“ก่อนหน้านั้นก็อึดอัดมาตลอด ยิ่งเข้าวงซีควินท์ก็ยิ่งอึดอัด เพราะว่ามันเป็นตัวเองไม่ได้ การที่เราจะต้องกับทำตัวให้ดูเหมือนผู้ชาย มันเป็นมาอัตโนมัติตั้งแต่เด็ก มันอึดอัดในตัวเรา ว่าทำไมกูเป็นตัวเองไม่ได้เลยวะ”
โยชิ – นิมิต มนัสพล หรือเคยเป็นที่รู้จักในชื่อ โยชิ ซีควินท์ เอ่ยถึงความอึดอัดในอดีต สะท้อนให้เห็นว่า อดีตของชาว LGBTQ+ ส่วนใหญ่ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยสวยงาม เพราะการเป็นตัวเอง กลายเป็นสิ่งต้องห้ามที่ยากจะแสดงออก จะด้วยบริบทของสังคม หน้าที่การงาน หรือกระทั่งสภาพแวดล้อมในครอบครัวก็ตาม
The MATTER ชวน โยชิ นิมิต เปิดอกพูดคุยถึงประเด็นเพศสภาพของตัวเองในอดีต การก้าวข้ามผ่านความกลัวต่างๆ ในวันที่สังคมยังไม่เปิดกว้างเรื่องเพศ สู่ปัจจุบันที่เป็นตัวเอง
อยากให้เล่าถึงชีวิตตอนเด็กๆ ว่าเป็นยังไงบ้าง
บ้านโยจะเป็นบ้านคนจีน พ่อจะเป็นคนดุพอสมควรเลย พ่อเคยเล่าให้ฟังตลอดว่าเขาเคยทำงานในสนามบิน แล้วก็จะมีพวก LGBTQ+ ที่ทำงานอยู่สนามบินชอบ hook up กับพวกฝรั่งที่สนามบิน คือเป็นเรื่องไม่ดีตลอด เขาจะคอยบอกตลอดว่าโตขึ้นอย่าเป็นแบบพวกชายรักชายนะ ทำให้มีอะไรสักอย่างหนึ่งในหัวเราที่บอกตลอดว่านี่คือสิ่งที่ผิด ตอนอยู่มัธยมก็แทบไม่ได้ออกอาการเหมือนกับเป็นเกย์ ตุ๊ด กะเทย ไม่มีเลย จะเหมือนกับเด็กผู้ชายทั่วไป ตั้งแต่เด็กจนโตมาเลยต้องพยายามเป็นผู้ชายให้มากที่สุด
เริ่มรู้ตัวตอนไหนว่าเป็น
รู้ตั้งแต่เกิดแล้ว รู้สึกว่าเวลามองเพื่อนผู้ชายแล้วดูมีเสน่ห์กว่ามองผู้หญิง แต่ในขณะเดียวกัน มีเพื่อนผู้หญิงมาชอบเราเยอะด้วยนะ แอบเอาดอกไม้ เอาช็อกโกแลตมาให้ แต่ก็รู้สึกว่าไม่ได้ชอบใครเลย ตอนมัธยมก็อยู่โรงเรียนชายล้วน ก็เลยไม่ได้มีแฟน แต่ตอนนั้น ด้วยบริบทสังคมทุกอย่างมันพาไปกับกลุ่มเพื่อนผู้ชาย เวลาไปเรียนพิเศษที่สยาม เพื่อนก็ยุให้ลองจีบคนนั้นคนนี้ไหม ตอนนั้นจำได้ว่าไปเรียนพิเศษ ก็มีพวกหนุ่มป๊อบสาวป๊อบ แล้วตอนนั้นเรายังไม่ได้เข้าวงการ เราก็พยายามอยากจะจีบ แต่ไม่ได้อยากจะจีบเพราะเราชอบผู้หญิงคนนั้น แต่อยากจะจีบเพื่อให้รู้สึกว่าคูลในกลุ่มเพื่อนเรา เพื่อให้รู้สึกว่าเราเป็นชายแท้ว่ะ โชคดีที่จีบไม่ติดด้วย ไม่อย่างนั้นจะยิ่งยุ่งเหยิงกันไปใหญ่
พอตอนที่เข้าวงการ มาอยู่วงซีควินท์ ซึ่งเป็นบอยแบนด์ด้วย รู้สึกอึดอัดขนาดไหน
