การแพร่ระบาดของ COVID-19 ไม่ได้กระทบเพียงแค่นโยบายทางการเมือง และเศรษฐกิจของรัฐเท่านั้น แต่มันยังส่งผลถึงชีวิตของประชาชนด้วย ล่าสุด งานศึกษาในสหรัฐฯ ระบุว่า เด็กอย่างน้อยกว่า 4 หมื่นราย สูญเสียพ่อแม่ไปจากเชื้อไวรัสดังกล่าว โดยจำนวนมากในนั้นเป็นเด็กผิวสี
โครงการด้านสาธารณสุข ของมหาวิทยาลัยสโตนีบรูค (Stony Brook University) ในนิวยอร์ก เปิดเผยว่า เด็กสหรัฐฯ ประมาณ 37,300-43,000 ราย ได้รับผลกระทบ จากการสูญเสียพ่อแม่ของพวกเขาและเธอ จาก COVID-19 ตั้งแต่เริ่มเกิดการระบาด จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ยิ่งไปกว่านั้น ราเชล คิดแมน (Rachel Kidman) นักวิจัยหลักในโครงการนี้ เปิดเผยว่า ถึงแม้ว่าสหรัฐฯ จะมีจำนวนประชากรเด็กผิวดำ อยู่แค่ 14 เปอร์เซ็นต์ แต่ตัวเลขการสูญเสียพ่อแม่ของเด็กผิวดำ กลับสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ จากเด็กทุกเชื้อชาติในสหรัฐฯ
แบบจำลองงานศึกษาวิจัย ยังชี้ให้เห็นอีกว่า ทุกๆ การตายจาก COVID-19 ในสหรัฐฯ จะทำให้เด็กอายุระหว่าง 0-17 ปี ต้องกำพร้าพ่อหรือแม่ตัวเอง ในอัตรา 0.078 การสูญเสีย ต่อประชากรเด็กหนึ่งคน นักวิจัยกล่าวว่า ถึงแม้ว่าตัวเลขดังกล่าว ดูจะไม่ใช้ตัวเลขจำนวนมาก แต่เมื่อนำมาเทียบกับอัตราส่วนประชากรจริงแล้ว นี่คือการสูญเสียพ่อแม่ของเด็กๆ ในปริมาณมหาศาล
ตัวเลขผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ จาก COVID-19 ในปัจจุบันนี้ อยู่ที่ประมาณ 5.5 แสนราย โดยมีเด็ก 43,000 ราย ที่ต้องสูญเสียพ่อหรือแม่ ทั้งนี้ นักวิจัยกล่าวว่า หากปล่อยให้มีการใช้วิธีการสร้างภูมิคุ้มกันด้วยตัวเอง ในประชากรแล้วนั้น ตัวเลขของผู้เสียชีวิตในสหรัฐ อาจพุ่งสูงขึ้นกว่า 1.5 ล้านราย ซึ่งจะทำให้มีเด็กจำนวน 116,900 ราย ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า
คิดแมนเสนอว่า สหรัฐฯ จำเป็นจะต้องมีการปฏิรูประดับชาติ เพื่อเข้ามาดูแลเด็ก ที่สูญเสียพ่อแม่จาก COVID-19 ทั้งในด้านชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนสภาพจิตใจจากความสูญเสีย อันจะผลกระทบในระยะยาวต่อเด็กๆ
มีผลวิจัย จากคณะแพทยศาสตร์ สาขาจิตเวช ของมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก (University of Pittsburgh) ชี้ให้เห็นว่า การสูญเสียพ่อแม่ในวัยเด็ก ส่งผลกระทบระยะยาวต่อเด็ก โดยเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี มักประสบกับภาวะซึมเศร้า ในช่วง 2 ปีแรกหลังการสูญเสียพ่อหรือแม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะ หมายรวมถึง แนวโน้มในการป่วยทางจิต และอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงมากขึ้น การแพร่ระบาด COVID-19 ซึ่งเป็นโรคที่สามารถทำให้มนุษย์เสียชีวิตได้ จึงเป็นอุปสรรคท้าทายต่อความเป็นครอบครัว และสุขภาพจิตของเด็กด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี จากการแถลงเมื่อวานนี้ (6 เมษายน) ของ โจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะเร่งฉีดวัคซีนในประชากรผู้ใหญ่จนครบทุกคน ภายในวันที่ 16 เมษายนนี้ จากแผนการเดิมคือวันที่ 1 พฤษภาคม ทั้งนี้ ไบเดนยังได้ตั้งเป้าการฉีดวัคซีน ในประชากร 200 ล้านราย ภายใน 100 วัน หลังจากที่เขาขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดี จากเดิมที่เคยตั้งเป้าเอาไว้ที่ 100 ล้านราย ก่อนที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะทำได้สำเร็จทะลุเป้าหมายที่คาดเอาไว้ ปัจจุบันนี้ มีประชากรสหรัฐฯ ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วกว่า 150 ล้านราย
อ้างอิงจาก
#Brief #TheMATTER