ในยุคสมัยที่การถ่ายพรีเวดดิ้งกลายเป็นเทรนด์ที่คู่รักทุกคู่ต้องถ่ายก่อนจะเข้าสู่ประตูวิวาห์ แถมมาใกล้ๆ กับเทรนด์การถ่ายภาพแนวสตรีทที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่ช่างภาพ ทั้งสองอย่างนี้จึงรวมเข้ากันเป็นการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งแนวสตรีทที่คู่รักหลายคู่อยากจะมีโมเมนต์ดีๆ และได้เป็นเจ้าของภาพสวยๆ แบบนั้นบ้าง
แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของการถ่ายภาพก็คงหนีไม่พ้นความเป็นธรรมชาติของคู่บ่าวสาวที่ไม่ได้เป็นนายแบบนางแบบมาจากที่ไหน แค่การจะยิ้ม จะโพสต์ท่าก็ดูเก้ๆ กังๆ ไปซะหมด ไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย จนทำให้ใครหลายคนขยาดการถ่ายรูปไปเลยก็มี จึงเป็นหน้าที่ของช่างภาพที่จะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้
หนึ่งในช่างภาพพรีเวดดิ้งที่งานชุกที่สุดตอนนี้คงหนีไม่พ้น ศานิต นิธิกุลตานนท์ เจ้าของเพจ Sanit.portfolio ที่มีเอกลักษณ์คือการดึงเอาความเป็นธรรมชาติของคู่บ่าวสาวออกมาได้อย่างหมดจด โดยนำเอาการถ่ายพรีเวดดิ้งมาผสมกับภาพถ่ายแนวสตรีทได้อย่างลงตัว พร้อมมาด้วยคอนเซปต์ในการถ่ายแต่ละเซ็ตที่เล่าเรื่องด้วยภาพได้สนุกสุดๆ เพียงแค่ได้ดูภาพของเขาก็มีความสุขตามแล้ว คงไม่ต้องบอกว่าคู่บ่าวสาวในภาพจะมีความสุขขนาดไหน เราจึงชวนเขามาพูดคุยถึงเบื้องหลังผลงานพรีเวดดิ้งสุดเจ๋งและความสำคัญของอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผลงานออกมาได้ตามที่ต้องการ รวมไปถึงข้อปฏิบัติสำหรับคู่บ่าวสาวที่ต้องเตรียมตัวถ่ายพรีเวดดิ้งยังไงให้ออกมาดูดีที่สุด
เริ่มต้นถ่ายภาพได้ยังไง
ผมเริ่มจับกล้องมาตั้งแต่เรียนม.ปลาย เริ่มจากการถ่ายรูปรับปริญญา ถ่ายเพื่อนๆ ถ่ายญาติพี่น้อง พอเข้ามหา’ลัยก็รับงานถ่ายมาเรื่อยๆ พอเรียนจบมาก็ไปสมัครงานปกติ แต่ขอเขาลางานไปถ่ายรูปด้วย เขาก็บอกให้ออกไปเป็นช่างภาพเถอะ แล้วช่วงนั้นมีนิตยสารสัตว์เลี้ยงกำลังหาช่างภาพ ก็เลยลองไปสมัครดู ได้ถ่ายรูปหมาแมวอยู่สองปีก็คิดว่าไม่น่าจะรุ่ง เลยหันมาถ่ายรูปแฟชั่นหรือพวกโปรดักต์แทน
