ประเด็นเรื่องนักแสดงที่ถูกกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายแฟนเก่ากลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง เพราะล่าสุดเมื่อวานนี้ (30 มกราคม) มีเพจหนึ่งได้เปิดเผยแชทข้อความ และคลิปเสียงของนักเขียนสาว ปอย พรรธน์ชญมน ระหว่างสนทนากับนักแสดงหนุ่มบิว จักรพันธ์ ซึ่งหลังจากหลักฐานเหล่านี้ถูกปล่อยออกมา ก็นำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
เพราะคนจำนวนหนึ่งคิดว่าเหตุผลของการกระทำนี้ คือต้องการให้สังคมหันไปโทษ ‘เหยื่อที่ไม่ตรงตามอุดมคติ’ แทน เนื่องจากข้อความที่ปรากฎในแชทหรือคลิปเสียง ปอยดูมีอารมณ์ที่รุนแรง หรือมีการเรียกร้องให้บิวคืนเงิน
แล้วเหยื่อในอุดมคติคืออะไร ทำไมเราจำเป็นต้องทำความเข้าใจ?
ภาพสะท้อนของมายาคติ ‘เหยื่อในอุดมคติ’ (Perfect Victim) คือ การที่สังคมคาดหวังให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางเพศ ต้องมีปฏิกิริยาที่อ่อนแอ อาทิ เหยื่อต้องร้องไห้จนตาแดง หวาดกลัว โทษตัวเอง จิตตก กอดตัวเองอยู่กับพื้น เท่านั้น
จนนำไปสู่การเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้ที่ประสบความรุนแรงทางเพศนั้นสามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องแสดงออกในโหมดที่ดูเป็น ‘เหยื่อ’ เท่านั้น พวกเขาอาจจะมีความกล้าหรือมั่นใจในการตอบโต้กับความรุนแรงที่พวกเขาพบเจอมาก็ได้
นีล คริสตี (Nils Christie) นักสังคมวิทยาและนักอาชญาวิทยาชาวนอร์เวย์ ได้ยกตัวอย่างลักษณะของผู้ถูกกระทำในอุดมคติอื่นๆ อีกว่า
- ต้องดูอ่อนแอ คือเป็นผู้หญิง เด็ก หรือผู้สูงอายุ
- ต้องมีอาชีพที่ได้รับการยอมรับในสังคม
- สถานที่ที่ผู้ถูกกระทำอยู่ต้องไม่เป็นพื้นที่เสี่ยง เพราไม่งั้นจะถูกนำมาตำหนิได้ในภายหลัง เช่น อยู่กลางถนนในตอนกลางวัน ซึ่งถ้าลองสลับเป็นกลางคืนแทน เหยื่อมักจะถูกตำหนิทันที
- ผู้กระทำต้องดูมีอำนาจกว่าผู้ถูกกระทำ ถ้าดูอ่อนแอกว่า สังคมจะสงสัยในความน่าเชื่อถือทันที
- ผู้กระทำต้องไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเหยื่อ เพราะอาจจะถูกตีไปว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว เรา (คนนอก) ไม่เกี่ยว
คุณลักษณะข้างต้น ตั้งอยู่บนสมมติฐานโลกยุติธรรม (Just-World Fallacy) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของอคติทางความคิด (Cognitive Bias) อธิบายง่ายๆ ก็คือเหยื่อบางคนได้รับสิ่งที่ ‘สมควรจะได้รับ’ ถ้าเหยื่อไม่ได้มีคุณลักษณะแบบที่กล่าวข้างต้น ซึ่งมายาคตินี้ได้ส่งผลกระทบต่อการแสดงออกของสังคมที่มีต่อเหยื่อ และต่อกระบวนการทางกฎหมายด้วยเช่นกัน
เช่น ในประเทศอิตาลี ผู้พิพากษายกเลิกข้อกล่าวหากับชายวัย 46 ปี ที่ได้รับการกล่าวหาว่ากระทำชำเราเพื่อนร่วมงานผู้หญิง เพียงเพราะมีหลักฐานว่า ผู้หญิงไม่ได้กรีดร้องระหว่างที่เธอถูกกระทำชำเรา
หรือ ในมาเลเซีย นักบินที่ถูกกล่าวหาว่าข่มขืนแอร์โฮสเตส ได้ให้การกับศาลว่า “เธอทำตัวดูปกติและยังมีความสุขดี” จึงเท่ากับว่าเธอไม่เคยถูกข่มขืน
ดังนั้น การที่สังคมยังติดอยู่กับมายาคติที่ว่า ‘ผู้ถูกกระทำต้องเป็นแบบนี้ๆ’ เท่านั้น จะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับความรุนแรง และยังเป็นการผลิตซ้ำวัฒนธรรมข่มขืน (Rape Culture) ให้คงอยู่ในสังคมต่อไป
อย่างไรก็ดี บางประเทศ เช่น แคนาดา นิวซีแลนด์ มีการบังคับใช้กฎหมาย Rape Shield Law ที่ห้ามใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับพฤติกรรมในอดีตของเหยื่อจากความรุนแรงทางเพศ มาใช้ในกระบวนการในชั้นศาล แต่กฎหมายนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
ทั้งนี้ การที่ผู้ถูกกระทำไม่ได้ดูอ่อนแอ ไม่ได้แปลว่าความรุนแรงทางเพศนั้นไม่เคยเกิดขึ้น พวกเขามีสิทธิที่จะแสดงออกอย่างไรก็ได้ เพราะในโลกนี้ไม่มี “เหยื่อในอุดมคติ” มีเพียงแต่วัฒนธรรมข่มขืนและการกล่าวโทษเหยื่อเท่านั้น
อ้างอิงจาก