ก่อนหน้านั้นก็อึดอัดมาตลอด ยิ่งเข้าวงซีควินท์ก็ยิ่งอึดอัด เพราะว่ามันเป็นตัวเองไม่ได้ การที่เราจะต้องกับทำตัวให้ดูเหมือนผู้ชาย มันเป็นมาอัตโนมัติตั้งแต่เด็ก มันอึดอัดในตัวเรา ว่าทำไมกูเป็นตัวเองไม่ได้เลยวะ แล้วยิ่งเวลาออกทัวร์ต่างจังหวัด ก็ดันมีเพื่อนอยู่ในห้องอีก คือเราอยู่บ้านคนเดียว เราอยากจะเปิด Britney อยากจะเปิด Beyoncé เราก็เปิดได้ เพื่อนในวงก็เหมือนกับเดาๆ กัน บางคนก็บอกว่ารู้ บางคนก็บอกว่าไม่รู้ บางคนก็บอกว่าก็ไม่แน่ใจ แต่โยก็ว่าทำไมจะไม่แน่ใจวะ ถ้าโยเป็นเพื่อนโยก็รู้ แล้วยิ่งเรื่องความรักคือปิดประตูไปเลย เพราะว่าไม่กล้ามี
แน่นอนว่าตอนอยูในวง ต้องมีแฟนคลับผู้หญิงเข้ามา วางตัวยังไง
กับแฟนคลับผู้หญิง โยว่าไม่รู้ว่ามันมีออร่าอะไรในตัวเองนะ แต่โยรู้สึกว่าแฟนคลับที่เป็นผู้หญิงส่วนใหญ่ ไม่ได้กรี๊ดแบบอยากกินเรา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากรี๊ดอะไร คงเป็นแบบแค่เป็นนักร้องมั้ง ไม่ได้แบบ โอ้โห ฉันอยากจะกินคนนี้ ฉันจะต้องแต่งตัวเซ็กซี่มายั่วศิลปิน แต่สำหรับเราจะเป็นเด็กๆ น้องๆ เพราะฉะนั้นกับแฟนคลับก็จะรู้สึกสบายใจ เรื่องว่ารู้รึเปล่า แฟนคลับก็คงเดาๆ กัน แต่ถ้าเราบอกว่าเราไม่เป็น แฟนคลับจะไฟต์ให้ด้วย จะคอยซัพพอร์ตเราตลอดเวลา อันนี้น่ารักมาก
ในยุคนั้น มีศิลปินรุ่นพี่หรือคนในวงการที่เขา come out ออกมาบ้างไหม
ไม่มีเลย เพราะ category แบบโย สมัยนี้อาจจะมีมากขึ้น แต่สมัยนั้นไม่มีเลย แบบที่เปิดตัวมาเป็นชายแท้ ขายหล่อ แล้ววันหนึ่งถ้าฉันเป็นเก้ง คนกลุ่มนี้ก็จะยังไม่เปิดตัว เพราะว่ายังมีทัศนคติที่ไม่รู้จะเปิดตัวไปทำไม แล้วก็ไม่อยากเปิดตัวด้วย ก็แอบๆ ต่อไป จะไม่เหมือนกันกับ category อื่นๆ อย่างเช่นเป็นเก้งสาย comedy ที่ส่วนใหญ่จะไปทางตลกกันหมด ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เป็นตัวเองได้เลย
พอเป็นแบบนั้นแล้ว รู้สึกกลัวไหม ว่าถ้าเกิดเรา come out ออกมาแล้ว แฟนคลับหรือสังคมอาจจะแอนตี้ได้
เอาจริงๆ นะไม่ได้แคร์ไปถึงสังคมเลย แต่แคร์บริษัทมากกว่า เพราะว่าตอนนั้นเราก็เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์นี้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ทำให้รู้สึกว่าอึดอัดมาก คือคนในเหมือนกับจ้องจะจับผิด คือเราร่วมงานกับใครทุกคนก็พร้อมจะเอาเราไปเม้าท์ลับหลังหมดเลย พี่ที่เราสนิทก็จะมาบอกเรา บอกว่าไปได้ยินเรื่องนี้จากพี่คนนี้มา เขาคุยกันอย่างนี้ เราก็รู้สึกเสียใจว่ะ เรื่องแค่นี้ยังเป็นประเด็นเลย