พอเริ่มถ่ายงานมากขึ้นก็ทำให้มีคนรู้จักมากขึ้น มีคนแต่งงานก็เลยแนะนำให้ไปถ่าย จำได้ว่าเพื่อนพี่ชายจะแต่งงาน เขาก็ให้ไปถ่าย ตื่นเต้นมาก แต่ด้วยความที่เราเป็นช่างภาพอยู่แล้วก็พยายามหามุมมองของเรา แต่ก็ยังแข็งๆ อยู่ ไม่รู้ว่าจะเอ็นเตอร์เทนยังไงให้บ่าวสาวรีเล็กซ์ เราชอบถ่ายรูปอยู่แล้วเราก็อยากตั้งใจทำงาน อยากให้งานออกมาดี ถามว่าชอบมั้ยก็ไม่ได้ชอบ แต่ก็พยายามถ่ายมาเรื่อยๆ
มาถึงจุดไหนที่ทำให้ตัดสินใจถ่ายพรีเวดดิ้งแบบจริงจัง
ตอนแรกผมมองว่าพรีเวดดิ้งถ่ายยากมาก เกลียดมากกับการที่ให้บ่าวสาวทำอะไรกันทั้งวัน จะจูบกันทั้งวันเหรอ เลยเป็นความรู้สึกที่ไม่อยากถ่ายเลย มันกดดันตัวเอง แล้วเราเองก็ยังไม่รู้สไตล์ด้วย ช่วงนั้นก็กำลังฮิตโพสต์แบบใช้แฟลช เราก็พยายามทำ แต่ก็ยังไม่ค่อยโอเคนัก เหมือนยังหาตัวเองไม่เจอ
จนไปเจอเหตุการณ์หนึ่งที่เหมือนเป็นการปลดล็อก ตอนนั้นไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วไปเห็นคนกำลังถ่ายพรีเวดดิ้งกันอยู่ มีฝรั่งคนหนึ่งมาถามว่าเขาทำอะไรกัน ผมก็บอกไปว่าเขากำลังถ่ายพรีเวดดิ้งกันอยู่ เขาสงสัยว่าทำไมสองคนนั้นถึงดูไม่มีความสุขเลย ดูเครียดๆ แข็งๆ ไปหมด เป็นประโยคที่ตบกบาลเราว่า เออ ทำไมมันดูเครียดจัง ทุกอย่างแข็งไปหมด ทำให้เราเข้าใจใหม่ว่า วันที่ถ่ายพรีเวดดิ้งควรเป็นวันที่สบายๆ เป็นตัวของตัวเองของบ่าวสาว หลังจากนั้นผมก็เริ่มถ่ายโดยใช้อารมณ์เป็นหลัก พยายามทำให้เขารู้สึกสบายๆ เป็นตัวของตัวเองที่สุด จากที่เคยยอมถ่ายพรีเวดดิ้งเพราะว่าได้ตังค์ ก็เริ่มเปลี่ยนมุมมองใหม่ เริ่มสนุกไปกับบ่าวสาว กลายเป็นการทำงานที่มีความสุข เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรารู้แนวทางการถ่ายพรีเวดดิ้งของตัวเอง
มีเทคนิคไหนที่ใช้เป็นประจำแล้วได้ผลกับทุกคู่
เวลาผมถ่ายงานจะเหมือนถ่ายวิดีโอมากกว่า คือให้เขามี movement ไปเลย ถ้าเราอยากได้มุมนี้ก็จะให้เขาเคลื่อนไหวไป ถ้ากอดก็ให้กอดแน่นขึ้นหรือเหวี่ยงตัวหรือมีกิจกรรมอื่นๆ ไปด้วย ถ้าเราบอกให้ใครสักคนจับมือกัน เวลาอยู่ต่อหน้ากล้องเขาก็จะแข็งๆ เพราะฉะนั้นผมจะไม่ให้จับมืออย่างเดียว ให้แกว่งมือแล้วคุยกันไปด้วย ให้เจ้าบ่าวขยี้มือเจ้าสาวหน่อย เขาก็จะสนใจกับการขยี้มือ สุดท้ายเขาก็จะไม่สนใจหรือลืมไปเลยว่าถูกถ่ายรูปอยู่ หรืออาจจะพูดให้เขาขำขึ้นมา แล้วเราก็ snap เก็บโมเมนต์นั้นไว้ นี่คือเทคนิคที่ผมใช้ประจำ
