แม้กระทรวงสาธารณสุขจะพิจารณาว่าภาพรวมสถานการณ์ COVID-19 อาจไม่รุนแรงอย่างที่คาดไว้ แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะ ‘กลุ่มเด็ก’ ที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครอบคลุม ที่แม้ติดเชื้อแล้วอาการจะไม่รุนแรงเท่าไหร่นัก แต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้ไม่ต่างกับผู้ใหญ่ อีกทั้งยังมีอาการข้างเคียงที่น่าห่วงหลังติดเชื้อ
เมื่อวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา นพ.อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์การครองเตียงเด็กยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ในอนาคต สัดส่วนอาจเพิ่มมากขึ้น เพราะกลุ่มเด็ก 5-11 ปียังไม่ได้รับวัคซีน
ส่วนในแง่ความรุนแรงของโรค ผศ.พิเศษ พญ.ปิยรัชต์ สันตะรัตติวงศ์ หัวหน้างานกุมารเวชศาสตร์ และกุมารแพทย์เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ระบุว่า การระบาดของโอไมครอนทำให้เปอร์เซ็นต์การติดเชื้อสูงกว่าเดลต้า ย้อนกลับไปช่วงที่เดลต้าระบาด สัดส่วนเด็กที่ติดเชื้อจะอยู่ไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ล่าสุด มีแนวโน้ม 1 ใน 3 ของผู้ป่วยทั้งหมดมีโอกาสจะเป็นเด็ก แต่อัตราการเสียชีวิตนั้นยังอยู่ที่ต่ำกว่า 1% เมื่อเทียบกับผู้ใหญ่
อย่างที่กล่าวไป การติดเชื้อ COVID-19 นั้นมีความรุนแรงของโรคน้อยกว่าในผู้ใหญ่ ยกเว้นเด็กที่มีโรคประจำตัว หรือโรคเรื้อรัง โดย นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า อาการหลังติดเชื้อของเด็กส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายเป็นหวัด เป็นไข้ ซึ่งสามารถรักษาตามอาการ และจะหายภายใน 3-4 วันได้ แต่ในกรณีที่เด็กมีอาการรุนแรงก็สามารถให้ยาฟาวิพิราเวียร์ได้
แม้อาการโดยรวมจะไม่น่าห่วง แต่สิ่งที่ต้องกังวลในกรณีที่เด็กป่วยเป็น COVID-19 คือ ‘อาการข้างเคียงหลังหายป่วย’ หากผู้ใหญ่มี Long COVID เด็กก็มีอาการที่เรียกว่า ‘MIS-C’ ตามข้อมูลจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า MIS-C จะเกิดขึ้นกับเด็กในช่วงใกล้หายจาก COVID-19 แล้ว หรือหลังหายประมาณ 2-6 สัปดาห์
อธิบายคร่าวๆ ก่อนว่า หลังติดเชื้อ COVID-19 ภูมิคุ้มกันในร่างกายจะได้รับการกระตุ้นขึ้นมาเพื่อรับมือกับไวรัส ซึ่งภูมิที่สูงขึ้นนี่เองทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะภายในร่างกายหลายส่วนจนเกิดเป็นภาวะ MIS-C
สำหรับอาการของภาวะนี้ก็มีหลายรูปแบบ ทั้ง มีไข้ อาเจียน เป็นผื่น ตาแดง หรือหายใจติดขัด และบางเคสอาจรุนแรงจนเสียชีวิต ดังนั้นช่วงใกล้หายป่วยจากโรคระบาด ผู้ปกครองควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากพบมีอาการเข้าข่ายโรค MIS-C ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที
แม้เด็กจะมีอาการป่วย COVID-19 ไม่รุนแรง แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ MIS-C ได้ ดังนั้นป้องกันการติดเชื้อไว้ย่อมดีกว่ามาแก้ไขภายหลัง ในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ วัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปีจะค่อยๆ ทยอยเข้ามาในไทย ซึ่งตามแผนจะมีการกระจายให้เด็กกลุ่มเสี่ยงก่อน แล้วจึงกระจายไปยังกลุ่มอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งหลังจากเด็กกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนที่เหมาะสมมากขึ้น น่าจะทำให้สถานการณ์ระบาดในเด็กน่าวางใจไปได้บ้าง
อ้างอิงจาก
https://chulalongkornhospital.go.th/…/%E0%B8%AD%E0%B8…/
https://www.tnnthailand.com/news/covid19/101763/
https://www.bbc.com/thai/thailand-59986754
https://curadio.chula.ac.th/Breaking-News-Detail.php…
https://www.posttoday.com/social/general/673115