ทำให้เขาไม่เอาเราเป็นตัวชูในเพลงต่างๆ คือเป็นตัวชูร้อง แต่ไม่ได้เป็นตัวชูหน้า อัลบั้มนี้เพลงโปรโมตใช้คนนี้นะ อัลบั้มหน้าใช้คนนี้นะ แต่ไม่เคยมาถึงเราเลย เราก็รู้แหละว่ามันเพราะเหตุผลอะไร จะมีช่วงที่เขาเอาไปเม้าท์ว่า พอดีมีรายการหนึ่งติดต่อซีควินซ์ไปออก แต่ให้โยชิไปไม่ได้หรอก เพราะว่าเดี๋ยวพอไปเซอร์ไพรซ์แล้วโยจะกรี๊ดสาวแตกขึ้นมา จะทำยังไง แล้วเราก็แบบ ห๊ะ กูเนี่ยนะไปกรี๊ดสาวแตก คือกูเคยกรี๊ดที่ไหนวะ การที่คุณพูดแบบนี้คือคุณเหมารวม คือตุ๊ดก็อาจจะไม่กรี๊ดสาวแตกก็ได้ เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้รู้สึกท้อใจเวลาทำงาน
รู้สึกเคว้งคว้างไหม ที่ไม่มีใครไว้ใจได้หรือเข้าใจเราเลย
ถามว่าเคว้งคว้างไหม ก็รู้สึกเคว้งคว้างนิดหนึ่ง แต่ยังดีที่เราก็มีเพื่อนมหา’ลัย หรือเพื่อนข้างนอกที่คุยกันตลอดคอยเป็นกำลังใจให้ ส่วนเพื่อนในวงก็น่ารักกันทุกคน ไม่มายุ่งวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัว แต่จะมีอีพิชญ์ที่บางทีก็ปากหมานิดหนึ่ง จะคอยล้อ ตอนนั้นนิตยสาร Volume ที่ถ้าใครได้ถ่ายชุดว่ายน้ำ ก็คือจะเป็นพวกผู้ชายฮอตของปีนั้น แล้วตอนนั้นเขาก็ถามมาว่าปีนี้โยชิอยากถ่ายไหม แล้วอีพิชญ์ก็ขี้เมาท์ บอกว่าไอ้โยจะไปถ่ายชุดว่ายน้ำเหรอ หนังสืออะไร Maxim เหรอ ตอนนั้นก็โกรธมันเลย เพราะว่าอีพิชญ์เป็นพวกขี้บูลลี่อยู่แล้ว คือถ้าจะล้อเล่น ล้อเล่นเรื่องอื่น จะล้อหน้ากู จะล้อหุ่นกู จะล้ออะไรก็ล้อไป แต่การที่มึงเอาหนังสือผู้หญิง แล้วมาบอกว่ากูจะไปขึ้นหนังสือผู้หญิงเหรอ มันเหมือนกับว่ากำลังพูดในเชิงว่า กูเป็นกะเทย กูเป็นผู้หญิง ทำให้ยิ่งสุมไฟกันเข้าไปใหญ่ มันมีมูลไปเรื่อยๆ
มีคำพูดแบบไหนที่ฟังแล้ว รู้สึกแย่กับมันบ้าง
จะมีคำที่ฟังแล้วไม่ชอบตั้งแต่เด็ก อย่างคำว่า แอ๊บแมน หรือ สาวแตก ซึ่งแต่ก่อนไม่ชอบนะ เดี๋ยวนี้ใครอยากจะพูดก็พูด เพราะเราไม่สนใจแล้วไง แต่ก่อนพวกหนังสือซุบซิบดารา มีครั้งหนึ่งเคยโดนเอาไปลงหน้าปกเขา เพราะไปกินข้าวกับฝรั่งคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนที่ไม่ได้มีอะไรกันด้วย แล้วนักข่าวบันเทิงคือชอบขยี้ข่าวเก้ง เหมือนล่าแม่มด ใครเป็นเก้งกูจะต้องจับมาประจานให้ได้ แล้วมันก็จะชอบใช้คำประมาณแบบสาวแตก แอ๊บแมน คือเรารู้สึกว่าอ่านแล้วแม่งมวนท้องจังเลย
ตัดภาพมาปัจจุบันในยุคโซเชียลฯ คอมเมนต์แบบไหนที่รู้สึกไม่ชอบบ้าง
