Q: จิตแพทย์กับนักจิตบำบัด หาใครก่อนดี?
A: หาหมอดู!!!
บทสนทนาที่เกิดขึ้นบนช่องคอมเมนต์ในโลกออนไลน์ ไม่เพียงโชว์ศักยภาพการเป็นนักสร้างมีมตัวท็อป แต่ยังสะท้อนบริบทที่เกิดขึ้นจริงของคนไทย โดยเฉพาะสังคมเมือง ที่ผู้ค้นจำนวนไม่น้อยกำลังบาดเจ็บทางใจ และเริ่มส่งเสียงสัญญาณเชิงบวกในการร้องขอความช่วยเหลือ
ภายใต้สถานการณ์ไตรมาสสองปี 2566 ที่ปัญหาด้านสุขภาพจิตของคนไทย ทั้งความเครียด เสี่ยงซึมเศร้า เสี่ยงฆ่าตัวตาย รวมถึงภาวะหมดไฟเพิ่มสูงขึ้นถึง 19.36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
จึงเป็นเหตุผลให้จิตแพทย์ นักจิตบำบัด และคนทำงานที่เกี่ยวข้องต้องเป็นด่านหน้ารับบทหนักไป และดูเหมือนหมอที่ไม่ใช่วิชาชีพ อย่างหมอดูจะเป็นคนอีกหนึ่งกลุ่มที่ต้องทำงานหนักไม่น้อยหน้าใคร
“ในมุมของเรามันไม่ใช่วิธีที่ผิดหรือถูก แต่เป็นวิธีที่หากเขามีความเชื่อเรื่องดวง และสิ่งที่หมอดูพูดทำให้คนคนนึงกลับมาจัดการใจในวันที่สับสน ว่าต้องทำอย่างไรดีกับชีวิตอาจจะแค่ไม่กล้าตัดสินใจเพราะว่ากลัว แล้วความชัดเจนที่หมอดูให้ทำให้เขากลับมาเรียบเรียง หรือตัดสินใจบางอย่างได้ เราก็รู้สึกว่านี่ก็เป็นฟังก์ชันของการซัปพอร์ตใจอย่างหนึ่ง ที่ทำงานกันคนละแบบกับนักจิตวิทยา”
นี่เป็นคำพูดของ ศุภวรรณ ใหญ่เสมอ นักจิตวิทยา จาก on mind way counseling center ที่ให้ความเห็นถึงรูปแบบการพึ่งพิงทางใจด้วยหมอดูของคนไทย
แล้ววิธีนี้จะใช้ได้ผลหรือไม่? The MATTER ถือโอกาสพูดคุยกับนักจิตวิทยารายนี้ในประเด็นดังกล่าว รวมถึงข้อแนะนำของการสำรวจใจตัวเองในช่วงเวลาใกล้สิ้นปีเช่นนี้
มูเตลูมีอยู่ทุกมุมเมือง
ก่อนจะถึงตอนนั้น ชวนย้อนดูวงเสวนาซึ่งเกิดขึ้นที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อไม่นานมานี้ ในประเด็นซึ่งคนละเรื่องเดียวกันกับเรื่องราวที่รับกำลังจะพูดถึง นั่นคือ ไสยศาสตร์ในวิถีเมือง : บทสนทนาว่าด้วยความเคลือบแคลง ความย้อนแย้ง และการแสวงหา
“หลายคนอาจจะมองว่าไสยศาสตร์เป็นเรื่องลี้ลับ งมงาย แต่หากทำความเข้าใจให้ลึกลงไปก็จะเห็นว่าไสยศาสตร์เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตเมือง ที่มีความผันผวนและเปลี่ยวเหงา ความเข้าใจหน้าที่ของไสยศาสตร์จะทำให้เราเข้าใจสภาวะจิตใจของคนที่อยู่ในเมือง”
ทัศนะของ พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เริ่มต้นชวนคนไปเข้าใจปัจจัยที่ส่งเสริมวิถีปฏิบัติต่อสิ่งเหนือธรรมชาติในบริบทเมือง
ด้วยบริบทของสังคมไทยโดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ ที่มีผู้คนต่างมากหน้าหลายตา หลั่งไหลเข้ามาหาโอกาสในการทำงาน การที่อยู่ห่างไกลบ้านและถูกตัดขาดจากครอบครัวและชุมชนที่คุ้นเคยทำให้ ‘ไสยศาสตร์’ ทำหน้าที่เป็นที่พึ่งทางใจ และสิ่งยึดเหนี่ยวให้อยู่ในสังคมเมืองอันโกลาหล
อ.พิพัฒน์ ยังให้ข้อสังเกตว่าการขอพรเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ ครอบครัว เป็นสิ่งที่เด่นชัดมากในวิถีของคนเมืองอีกด้วย เช่นเดียวกับการใบ้หวยและนำเสนอข่าวเรื่องราวสิ่งแปลกประหลาด ที่อาจจะนำไปตีเป็นตัวเลขได้ และการไหว้เทพเจ้าที่เชื่อว่าจะให้โชคลาภ เป็นสิ่งที่ กัญญา วัฒนกุล อ.จากศูนย์ไทยศึกษา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ตั้งคำถามและเสนอข้อคิดเห็นไว้
“มันเป็นเพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมหรือไม่ ที่ไม่โอบไม่เอื้อ ไม่มีสวัสดิการที่จะมาช่วยเหลือผู้คนเวลาที่ตกอยู่ในภาวะวิกฤตหรืออยู่ในสังคมที่ความเหลื่อมล้ำต่าง ๆ ถ้าเราอยากรวยเท่ากับคนรวย 10% ของประเทศ ดูเหมือนมันไม่มีทางอื่นเลย นอกจากต้องถูกลอตเตอรี่เท่านั้นหรือเปล่า”
อย่างไรก็ดี เกษม อาจารย์ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ก็ชี้ว่าคนเมืองสมัยใหม่นิยมเรียกชุดความเชื่อเชิงไสยศาสตร์ว่า ‘สายมู’ หรือ ‘มูเตลู’ ทำให้เรื่องนี้ดูทันสมัยขึ้นลดความลี้ลับหรือความมืดดำ
สามารถติดตามทัศนะอื่นๆ ที่น่าสนใจทั้งหมดของวงเสวนาดังกล่าว ได้ที่นี่: https://www.chula.ac.th/highlight/144639/
ทำไมใครก็ต่างพึ่งพิงใจไว้ที่หมอดู?
