กลายเป็นประเด็นน่าสนใจในรอบสัปดาห์ กับกรณี มนตรี สินทวิชัย หรือ ครูยุ่น เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม หลังปรากฏในวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ระหว่างที่กำลังลงโทษเด็ก
จนนำไปสู่การแจ้งความดำเนินคดี ด้วยข้อกล่าวหาทำร้าย และใช้แรงงานเด็ก ซึ่งในเบื้องต้นได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
แม้ทางกฎหมายจะยังเพิ่งเริ่มต้นชั้นสอบสวน แต่การวิพากษ์ทางสังคมก็กำลังขยายเป็นวงกว้าง ทั้งที่มองว่าการกระทำที่เกิดขึ้นเกินกว่าเหตุ ขณะที่บางส่วนก็เห็นใจ และเข้าใจว่าการดูแลเด็กยังมีประเด็นที่ซับซ้อนไปกว่านั้น
อย่างไรก็ดี The MATTER ได้รวบรวมลำดับเหตุการณ์ ข้อโต้เถียงในสังคม และปฏิกิริยาของแต่ละฝ่ายที่มีต่อเหตุการณ์จนถึงตอนนี้ พร้อมถือโอกาสชวนพูดคุยว่า ‘ไม้เรียว’ ยังใช้ลงโทษได้อยู่อีกหรือไม่ในยุคสมัยนี้?
1.) ครูยุ่นคือใคร? มนตรี สินทวิชัย หรือ ครูยุ่น ชื่อนี้จะว่าคุ้นก็คุ้น ด้วยการเป็นที่รู้จักควบคู่ไปกับการจัดตั้ง มูลนิธิคุ้มครองเด็ก (Child Protection Foundation) เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูเด็กไทยที่ประสบปัญหาภาวะทุกข์ยาก และถูกทอดทิ้ง ตั้งแต่ปี 2537
จากจุดเริ่มต้นที่เป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น ในซอยลาดพร้าว 106 และเมื่อได้รับการสนับสนุนจากเหล่าคนมีชื่อเสียง จึงได้ขยับขยายไปยัง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม โดยมีเด็กในการดูแลกว่า 50 คน ภายใต้ประธานมูลนิธิ คือ แก้วสรร อติโพธิ ประธานมูลนิธิ ขณะที่ครูยุ่น อยู่ในฐานะเลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก
2.) กรณีเริ่มต้นขึ้น เมื่อมูลนิธิเส้นด้าย ได้แจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอัมพวา เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน (30 ตุลาคม) ว่าเหตุทำร้ายเด็กที่มูลนิธิชื่อดังแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ ต.สวนหลวง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ซึ่งในเวลาต่อมาจึงปรากฏชื่อ ว่าเป็นมูลนิธิคุ้มครองเด็กดังกล่าว
3.) ทางมูลนิธิเส้นด้ายได้เขียนบอกเล่าลำดับเรื่องราวก่อนเข้าแจ้งความ ผ่านเพจเฟสบุ๊กไว้ว่า มีกลุ่มนักศึกษาเข้าไปทำกิจกรรม และพบเห็นความผิดปกติ ทั้งพฤติกรรมใช้คำหยาบของครูพี่เลี้ยง รวมทั้งเด็กยังเรียกร้องขออาหารมากกว่าของเล่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกเตรียมไว้เป็นรางวัล
ในช่วงทำกิจกรรม เด็กๆ ยังบอกเล่าว่า ถูกใช้แรงงานในรีสอร์ทของเจ้าของมูลนิธิ ซึ่งหมายถึงครูยุ่น เพื่อแลกกับเงินค่าขนม ยิ่งกว่านั้นยังถูกทุบตีทำร้ายร่างกาย และด่าทอทำร้ายจิตใจ ทั้งเด็กเล็ก และเด็กโต
4.) เมื่อรับฟังเช่นนี้ ทางกลุ่มนักศึกษาจึงรวบรวมข้อมูลไว้ แต่ยังคงมีความกังวลใจว่านี้เกินกว่าที่จะรับมือได้เอง และอาจเป็นอันตรายจากอิทธิพลโดยรอบ จึงนำเรื่องมาแจ้งผ่านทางเพจเส้นด้าย จนนำไปสู่การเข้าแจ้งความ
5.) ระหว่างขั้นตอนตำรวจกำลังดำเนินไป ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงลงพื้นที่เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ตั้งโต๊ะแถลงถึงความคืบหน้า
อนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงฯ ระบุว่า เจ้าหน้าที่รับเรื่องมาตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม และสั่งการให้หาข้อเท็จจริง เบื้องต้นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ได้คัดแยกเด็กออกจากมูลนิธิด้วยความสมัครใจ 29 คน อายุระหว่าง 1 – 20 ปี อยู่ในความคุ้มครองสวัสดิภาพของกระทรวง พม. (ข้อมูล ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน)
ในจำนวนนั้นมี 8 คน ที่แยกออกมาก่อนแล้ว เพื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ขณะที่เด็กอีก 26 คน ยังไม่ได้ตัดสินใจออกจากสถานสงเคราะห์ดังกล่าว แต่มีผู้ปกครองบางส่วนที่ตัดสินใจเข้ามาขอรับเด็กกลับไปดูแลเอง
6.) ถัดมาเพียงวันเดียว (3 พฤศจิกายน) ครูยุ่นได้เข้ารับข้อกล่าวหาตามหมายเรียก กรณีถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย ซึ่งต่อมาได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวดังกล่าว
สำหรับ คดีทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับเกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
7.) “ผมจำเป็นที่จะต้องลงโทษเขา ไม่ได้ทำร้าย ผมไม่อยากจะใช้คำนี้”
หลังการสอบปากคำเกือบ 5 ชั่วโมง นี่เป็นคำพูดตอนหนึ่งของครูยุ่น ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่ามีความจำเป็นที่ต้องลงโทษ “ถ้าอยู่ดีๆ ผมเป็นโรคจิตเหรอถึงต้องไปตีเด็ก เหตุการณ์นี้มันจะเป็นเรื่องของอันตรายถึงชีวิตไหม”
ความจริงจากครูยุ่นว่าอย่างไร? ครูยุ่น เล่าว่า ในวันที่เกิดเหตุมีเด็กลงไปเล่นในแม่น้ำ ในนั้นมีคนหนึ่งว่ายน้ำไม่เป็น ครูจึงเข้าไปเรียกแต่เด็กไม่ยอมขึ้น จึงได้โทรศัพท์มาแจ้งที่ตนเองให้เข้าไปจัดการ เพราะเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ นั่นคือ อันตรายถึงชีวิต ยาเสพติด และขโมยเงิน จึงเป็นที่มาของวิดีโอที่ถูกบันทึกไว้ “เด็กที่มูลนิธิก็เป็นคนถ่าย เป็นคนส่ง แต่ว่าผมไม่โกรธ”
เมื่อถูกถามถึงว่า การตีเด็กถูกสังคมมองว่าเป็นการลงโทษที่ไม่ถูกต้อง ครูยุ่นชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นความผิดครั้งเดียว มีพฤติกรรมเข้าข่ายผิดกฎหมายด้วยซ้ำ จึงมีเจตนาสั่งสอน
โดยในประเด็นการใช้แรงงานเด็กในรีสอร์ทนั้น ครูยุ่น ระบุว่า เด็กที่มาล้วนสมัครใจ ทั้งมาเล่น มากวาดใบไม้ ล้างห้องน้ำ เพื่อแลกค่าขนม โดยไม่ได้มีการจับตา หรือถือว่าเขาเป็นลูกจ้างด้วยซ้ำ
8.) ขณะที่ มีอีกหนึ่งข้อกล่าวหาว่า ครูยุ่นเคยเป็นผู้ต้องหาในคดีพรากผู้เยาว์ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่นักศึกษาที่เข้าแจ้งเรื่องตอนต้น ไม่ไว้วางใจในตัวครูยุ่น
ประเด็นนี้ ครูยุ่น ชี้แจงว่า เป็นกรณีพ่อข่มขืนลูก ซึ่งตนได้เข้าไปช่วยเหลือ จนถูกผู้เป็นพ่อฟ้อง แต่ท้ายสุดศาลก็ตัดสินลงโทษพ่อ และใช้เป็นพยานหลักฐานกับตำรวจจนสั่งไม่ฟ้อง “ฉะนั้น ถ้าใครบอกว่าผมโดนคดีอะไร ก็ขอให้ดูรายละเอียดด้วย” ทั้งหมดนี้เป็นคำชี้แจงของครูยุ่น
9.) ขณะที่ศิริศักดิ์ ศิริมังคะลา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า ทางจังหวัดมีการประสานงานกับกรมการปกครอง เพื่อขอทราบรายละเอียดการจดทะเบียน รวมถึงตรวจสอบความเคลื่อนไหวของมูลนิธิ
ทั้งนี้ตามที่ปรากฏข้อมูลว่า มูลนิธิจะครบวาระต้องต่อใบอนุญาตรายปี ในเดือนมกราคม 2566 ที่จะถึงนั้น จังหวัดอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะปิดหรือถอดถอนใบอนุญาตหรือไม่