จะบอกว่าช่วงนี้โชคดีที่ไม่ค่อยมีใครคอมเมนต์ในเชิงลบกับโยนะ แต่ถึงแม้ว่าใครที่คอมเมนต์ในเชิงลบมา ถ้าตอบได้จะตอบ แต่ส่วนใหญ่แล้วโยจะปล่อยผ่าน เพราะว่านิดๆ หน่อยๆ จะไม่ค่อยใส่ใจอะไรมาก แล้วส่วนใหญ่ถ้าเป็นคนไทย 100% จะมีมารยาท จะไม่มาพูดอะไรเรื่องพวกนี้ แต่ก็จะมีบางวิดีโอที่มันไวรัลไปถึงเมืองนอก แล้วก็จะมีเป็นพวกคนต่างประเทศอะไรก็ไม่รู้ที่มันก็จะมาพิมพ์ๆ ว่า ยี้ ชายรักชาย คือคุณคืออยู่เลเวลไหน อยู่จุดไหนของโลกนี้ บ้านคุณเปิดกว้างขนาดไหนเรายังไม่รู้เลย แต่ตอนนี้บ้านฉันเปิดกว้างแล้ว ช่างยูแล้วกัน ก็ไม่เอามาใส่ใจเลย
ถึงจุดไหนที่รู้สึกว่าอึดอัดมากๆ จนแบบไม่ไหวแล้ว
ไม่มีจุดที่ไม่ไหว เพราะรู้สึกว่าถึงจุดหนึ่งก็ช่างแม่งไปเถอะ เราก็อยู่ส่วนเรา ทำเท่าที่ได้ อาจจะเพราะว่าเราโตมาอย่างนี้ด้วยมั้ง ไม่สนใจปัญหาต่างๆ ทำให้เราเป็นคนที่ไม่ค่อยเครียดในเรื่องทุกเรื่องเลย รู้สึกว่าถ้าไม่ได้ตายก็ไม่ต้องเครียดหรอก ตอนที่ประกาศว่าเป็น มันเพิ่งไม่นาน ประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมานี่เอง มันคือรายการ ‘ห้าวเก้ง’ ที่เปิดตัวออกไปประมาณ 3-4 เทปแล้ว คนยังถามอยู่เลยว่าพี่โยชิเป็นเหรอ คือมันก็ไม่ได้เชิงประกาศ เพราะไม่เคยออกมาพูดว่า สวัสดีครับ ฉันเป็นเกย์ครับ ขอบคุณมากครับ แต่เหมือนกับตอนนั้นไปออกรายการของไอ้พิชญ์ รายการล้นตู้ ที่มีเจนนี่ ปาหนัน แล้วเหมือนกับไอ้พิชญ์มันก็ล้อ เจนนี่ ปาหนันเขาก็ล้อ ซึ่งพอล้อปุ๊บมันก็ตลก แล้วตอนนั้นโยก็ไม่ได้ร้องเพลงแล้ว เลยไม่ได้แคร์ภาพลักษณ์อะไร พ่อแม่ก็รู้แล้ว เพราะถ้าเราบอกครอบครัวแล้ว ก็ไม่ต้องแคร์แล้ว คืออยากจะทําอะไรก็ทําเลย
ตอนทำรายการ ‘ห้าวเก้ง’ รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดเลยไหม
ตอนที่อยู่ห้าวเก้ง ตลก สนุก แล้วเราก็จอยไปกับแขกรับเชิญ ชอบเวลาแขกรับเชิญเขามาเล่าเรื่องที่เขาโตมายังไง แล้วแต่ละคน การที่เป็น LGBTQ+ เชื่อเถอะว่าไม่มีเรื่องธรรมดากันสักคน อย่างของโย ถือว่าเจอน้อยนะ แต่คนอื่นเจอเยอะกว่ามาก รู้สึกเป็นตัวเองได้มากๆ เมื่อก่อนเวลาเราจะไปสัมภาษณ์อะไร มันต้องเก๊ก ทำให้พูดได้ตื้นๆ พูดอะไรมากไม่ได้ ออกรสออกชาติอะไรมากไม่ค่อยได้
อยากให้เล่าเหตุการณ์ตอนที่ come out กับพ่อ มันยากขนาดไหน
