสอนว่าถ้าจะทำให้คนเข้มแข็งต้องสอนวิธีการตกปลาให้เขา แต่ไม่ใช่ให้ปลาเขาไปกิน เรากำลังสอนให้เกษตรกรมีการเรียนรู้ เข้าถึงเครื่องจักรทางการเกษตร และที่ผ่านมารายได้มันต่ำจึงต้องกู้เงิน แล้วไร่นาก็ถูกยึด”
ซึ่งจากการพูดคุยกับชาวนาที่มาร่วมชุมนุมในกรุงเทพฯ คร้ังนี้ สาเหตุที่พวกเขาไม่หันไปปลูกพืชชนิดอื่นแทนข้าว นั่นมาจาก ‘ความมั่นใจ’
“เราไม่ถนัดที่จะปลูกอย่างอื่น มันไม่ได้ และเครื่องมือการทำเราก็ไม่มี ตลาดรองรับก็ไม่รู้จะมีรองรับเราหรือเปล่า เดี๋ยวจะกลายเป็นหว่านทิ้งสูญเปล่าอีก เสียเงินเปล่าอีก”
ลุงพุดให้ความเห็นถึงการเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น โดยเขากล่าวต่อว่าการหันไปปลูกพืชชนิดอื่นเพื่อช่วยให้ดินกลับมามีแร่ธาตุถือเป็นความคิดที่ถูกต้อง แต่หากจะให้ทำเป็นอาชีพเลยอาจไม่มั่นใจนัก
“เปลี่ยนมันอยากเปลี่ยนอยู่แล้ว แต่มันไม่ไหวหรอก สมมุติหันไปทำอ้อย ต้องลงทุนสูงอยู่ดี ไม่มีเครื่องมือด้วย ไหนจะตัด ไหนจะปลูก ไหนจะปุ๋ยแพงอีก คนจนอย่างเราเจ๊ง อ้อยไม่งามหรอก” ลุงนวยเห็นเช่นเดียวกับลุงพุดในประเด็นนี้
“จะมาบอกให้ปลูกผัก ปลูกหญ้า ปลูกอย่างอื่นมันทำได้ไหม ขนาดข้าวเขาทำมาดี มีตลาดขายยังเจ๊งขนาดนี้ แล้วจะให้ไปปลูกอย่างอื่น มันพูดง่ายๆ” ด้านป้าจันทร์ แสดงความเห็นถึงประเด็นนี้เช่นกันด้วยความไม่พอใจ
เสียงถึงรัฐบาล
“ไม่อยากให้ช่วยแบบประทังชีวิต อยากให้ราคาข้าวดี คนจะได้อยู่ดีกินดีแบบสมัยก่อน และอย่าให้ยาหรือปุ๋ยมันแพงแบบนี้” ป้าจันทร์แสดงความเห็นเมื่อถามว่าอยากให้รัฐบาลช่วยเหลือชาวนาด้านไหนอีกไหม
“เราขอแค่ช่วยเรื่องหนี้สิน ราคาข้าว และต้นทุนปลูกแค่นั้นเอง ถ้าราคาข้าวเพิ่มและต้นทุนปลูกมันเพิ่มก็โอเค แต่นี่ราคาข้าวลงแต่ต้นทุนสูงขึ้น มันไม่ไหว” ลุงนวยเสริม ก่อนทิ้งท้ายว่าสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้สำหรับเขาคือ การปลดหนี้สินให้ชาวนาก่อน
“สภาพตอนนี้มันหายใจไม่ออกเลย ซึ่งผมว่าถ้าแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ปลดหนี้สินให้ชาวบ้านได้มันจะช่วยเขามาก เขาจะได้ฟื้นฟูตัวเองแล้วกลับมาใหม่”
พรุ่งนี้อาจไม่มีชาวนาอีกแล้ว
ข้อสังเกตหนึ่งจากการลงพื้นที่ผู้ชุมนุมครั้งนี้ของผู้เขียนคือ ไม่มีคนหนุ่มสาวลงมาร่วมการชุมนุมเลย ซึ่งประเด็นนี้ พี่ตุ้ม เกษตรกรจากอยุธยาอธิบายว่า ในมุมมองของคนรุ่นใหม่ การทำนาได้รายได้กลับมาไม่คุ้มค่าต่อการลงแรงแล้ว “ทำแล้วมันไม่ได้เงินกลับมา มันก็หมดกำลังใจ เพราะทำนามันต้องลงทั้งแรงและเงิน แต่ถ้าไปทำโรงงานมันลงแค่แรงอย่างเดียวไม่ต้องลงเงิน มันเสี่ยงน้อยกว่า”
พี่ตุ้มเสริมว่าทุกวันนี้ คนหนุ่มสาวบางส่วนก็ยังกลับมาทำนาบ้าง แต่เป็นครั้งคราวเท่านั้นไม่ได้ทำเป็นอาชีพหลัก กล่าวคือทำอาชีพอื่นควบคู่ไปด้วย แต่เมื่อถึงฤดูนาก็กลับมารับจ็อบทำนาเป็นรายได้เสริม
เมื่อเราตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าเป็นแบบนี้แสดงว่าในอีกไม่เกิน 10 ปีอาจไม่มีชาวนาในประเทศไทยอีกต่อไปแล้วหรือเปล่า ป้าจันทร์หันมามองและทำตาโตแล้วพูดขึ้นว่า
“หูย! มันจะถึง 10 ปีหรอ” เธอกล่าวเชิงขบขัน ก่อนทิ้งท้ายว่า “จริงๆ ทุกวันนี้มันก็มี (คนหนุ่มสาวมาทำนา) แต่พอมาทำแล้วขาดทุนมันก็ไม่รู้ว่ามาทำเพื่ออะไร มีแต่คนแก่ที่ดักดานไปไหนไม่ถูกแล้ว ที่ต้องอยู่อย่างงี้”