“ร่างกฎหมายนี้ทำงานกันโดยไม่มีใครรู้เลย ที่สมาคมสื่อบอกว่าไปคุยกับรัฐ แล้วอ้างว่าสื่อโอเค ผมก็เพิ่งมารู้ตอนผ่าน ครม. ถามว่าแบบนี้โปร่งใสไหมครับ ที่ควรจะทำตอนนี้ได้คือจัด public hearing (ประชาพิจารณ์) ทั้งจากสื่อและประชาชน ที่ตอนนี้หลายๆ คนก็เป็นสื่อพลเมือง”
คือข้อเสนอจากประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสจากข่าวสดอิงลิช ต่อร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. …. (ร่าง พ.ร.บ.จริยธรรมสื่อ) ซึ่งผ่านที่ประชุม ครม.สัปดาห์ก่อน อยู่ระหว่างรอเข้าพิจารณาในรัฐสภา บนเวทีของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2565
ทั้งนี้ ในร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว มาตรา 3 ให้นิยามของ ‘สื่อมวลชน’ ที่จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลไว้ค่อนข้างกว้าง หมายถึงสื่อหรือช่องทางที่นำเสนอข่าวสารไปสู่ประชาชน ไม่ว่าจะผ่านแพล็ตฟอร์มใดๆ ที่แสวงหากำไรในเชิงพาณิชย์ ดังนั้นนอกจากสื่อหลักแล้ว ยังหมายรวมถึงสื่อพลเมือง กระทั่งแอดมินเพจ ยูทูปเบอร์ ติ๊กต็อกเกอร์ ฯลฯ บางส่วนด้วย
- ดูเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.จริยธรรมสื่อ ได้ที่: https://drive.google.com/file/d/1vjDJp8JqF6JtZObAae3ZojE8ul5i4jd_/view
ประวิตรยังระบุว่า แม้จะใช้ชื่อสวยหรูแค่ไหน แต่ส่วนตัวมองว่านี่คือ ‘ร่าง พ.ร.บ.ตีตราสื่อ’ เพราะการกำกับสื่อไม่ควรเอารัฐมาเกี่ยวข้อง เนื่องจากสื่อมีหน้าที่ตรวจสอบรัฐ แต่ร่างกฎหมายนี้กำลังดึงรัฐมาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างกลไกควบคุมสื่อ ทั้งนี้ ยังสงสัยเรื่องความเป็นตัวแทนขององค์กรวิชาชีพสื่อปัจจุบัน ที่ไปคุยกับรัฐจนได้ร่าง พ.ร.บ.จริยธรรมสื่อออกมาว่า จะเรียกว่าเป็นตัวแทนวงการสื่อได้ไหม ไม่รวมถึงที่มีผู้บริหารองค์กรวิชาชีพสื่อบางคนไปอยู่ในองค์กรที่จัดตั้งโดย คสช.ภายหลังการรัฐประหาร
เขามองว่า ถ้าร่างกฎหมายนี้ออกมาใช้บังคับจริง อาจมีผลกระทบต่อสื่อจำนวนหนึ่งที่พยายามผลักเส้นของการรายงานข่าว เช่น เรื่องปฏิรูปสถาบันฯ ข้อเสนอแก้ไข ม.112 หรือสิทธิปกครองตัวเองในชายภาคใต้ จะถือว่าไม่ปฏิบัติตามหลักจริยธรรมสื่อมวลชน เพราะขัดกับหน้าที่ปวงชนชาวไทย ขัดกับศีลธรรมอันดีหรือไม่ (ในมาตรา 5 ของร่าง พ.ร.บ.จริยธรรมสื่อ กำหนดว่า สื่อมีเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสาร แต่ต้องไม่ขัดกับ ‘หน้าที่ของปวงชนชาวไทย’ หรือ ‘ศีลธรรมอันดีของประชาชน’) สิ่งเหล่านี้จะกระทบกับสิทธิของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ที่อยากอ่านข่าวที่เท่าทัน ข้อมูลที่หลากหลาย และความเห็นที่แตกต่าง
- ประวิตรยังอ้างถึงกรณีที่มี สื่อ-นักวิชาการ-ประชาชนจำนวนหนึ่งร่วมกันลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกขอให้ชะลอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.จริยธรรมสื่อออกไปก่อน จนกว่าจะได้มีการรับฟังความคิดเห็นที่รอบด้านอย่างแท้จริง ซึ่งริเริ่มโดยกลุ่ม DemAll (อ่านข่าวได้ที่: https://thematter.co/brief/165415/165415)