ตอนวันที่บอก พ่อยังบอกอยู่เลยบอกว่า ลูกคนโตก็มีลูกแล้ว ลูกคนกลางก็แต่งงานแล้ว โยอย่าลืมหาแฟนสวยๆ หน้าตาดี นิสัยดี แล้วแต่งงานนะลูก ซึ่งพ่อชอบพูดอย่างนี้มาตลอด เราก็ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือว่าแค่พูดโยนๆ ไปเฉยๆ เราก็รู้สึกว่าทนไม่ได้แล้ว เพราะฟังมาตั้งแต่วัยรุ่น ก็เลยบอกไปว่า ขอโทษทีนะป๊า ตรงนี้ที่พูดบ่อยๆ อาจจะทําให้ไม่ได้นะ เพราะว่าโยชอบผู้ชาย
เหมือนเตรียมการไว้แล้ว
เตรียมไว้แล้ว คือวันนั้นเป็นวันเกิดของโย ที่นัดทุกคนมากินโต๊ะจีน โยก็คุยเตรียมกับพี่ชายบอกว่า เดี๋ยววันนี้กูจะบอกป๊าม้านะว่ากูเป็นเกย์ ถ้าป๊าม้าพูดอะไรมา มึงซัพพอร์ตกูด้วยนะ พี่สองคนก็บอกว่า อ้าวเหรอ มึงเป็นเกย์เหรอ ตอนที่พอพูดปุ๊บ พ่อก็ยังอึ้งอยู่ พี่ชายคนโตก็เลยรีบบอกว่า โอ๊ย ป๊าเขาน่าจะรู้แล้วแหละ ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รู้หรอกว่าลูกตัวเองเป็นอะไร คือพูดจ่อไปขนาดนั้นแล้ว พ่อก็เลยต้องเล่นตามน้ำที่พี่ส่งมา มันก็เลยง่ายเลย ส่วนแม่ก็บอกว่า แบบเป็นอะไรก็เป็นไปนะลูก แต่ขออย่างเดียวอย่ามีความรักนะลูก อ้าว เราก็แบบทําไมอะแม่ ก็ชายรักชายเป็นเอดส์ทุกคนเลยลูก โอ้โห แม่อยู่นิวยอร์กปะเนี่ย คือแม่โตมาจากไหน ความเชื่อของผู้ใหญ่เขาจะเป็นอย่างนั้น พี่ชายคนกลางเขาก็บอกว่า มึงก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ แล้วกัน เราก็บอกว่าเราดูแลตัวเองอยู่แล้ว ก็จบทั้งพ่อทั้งแม่ เขาก็บอกว่า โยก็ไม่ต้องไปเที่ยวป่าวประกาศนะว่าเราเป็นอะไร รู้กันแต่ในห้องนี้แล้วกัน ปรากฏ อุ๊ย! คือไปออกห้าวเก้งคือสุดฤทธิ์เลย
พอครอบครัวเข้าใจ มันเหมือนปลดล็อกอะไรสักอย่างหนึ่งไหม
โอ้โห หายใจทั่วท้องมากเลย มันเหมือนมันปลดล็อก เพราะว่าคนที่เราแคร์ที่สุดคือพ่อแม่ เพราะเราไม่อยากให้เขาเสียหน้า เกิดวันหนึ่งเขาไปรู้จากเพื่อนคนอื่นมา เอ้ย ลูกมึง เป็นเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วเหรอ เขาก็จะบอกได้เลยว่า อ๋อ กูรู้แล้ว ลูกกูบอกแล้ว แต่มันมีครั้งหนึ่งตอนที่ come out กับเพื่อนสนิทคนแรก ตอนนั้นพูดไปว่า มีเรื่องหนึ่งที่ที่ค้างคาใจมากๆ อยากจะบอก โยว่าโยเป็นเกย์ว่ะ แล้วตอนนั้นปากสั่นเลย พูดเสร็จแล้วก็ร้องไห้ คือไม่รู้นะว่าโมเมนต์ come out ของคนอื่นมันเป็นยังไง แต่ของเรามันเป็นอย่างนั้น คือน้ำตาไหลแบบสุดๆ พอพูดเสร็จปุ๊บ ก็สบายใจขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องที่อัดอั้นอยู่ในใจเรามาตลอดชีวิต
รู้สึกไหมว่าการ come out ช่วงนี้ ในช่วงที่สังคมเริ่มยอมรับ ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