อย่างตัวผมเองก็คิดว่าการกอดจูบเป็นสิ่งที่เราทำปกติอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยทำต่อหน้าคนอื่น สิ่งที่ออกมาก็จะไม่ใช่คนรักกันแบบหวานซึ้ง ความรู้สึกในการจูบจะไม่ใช่แบบอีโรติก แต่จะเป็นแบบแนวแกล้งกัน แต่ถ้าเขารักกันหวานซึ้งก็จะมีอารมณ์ของเขาเอง ซึ่งการจูบก็มีหลายแบบหลายอารมณ์ เราแค่สะท้อนในมุมที่ตรงกับคาแรกเตอร์บ่าวสาวให้มากที่สุด
ปัญหาอย่างหนึ่งสำหรับคู่บ่าวสาวคืออยากได้รูปสวยๆ แต่ไม่มั่นใจในตัวเอง ในฐานะช่างภาพมีวิธีบอกยังไง
ดีไม่ดียังไงเราก็ต้องบอกว่ามันโอเคไว้ก่อน คือตัวเราเองต้องไม่เครียดก่อน ถ้าตัวเราเครียดปุ๊บ ทุกอย่างจะเครียด ถ้าตัวเราเกร็ง ตัวแบบก็จะเกร็ง ทุกอย่างสะท้อนจากตัวเราเองหมด เพราะบ่าวสาวเขาต้องทำตามเราหมด เพราะฉะนั้นเวลาไปจึงต้องมีทีมงาน ผมก็จะคัดคนที่เฮฮาปาร์ตี้หยอกล้อเก่ง เพื่อมาช่วยกันทำให้บรรยากาศไม่ซีเรียส ผมจึงไม่มีการมาเซ็ตแบบนี้ๆ เหมือนให้เขาพยายามเล่นกันเอง พอเขารู้สึกว่าทำอะไรก็ได้ เขาก็จะไม่ซีเรียส รูปออกมาก็จะดี เพียงแต่ว่าทุกอย่างอยู่ในองค์ประกอบที่เตรียมมาแล้ว ดูทิศทางของแสง จะให้ย้อนแสงหรือตามแสง ให้เราได้มุมที่เราต้องการ ถึงค่อยปล่อยให้เขาทำอะไรสักอย่าง
เป็นความโชคดีที่ไอเดียต่างๆ ของผมที่ออกทำให้คนเริ่มรู้จักมากขึ้น บ่าวสาวก็มีความเชื่อมั่นในตัวผม ซึ่งเวลาถ่ายผมจะไม่ค่อยชอบให้ลูกค้าดูรูปหลังกล้องก่อน เพราะผู้หญิงส่วนมากจะไม่ดูอะไรนอกจากหน้าตัวเอง ศิลปะที่เราวางมา เส้นแสงสวยงาม เพอร์เฟกต์มาก แต่พอเขาดูรูปแล้วอยากให้ถ่ายใหม่ เราก็พยายามบอกเขาว่า ความธรรมชาติจะหายไปนะ ของพวกนี้สามารถปรับได้ทีหลัง ขอเน้นองค์ประกอบไว้ก่อน ถ้าไปมัวสนใจกับหน้าคุณอย่างเดียว ยืนแบบหุ่นยนต์คุณจะโอเคเหรอ สู้คุณยิ้มให้เป็นธรรมชาติ แล้วเรารีทัชให้ดีกว่ามั้ย เราก็ต้อง convince ว่าสิ่งที่เรามอบให้เขามันดีกว่า คือพยายามอธิบายด้วยเหตุผล เวลาส่งรูปผมจะเป็นคนคัดเองทั้งหมด เพราะรู้สึกว่าถ้าเขาเห็นก่อนจะไม่เซอร์ไพรซ์ ให้เหมือนเป็นของขวัญจากช่างภาพ ให้เห็นสิ่งที่เขาลงทุนไปทั้งวันว่าจะออกมาเป็นยังไง
มองว่าอะไรคือหัวใจของการถ่ายพรีเวดดิ้งสำหรับคุณ