อ.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม จากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ร่างกฎหมายนี้ ชื่อดูดี แต่พอคลี่ออกมา พบว่ามีประเด็นน่าเป็นห่วงหลายเรื่อง 1.ที่มาของร่างกฎหมาย มาจากกรมประชาสัมพันธ์ 2.กลไกของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนที่จะตั้งขึ้นมา มีกรรมการจากกองทุนสื่อฯ ใต้กระทรวงวัฒนธรรมด้วย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจะปลอดจากรัฐ 3.ให้อำนาจมหาศาลเรื่องการจดแจ้ง-เพิกถอนการจดแจ้งองค์กรวิชาชีพสื่อ และ 4.ได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐปีละ 25 ล้านบาท
“ยอมรับว่าการทำงานของสื่อปัจจุบันก็มีปัญหา แต่การจะแก้ไขไม่ใช่ให้รัฐเข้ามาจัดการโดยการออกเป็นกฎหมาย แต่เป็นการจัดการร่วมกันที่เรียกว่า co regulation ต่างหาก” อ.วิไลวรรณกล่าว
ด้านมงคล บางประภา นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวชี้แจงว่า เหตุที่ต้องมีร่างกฎหมายนี้ เพราะแม้สื่อจะมีเสรีภาพภายใต้กรอบจรรยาบรรณจะได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญ มาตั้งแต่ฉบับปี 2540 จนถึงฉบับปัจจุบัน แต่การที่เนื้อหาอยู่แค่ในรัฐธรรมนูญ จำเป็นจะต้องมีกฎหมายลูกออกมา เพื่อให้การดูแลจรรยาบรรณเกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งการผลักดันร่าง พ.ร.บ.เช่นนี้ ก่อนหน้านี้ ในร่างของภาครัฐ ก็เคยกำหนดให้มีกรรมการมาจากภาครัฐ ให้มีโทษปรับเงิน หรือบังคับว่าสื่อต้องมาจดทะเบียน แต่ก็ถูกคัดค้านจากสื่อจำนวนมาก จนรัฐบาลยอมเปลี่ยนท่าทีว่า ถ้าจะปฏิรูปสื่อก็ต้องไปถามสื่อก่อน กระทั่งเป็นร่าง พ.ร.บ.จริยธรรมสื่อล่าสุด
มงคลยังอธิบายข้อสงสัยว่า การให้กรมประชาสัมพันธ์เป็นเจ้าของร่าง พ.ร.บ.นี้ เพราะเป็นกฎหมายการเงิน ต้องให้หน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องที่สุดเป็นเจ้าภาพ รัฐบาลก็เลยเลือกกรมประชาสัมพันธ์, การให้คนจากกองทุนสื่อฯ มาร่วมเป็นกรรมการ ก็เพื่อให้มีคนมาทำหน้าที่ธุรการถาวร และไม่เชื่อว่าแค่คนเดียวจะชี้นำกรรมการอื่นๆ ที่เหลือได้, ส่วนที่ต้องกำหนดเงินสนับสนุนจากรัฐ ขั้นต่ำปีละ 25 ล้านบาท ก็เพื่อให้ไม่ต้องไปดูสีหน้าอารมณ์ของรัฐ และอยากให้ดูไทยพีบีเอสเป็นตัวอย่าง, ที่อ้างถึงผู้บริหารองค์กรวิชาชีพสื่อบางคนไปร่วมทำงานกับคณะรัฐประหาร ก็เป็นเพียง 1-2 คนเท่านั้น จะใช้เหมารวมทั้งหมดไม่ได้
ทั้งนี้ ยืนยันว่า ร่าง พ.ร.บ.จริยธรรมสื่อไม่มีเรื่องการให้ใบอนุญาต เพียงแต่องค์กรวิชาชีพสื่อใดอยากได้รับการสนับสนุน เช่น การฝึกอบรม ก็สามารถมาจดแจ้งกับสภาวิชาชีพสื่อมวลชนที่จะถูกจัดตั้งตามร่างกฎหมายนี้ได้ แต่ใครไม่มาจดแจ้ง ก็ไม่มีอะไรไปห้ามการรวมกลุ่ม
“ร่างที่ ครม.ผ่าน องค์กรวิชาชีพสื่อเห็นว่าพอไหว แต่ไม่ได้บอกว่าจะหลับหูหลับตาเห็นด้วย เพราะยังต้องผ่านสภาอีก ก็จะติดตามอย่างใกล้ชิดไม่ให้มีการแทรกแซงใดๆ จากภาครัฐ” มงคลกล่าวและว่า ในหลายประเทศก็มีกฎหมายลักษณะเดียวกัน เช่น ติมอร์เลสเต เมียนมา และอินโดนีเซีย
นี่คือเนื้อหาโดยสรุป บทเวทีเสวนาเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.จริยธรรมสื่อ บนเวทีของ FCCT เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2565 ซึ่งยังต้องติดตามกันต่อไปว่า ร่างกฎหมายนี้จะถูกนำมาใช้เพื่อส่งเสริมมาตรฐานจริยธรรมสื่อจริงๆ หรือจะถูกสอดไส้เพื่อมาควบคุมการทำงานของสื่อกันแน่
- ดูคลิปงานเสวนาเต็มได้ที่: https://www.facebook.com/FCCThailand/videos/658942068480061
#Brief #TheMATTER