คิดว่าโดยรวมสังคมยอมรับง่ายขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับบริบทของบ้านนั้นๆ อย่างเช่น บ้านที่พ่อแม่ดุมากๆ เป็นลูกชายคนเดียวที่ทุกคนให้ความหวัง มันก็จะมีความยากอยู่ หรือสมมติทุกคนคาดหวังมากว่าคุณจะได้เป็นพระเอกดาวรุ่ง ช่องใหญ่ๆ โตๆ คุณจะกล้าบอกว่าคุณเป็นเกย์ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นแสดงว่าตอนนี้คุณก็ยังบอกไม่ได้ ถ้าคุณอยู่ในบริบทนั้น แต่ถ้าวันนี้คุณอยากจะเป็นนักร้อง บางทีก็อาจจะทําได้ เพราะสังคมมันเปิดกว้างขึ้น
จำเป็นไหมที่การ come out ต้องพูดความจริงทั้งหมด
จริงๆ ก็โยเป็นคนพูดอะไรที่เป็นความจริงหมด ยกเว้นตอนที่ปฏิเสธนักข่าวไปว่าผมเป็นชายแท้ครับ อันนั้นไม่ได้พูดจริง เพราะว่าจะให้กูพูดบอกว่า สวัสดีค่ะ กูเป็นเกย์ค่ะ กูก็โดนออกจากวงเลยค่ะ สวัสดี คือโยจะเป็นคนที่พูดอะไรก็จะพูดออกมาจากหัวใจ พูดตรงๆ พูดแบบ sincere ไว้ก่อน
ถ้าเกิดย้อนเวลากลับไปได้ มีอดีตช่วงไหนที่อยากจะลบออกไปไหม
ถ้าถามว่าอยากจะลบส่วนไหนออกไปบ้าง โยรู้สึกว่าถ้าลบหลายจุดเลย จะทําให้ชีวิตดีขึ้นกว่านี้เยอะมากจริงๆ อย่างสมมติถ้าการ come out เร็วขึ้น สมมติว่าไม่ได้เป็นบอยแบนด์ แต่ไปทําอย่างอื่นที่สามารถเป็นตัวเองได้เลย โยอาจจะไปอีกสายหนึ่งที่ specialized สําหรับเรามากขึ้น มีอย่างเคสหนึ่ง ตอนนั้นมีซีรีส์ของค่ายใหญ่ค่ายหนึ่ง เขาอยากให้โยเข้าไปแคส มันเป็นซีรีส์แบบมี LGBTQ+ ทุกคนมาเล่นเป็นตุ๊ด ของเราเป็นตุ๊ดที่หน้าหล่อมีกล้าม เขาอยากจะให้เราไปเล่นบทนี้เพราะว่ามันเหมาะกับเรามาก เขาบอกเลยบอกว่าตอนแคสจะต้องเต้น Beyoncé นะ ช่วยไปซ้อมมาหน่อยได้ไหม เราก็ซ้อม แล้วโยก็มาเล่าให้พ่อแม่ฟัง ตอนนั้นเขาบอกว่า อย่าเลยลูก มันไม่ดี เราก็เลยกล้าๆ กลัวๆ เพราะเราแคร์คนอื่นมากกว่าตัวเอง ถามว่าถ้าเล่นแล้ว ดังไหม ดัง สุดท้ายเราก็บอกเขาไปว่าไม่สะดวกจริงๆ พอซีรีส์เขาออกแล้วก็ดังจริง ก็บอกป๊าว่า ดูสิ เสียดายโอกาสมากเลย
คิดเห็นยังไงกับการที่เพศที่สาม จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองก่อน เพื่อให้สังคมยอมรับ