บางทีคนเราไม่ชอบธรรมชาติของตัวเอง เพราะเวลาเราดูรูปของคนอื่นเราจะชอบ แต่เจ้าตัวจะไม่ชอบ ผมเลยถามว่าเวลาลงเฟซบุ๊กคุณให้ใครดู ให้ตัวเองหรือให้คนอื่นดู ถ้าให้คนอื่นดู แล้วรูปนี้ทำให้คนอื่นยิ้มหัวเราะได้ก็ประสบความสำเร็จแล้ว การที่คุณกำลังยิ้มแล้วปากอาจจะเบี้ยวข้างหนึ่ง แต่ถ้าเป็นการยิ้มออกมาจริงๆ คนดูจะรู้สึกได้ เพราะบางคนจะกลัวฟันไม่สวยบ้าง แล้วจะไม่กล้ายิ้มออกมาจริงๆ ผมจึงพยายามบอกให้ยิ้มที่เป็นตัวคุณเองที่สุด เพราะผมต้องการความเป็นธรรมชาติจากเขาที่สุด
อีกปัญหาอย่างหนึ่งคือเรื่องของเจ้าบ่าวที่ไม่ค่อยอยากถ่าย เราก็มองจากตัวเองก่อน ตอนที่ผมแต่งงานก็ยังไม่อยากถ่ายเลย ทำให้เข้าใจผู้ชายด้วยกัน ผมจึงพยายามพูดคุยกับเจ้าบ่าวว่ามันไม่ซีเรียสขนาดนั้น พยายามทำทุกอย่างให้สบายๆ เหมือนเขาไปเที่ยวกัน ไม่ได้บอกว่าต้องมีแบบนั้นแบบนี้ เวลาถ่ายก็ไม่ต้องคิดอะไรเลย เหมือนมาเที่ยวละกัน ทุกอย่างเราจัดการให้
การถ่ายพรีเวดดิ้งเป็นการทำงานกับคนหลากหลาย เคยเจอเหตุการณ์แบบไหนที่ทำให้ทำงานยากที่สุด
ที่เคยเจอแล้วอึ้งไปเลย คือถ่ายๆ อยู่ แล้วพอจบวันเขาเลิกกันต่อหน้าผมเลย รู้สึกเฟลมาก เพราะว่าการถ่ายพรีเวดดิ้งคือการทำให้ทั้งสองคนมีความสุข เหมือนว่าเจ้าบ่าวเขาไม่อยากถ่ายรูปเลย เพราะเป็นคนขี้อายมาก ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอรู้เลยว่าเขาไม่สนุกด้วยแน่นอน ผมก็เข้าไปบอกว่าผมเข้าใจ รู้ว่ามันเครียด พยายามใช้จิตวิทยาว่าเราอยู่ฝั่งเดียวกับเขา จากที่เขินๆ ก็เป็นธรรมชาติมากขึ้น
แต่พอสามชั่วโมงแรกผ่านไปก็เริ่มเต็มลิมิตเขาแล้ว ยิ่งต้องมาเดินถนน แล้วเป็นคนขี้อายด้วย ส่วนเจ้าสาวก็เฮฮาบ้าบอคอแตก พอเขาเริ่มไม่โอเคผมก็ให้นั่งเซ็งๆ แล้วถ่ายไปเลย สะท้อนคาแรกเตอร์ของเขาออกมาจริงๆ แล้วยิ่งต้องเปลี่ยนชุดนานๆ เขาก็เริ่มไม่ไหว พอถึงจุดหนึ่งเขาก็บอกว่าไม่ถ่ายแล้ว ซึ่งผมก็มีสแตนดาร์ดในการทำงาน เพราะรู้ว่าถ่ายมาทั้งวันรูปมันได้แล้ว ผมก็บอกว่าพอเถอะ แต่เจ้าสาวยังอยากถ่ายอยู่ เขาก็ทะเลาะกัน เจ้าสาวก็บอกเลิกกันไปเลย ถ้าทำแค่นี้เพื่อกันไม่ได้ ผมก็บอกว่าใจเย็นๆ ถ้าต้องเลิกกัน งานวันนี้ผมขอไม่เอาตังค์ เพราะถือว่าไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาต้องเลิกกัน ผมก็พยายามไกล่เกลี่ย นัดมาเอารูปแล้วมาเจอกัน บอกว่ารูปมันโอเคน่ารักนะ ก็พยายามคุยกับเขา จนเวลาผ่านไปเกือบเดือน เขาก็โทรกลับมาว่าจัดงานแต่งเรียบร้อยแล้ว ผมก็โล่งไป