10.) เมื่อรายละเอียดเรื่องราวจากสองฝั่งมีข้อแตกต่างกัน ความเห็นในสังคมจึงแบ่งเป็นสองส่วนเช่นกัน ทั้งที่เห็นใจครูยุ่น โดยมองว่าการทำงานกับเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย พร้อมด้วยคอมเมนท์ว่า ‘ให้พ่อแม่เขาเอาไปดูแลเถอะ ครูจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น’ ‘ทำถูกแล้วครับครู’ ‘ครูทำงานยากเข้าไปทุกวัน ตีก็ติดลบ ไม่ตีก็ติดลบ จนไร้ระเบียบวินัยกันหมดแล้ว’
บ้างก็ตัดสินไปแล้วว่าครูยุ่นผิดจริง ด้วยคอมเมนท์เชิงว่า ‘สรุป…คนดีย์ใช่มั๊ย? ’ ‘เด็กเลวมีให้เห็นเยอะ แต่ผู้ใหญ่เลวเยอะกว่า โดยเฉพาะเมื่อมีคำว่าเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง’
จากข้อสังเกตของ The MATTER ในช่องทางคอมเมนต์ของสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวดังกล่าว มีหลายคนได้มาแบ่งปันประสบการณ์ของการถูกลงโทษ ซึ่งจำนวนหนึ่งให้ความเห็นไปในทางเห็นด้วย ‘ถูกตีแรงกว่านี้อีกถ้าทำผิด กลับถึงบ้าน แม่ตีซ้ำอีก’ ‘ไม้เรียวสร้างคนมาเยอะ….ถ้าตีมีเหตุผลและไม่รุนแรงกว่าเหตุรับได้’ ซึ่งข้อความเหล่านี้ได้รับการกดถูกใจหลักร้อยครั้ง
เรื่องนี้จึงชวนเปิดข้อสงสัยคลาสสิกของบ้านเรา ให้ถูกพูดถึงอีกครั้งว่า ‘ไม้เรียวยังสร้างคนได้อีกไหม?’
11.) “การลงโทษ หมายความว่า การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด โดยมีความมุ่งหมายเพื่อการอบรมสั่งสอน”
คือข้อความในระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2548 หลังบริบททางสังคมเปลี่ยนแปลงไปจนไปสู่การลงโทษด้วยไม้เรียว เหลือเพียง 4 รูปแบบของการอบรม คือ ว่าการตักเตือน ทำทัณฑ์บน ตัดคะแนนความประพฤติ และทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ในสหรัฐเคยมีการศึกษา ที่รายงานว่า การใช้ความรุนแรงในการลงโทษส่งผลกับผลการศึกษาและสุขภาวะของเด็กในระยะยาว อย่างภาวะซึมเศร้า ภาวะหวาดกลัว ไปจนถึงความเกรี้ยวกราด
12.) เช่นเดียวกับรายงานจากยูนิเซฟ เรื่อง ‘Child Protection in Educational Settings: Findings from six countries in East Asia and the Pacific’ ที่ได้เสนอถึงผลกระทบของความรุนแรงที่โรงเรียนในนามของการลงโทษจากครูไว้
เนื้อหาตอนหนึ่ง ระบุว่า เมื่อเด็กต้องเผชิญหน้ากับความเครียดอย่างรุนแรง (toxic stress) หลังจากถูกละเมิด ถูกทำโทษที่รุนแรงแล้ว ร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมาในระดับสูง ซึ่งถ้าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสะสมไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดผลกระทบต่อกระบวนการพัฒนาการทางด้านสมอง และการเรียนรู้ในระยะยาว
13.) จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ กำลังสะท้อนปัญหาของสังคมไทยที่พบบ่อยครั้งว่า การลงโทษและอำนาจเป็นสิ่งที่อยู่คู่กัน ทั้งในพื้นที่บ้านและห้องเรียน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นที่ไหน แต่ก็มีจุดร่วมที่ว่า การลงโทษมักเกิดขึ้นจากคนที่มีอำนาจมากกว่าในพื้นที่นั้นๆ
ท้ายสุดแล้ว คงต้องรอติดตามรายละเอียดการส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการของคดีนี้ พร้อมกับทบทวนความจำเป็นของข้อคำถามที่ว่า ไม้เรียวยังสร้างคนได้อยู่หรือไม่?
อ้างอิงจาก
thaipbs (1)
thaipbs (2)
thematter (1)
thematter (2)
PPTV (1)