เอาจริงๆ นะ โยว่าการที่อยากจะอยู่ในแสง มันต้องพิสูจน์ตัวเองกันทุกคนอยู่แล้ว ไม่จําเป็นต้องเป็น LGBTQ+ แต่ LGBTQ+ หลายๆ คนได้พิสูจน์แล้วว่า โห แม่งเจ๋งจริงว่ะ ตัวอย่างที่เก่งมากๆ อย่างแก๊งหิ้วหวี เพราะทุกคนคือปั้นตัวเองแล้วเจอทางของตัวเองหมดเลย มันอาจจะทําให้บรรทัดฐานว่า การเป็น LGBTQ+ คุณต้องทําให้เก่งเหมือนคนพวกนี้ เพราะเขาทําภาพไว้ชัดมากแล้ว แต่จริงๆ แล้ว แค่การที่คุณอยากได้แสง การที่คุณอยากจะดัง คุณจะต้องเป็นตัวของตัวเอง คุณจะต้องมีดีให้เอาออกมาโชว์ได้ นั่นคือสิ่งที่สําคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นชายแท้ หญิงแท้ หรือเป็น LGBTQ+ คุณก็ต้องทําให้ได้ ถ้าคุณอยากจะดัง
ที่เขาบอกว่าให้เป็นตัวเอง มันเป็นคําที่ฟังดูเหมือนง่าย แต่จริงๆ แล้วมันยากขนาดไหน
ถึงมันจะยาก แต่คิดว่าถ้าเราได้พิสูจน์ตัวเอง เราตั้งใจเรียน เป็นคนที่เป็นคนดีของสังคม แล้วเราไม่ได้ไปทําพิษทําภัยอะไรให้ใคร เราทําอะไรให้เขาแฮปปี้ได้ รับรองว่ายังไงเขาก็จะรับเราได้ ยังไงเขาก็จะรักเรา แต่ถ้าเราทําให้เขาปวดใจทุกข์ใจทุกอย่าง แล้ววันหนึ่งไปบอกว่าเป็น คือนึกออกไหม เพราะเขาอาจไม่ได้ทําใจมายอมรับเราได้ทันที บางทีก็ต้องให้ space เขาบ้าง ให้เขาอึ้งบ้าง ให้เขาทําใจบ้าง คือใจเขาใจเรา ต้องแคร์ความรู้สึกคนอื่นด้วย
อยากฝากอะไรถึงสังคมทั่วไปที่ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้
โยว่าเดี๋ยวนี้สังคมเข้าใจหมดแล้ว เก้งกวางอยู่ในทุกสื่อแล้ว แต่อาจจะมีบางสังคมที่อาจจะไม่เข้าใจลูกของตัวเอง หลายๆ คนก็เปิดโอกาสให้ลูกอยากจะเป็นอะไรก็เป็นไปเลย ถ้าพ่อแม่ใครได้เข้ามาดูเข้ามาอ่าน ก็อย่าไปกดดันลูกมาก บางทีพ่อแม่รู้อยู่แล้วว่าลูกเป็นอะไร ก็ปล่อยให้เขาเป็นของเขาไป ถ้าลูกไม่กล้าพูด บางทีการที่เราเปิดใจยอมรับ แล้วบอกเป็น hint คร่าวๆ เขาก็จะกล้า come out มากกว่า พ่อแม่ควรจะต้องก้าวออกไปหนึ่งสเต็ป เปิดทางให้ลูกก่อน
สุดท้ายอยากให้กำลังใจอะไรเพื่อนๆ ที่เป็น LGBTQ+
ถ้าเป็นเก้ง เป็นกะเทย อยากจะแต่งสวย โยว่าน่าจะเปิดตัวไปได้เลย แต่ถ้าเป็นเก้งที่แคร์เรื่องหน้าตา ฉันอยากจะไปเป็นพระเอก โยว่าก็ต้องลองดูว่า position ที่เรากำลังอยากจะทำ มันต้องแลกมาด้วยสิ่งนี้นะ ต้องแลกมาด้วยเงิน ด้วยชื่อเสียง ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง พร้อมจะแลกไหม ถ้าพร้อมจะแลกก็ไป หรือว่าถ้าไม่พร้อม มีช่องทางอื่นที่อยากจะทำอย่างอื่นไหม เพราะจริงๆ โลกมันยังไม่ได้เปิดขนาดนั้น ขนาดเมืองนอกอย่างอเมริกาเอง ก็มีน้อยมากที่บทพระเอกหนัง box office ที่จะเอาเก้งไปเล่น ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่เราก็ต้องดูบริบทตรงนั้นด้วย