มีวิธีคิดในการวางคอนเซปต์ของการถ่ายแต่ละเซ็ตอย่างไร
ผมชอบคิดอะไรแปลกๆ อยู่แล้ว มีอะไรที่กระตุกต่อมแล้วสามารถเล่นได้ก็จะคิดต่อ หรือถ้ามีอะไรบางอย่างของบ่าวสาวที่สะท้อนมาถึงตัวเราก็จะเลือกมาเล่น อย่างงานที่ถ่ายให้พี่เกลือ เป็นต่อ (กิตติ เชี่ยววงศ์กุล) เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมชอบการถ่ายสตรีทเพราะเขาอยากได้แบบสบายๆ ธรรมชาติๆ หรือมีคู่หนึ่งที่จริงๆ เขาอยากไปญี่ปุ่น แต่ก็อยากได้แบบแหวกๆ เราก็บอกว่าถ้าไปญี่ปุ่นนี่ไม่แหวกนะ เราก็แนะนำไปอินเดียไหม ไปเจอความเป็นสตรีท เขาก็บ้าจี้ลองไปดู ซึ่งจริงๆ เขาเป็นคนมีตังค์ แต่ก็อยากให้เขาไปลองอะไรใหม่ๆ ดิบๆ ซึ่งอินเดียมีเรื่องราวข้างทางเยอะมาก เป็นงานที่ถ่ายนานแล้วก็ยังคิดถึง
อย่างล่าสุดผมเพิ่งลงเซ็ต The Master of Kiss คือสะท้อนคาแรกเตอร์จากตัวเจ้าบ่าวที่เป็นคนบ้าๆ บอๆ เลย กลับไปดูกี่ครั้งก็ยังหัวเราะได้ หรือเราอาจจะสร้างธีมขึ้นมาเพื่อให้น่าสนใจมากขึ้น ผมเป็นคนชอบสร้างเรื่องราวอยู่แล้ว มีต้น กลาง จบ มีจุดพีค ซึ่งไม่ได้มองว่าต้องแตกต่าง แต่ทำแล้วสนุกก่อน บางคนชอบคิดว่าต้องเตรียมงานหลายเดือน จริงๆ ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรขนาดนั้น หรืออย่างเซ็ต 2499 Bangkok Dangerous คิดว่าถ้าใส่ชุดแล้วเดินเฉยๆ ก็ไม่มัน มันต้องมีชกต่อยด้วย ผมก็ไปจ้างผู้ช่วยมาเป็นตัวประกอบเพิ่ม สร้างเรื่องราวคร่าวๆ ขึ้นมา แต่เจออะไรก็ถ่ายไปเก็บไว้ก่อน แล้วค่อยมาดูว่าสามารถร้อยเรียงยังไงได้บ้าง ซึ่งผมจะเน้นรูปสวยด้วยแสงก่อน
มองเทรนด์การถ่ายพรีเวดดิ้งทุกวันนี้เป็นอย่างไร
เริ่มเปิดกว้างมากขึ้น แต่ก่อนอาจจะเป็นแค่การยิงแฟลชแล้วเน้นโพสต์ ซึ่งจริงๆ มันสวย ดูแล้วมีมูลค่า แต่ก่อนผมก็อยากถ่ายแบบนั้นแต่ทำไม่ได้ เราเป็นคนใช้เลนส์ไวด์ไม่เก่งด้วยมั้ง แต่ตลาดทุกวันนี้คนไม่ได้มองแบบนั้นแบบเดียว ซึ่งในความคิดของผมพรีเวดดิ้งคืออะไรก็ได้ แล้วแต่ที่บ่าวสาวต้องการ ขอให้ดูแล้วสร้างสรรค์ คนดูเห็นแล้วมีความสุข ซึ่งพอมันเปิดกว้างขึ้น ไม่ได้เป็นแค่แบบใดแบบหนึ่ง ทำให้การถ่ายพรีเวดดิ้งเริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆ
คุณให้ความสำคัญกับการโปรเซสภาพหลังถ่ายมากน้อยขนาดไหน
สำคัญมาก เพราะว่าการปรับสีหรือรีทัชคืออีกคาแรกเตอร์หนึ่งที่ช่างภาพจะสามารถใส่เข้าไปได้ เพราะแค่ถ่ายภาพออกมาปกติก็อาจมีคาแรกเตอร์ของคุณประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่อีก 40 เปอร์เซ็นต์คุณสามารถเปลี่ยนสีให้เป็นสไตล์ของคุณได้ เพื่อตอกย้ำความเป็นคุณ ในฐานะช่างภาพผมมองว่าถ้าเราสามารถทำอะไรให้ลูกค้าเพิ่มได้ ทำไมเราจะไม่ทำ บางคนอาจจะบอกว่าถ่ายแล้วส่งเลยได้ไหม เราก็บอกว่าได้ แต่เราอยากทำให้ดีกว่านั้น สำคัญคือทำให้ภาพดูน่าสนใจมากขึ้น เหมือนคนเราเวลาแต่งตัว ถามว่าใส่เสื้อยืดสีขาวได้มั้ย ก็ได้ แต่ขอเพิ่มลายเข้ามาหน่อย ให้เป็นการบ่งบอกความเป็นตัวเองออกมา
อุปกรณ์อย่างจอมอนิเตอร์จึงสำคัญมาก จากที่เคยใช้หลายๆ ยี่ห้อมา แล้วได้มาลองใช้ LG UltraHD 4K Monitor คิดว่าการใช้งานง่ายขึ้นเยอะ ยอมรับว่าสีตรงจริงๆ เคยมีปัญหาเรื่องสีไม่ตรง แต่พอมาใช้ตัวนี้โอเคมาก เพราะผมให้ความสำคัญกับเรื่องสีมาก จะเพี้ยนไม่ได้เลย
แสดงว่าอุปกรณ์อย่างจอมอนิเตอร์เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับช่างภาพ
จำเป็นมาก เพราะปกติเวลามีงานในสตูดิโอผมจะใช้วิธียกทีวีไปตั้งเพื่อเปิดรูป แต่ถ้าใช้มอนิเตอร์จะสามารถยิงจากจอคอมพ์แล้วต่อลิงค์ออกมาให้ลูกค้าได้ดูทันที ทำให้การทำงานดู professional มากขึ้น จากที่ต้องมาดูจอเล็กๆ ก็มีจอแยกนั่งดูได้สบายๆ อำนวยความสะดวกได้มากขึ้น แล้วสามารถใช้งานยืดหยุ่นได้ ปรับแนวตั้งแนวนอนได้ ระหว่างทำงานเกิดต้องแชทคุยกับลูกค้า ปกติเราต้องสลับหน้าจอไปมา แต่นี่แค่เหลือบไปมองอีกจอหนึ่งได้แล้ว เหมือนเราจับปลาสองมือในเวลาเดียวกัน หรือเราอยากจะ compare รูป ดูรูปนี้อยู่แล้วเราอยากดูสีอีกรูปหนึ่งก็สามารถทำได้ง่ายๆ เลย
แล้วยิ่งตอนโปรเซสภาพ เราอยากจะดูรายละเอียดให้มันใหญ่ขึ้น พอใช้จอของ LG มันดีมากจนน่าใจหาย แล้วยิ่งผสานกับการทำงานของกล้องทำให้เห็นรายละเอียดเยอะขึ้น บางทีพอเราซูมดูแล้วมันชัดไปมั้ย เห็นสิวเห็นรูขุมขนทุกอย่างเลย ทำให้เราเห็นจุดบกพร่องที่บางทีการมองจอเล็กๆ ไม่เห็น และที่สำคัญคือช่วยเซฟสายตาเรา ไม่ต้องเพ่งมากด้วย
อยากบอกอะไรกับช่างภาพรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในวงการพรีเวดดิ้ง
อยากให้ตั้งใจทำงาน บางคนชอบขอ preset ผมก็บอกว่ามันไม่มีทางลัดหรอก ต้องทำอะไรด้วยตัวเอง ผมมีผู้ช่วยที่อยากเรียนรู้ ผมก็ไม่เคยกั๊กความรู้ มีอะไรก็สอนหมด จนวันนี้มันถ่ายได้เหมือนผมเลย เพราะฉะนั้นคุณต้องมีความพยายาม ไม่ใช่ว่ามีเงินจะซื้อได้ ประสบการณ์ต้องสะสมด้วยตัวเอง เคยมีช่างภาพบางคนบอก ถ้ามีเงินร้อยก็ทำให้ร้อยพอ มีห้าสิบก็ทำให้ห้าสิบ แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น คุณเป็นช่างภาพคุณควรใส่เต็มที่ในทุกๆ งาน ถ้าวันนี้คุณทำแค่ห้าสิบบาท ต่อไปคุณก็จะขายงานได้แค่ห้าสิบบาท แต่ถ้าวันนี้คุณทำเป็นหมื่นเป็นแสน งานต่อไปคุณก็ขายงานได้เท่าที่คุณทำตอนนี้ ทำอะไรควรทำเต็มที่ ไม่ต้องกั๊ก แล้วคนจะเห็นคุณค่าของงานคุณเอง และให้เกียรติคนทำงานด้วยกัน เพราะว่ารูปภาพไม่มีคำว่าสวยที่สุด มีแต่คำว่าชอบหรือไม่ชอบ เป็นแค่เทสของคน
ดูเหมือนว่าปัญหาสำคัญของช่างภาพหน้าใหม่คือการหาเอกลักษณ์ในงาน คุณมีคำแนะนำอย่างไร
ตัวผมเองตอนแรกก็ไม่รู้เหมือนกัน จนกระทั่งทำงานมาเป็นสิบปีถึงมาค้นพบ ผมมองว่างานควรจะออกมาจากตัวเอง คุณเป็นคนลักษณะไหน งานก็ควรจะออกมาเป็นตัวคุณ อย่างผมเป็นคนไม่ซีเรียสงานผมเลยออกมาแบบไม่เป็นทางการมาก หรือผมเป็นคนชอบคิดอะไรแปลกๆ งานเลยออกมาแหวกแนว อย่าทำงานแล้วฝืนธรรมชาติตัวเอง เป็นคนแบบไหนก็พยายามสะท้อนความเป็นตัวเองออกมาในรูปภาพ ไม่ใช่ว่าเป็นคนขี้เกียจแล้วถ่ายแบบขี้เกียจ การหาเอกลักษณ์ในงานจึงเริ่มต้นจากการมองตัวเองก่อน ถ่ายอะไรแล้วรู้สึกมีความสุข ถ้าพยายามแล้วไม่มีความสุข นั่นก็อาจไม่ใช่ทางของคุณ
อยากฝากอะไรถึงบ่าวสาวที่ต้องเตรียมตัวถ่ายพรีเวดดิ้งบ้าง
ผมอยากจะบอกว่าไม่ต้องเตรียมอะไรเลย เตรียมแค่สิ่งของเสื้อผ้าและตัวคุณก็พอ การจ้างช่างภาพสักคน คุณแค่เชื่อใจเขา ไม่ต้องคิดว่าเขาจะทำยังไงกับคุณ เพราะช่างภาพอาชีพเขาจะรู้อยู่แล้วว่าต้องทำยังไง เพราะถ้ายิ่งคิดมาก หน้าคุณก็จะกังวล รูปไม่มีทางออกมาดีแน่ๆ เพราะฉะนั้นต้องเชื่อใจช่างภาพ เขาให้ทำอะไรก็ทำตาม ปล่อยให้เขาทำงานได้เต็มที่ รูปที่ออกมาก็จะได้อย่างที่คุณชอบแล้วเลือกเขามานั่นแหละ