กลับมาที่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ศุภวรรณ อธิบายว่า คนที่ตัดสินใจเข้าหาหมอดูเป็นทางเลือกลำดับต้น มักจะเป็นกรณีของความไม่มั่นคงเรื่องอนาคต หรือยังไม่รู้คำตอบ ด้วยธรรมชาติที่คนเราเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่มืดมิด มองไม่เห็นอะไร ย่อมเกิดความกลัว กรณีเช่นนี้จึงมีแนวโน้มที่ไปดูดวง
“คนหนึ่งจะตัดสินใจดูดวงมัน จะไม่ใช่กรณีที่ว่า ‘ฉันไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง’ ‘ฉันเป็นซึมเศร้า’ เราไม่เคยเห็นลักษณะลักษณะนี้ เพราะส่วนใหญ่ก็จะเข้าหานักจิตบำบัดโดยตรง หรือเข้าหาจิตแพทย์เพื่อทำการรักษา
อย่างไรก็ดี ตัวแปรหลักที่จะทำให้การดูดวงเป็นประโยชน์หรือโทษนั้น นักจิตวิทยารายนี้ ระบุว่า เกี่ยวข้องกับวิธีการสื่อสารของหมอดูแต่ละคน ซึ่งส่วนใหญ่ใช้คำพูดในลักษณะรักษาน้ำใจ หรือชี้ว่ายังคงมีโอกาสอยู่ ทว่า อีกกลุ่มอาจสื่อสารออกไปอย่างตรงไปตรงมา ตามผลลัพธ์ของศาสตร์พยากรณ์
“ถ้าเขามีภาวะซึมเศร้าอยู่บ้างแล้ว อย่างกำลังไม่มั่นใจ รู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่สำเร็จ จึงอยู่ในภาวะสับสน แล้วหมอดูไปบอกว่าคุณยังไม่มีดวงประสบความสำเร็จตอนนี้หรอก ทำอะไรก็ไม่ดี พูดออกไปโต้งๆ เลย ก็อาจเป็นการขยาย pain point ความคิดทางลบที่เขาบอกกับตัวเองอยู่แล้ว”
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ถูกที่ถูกทางแล้วหรือไม่?
ศุภวรรณ ยกกรณีตัวอย่างเพื่อให้อธิบายการทำงานของคนสามกลุ่ม โดยเริ่มต้นที่นักจิตวิทยาว่า ที่จะรับมือกับผู้เข้ามาปรึกษา ด้วยการชวนเขากลับมาสำรวจปัจจุบัน ว่าสถานการณ์ในชีวิตของแต่ละคนส่งผลกับสิ่งที่รู้สึกและเผชิญอย่างไร และสิ่งเหล่านั้นเขาสามารถรับมือด้วยตัวเองได้หรือไม่
“การเข้ามาคุยกับนักจิตวิทยาถึงไม่ต้องรอให้เรามีความผิดปกติก่อนก็ได้ เราสามารถเข้ามาคุยเพื่อจัดการอารมณ์ตัวเอง ณ วันนี้ ที่เราอยากเข้าใจอารมณ์ตัวเองมากขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า เขาอยากจะจัดการด้วยตัวเอง หรือพร้อมที่จะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาคุยแล้วไหม”
ทว่า เมื่อประเมินแล้วว่าความคิดและความเครียดที่กวนใจผู้เข้ารับการปรึกษานั้นเริ่มมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อย่างนอนไม่หลับ จดจ่อกับการทำงานไม่ได้ หรือชีวิตไม่ได้มีความสุขเท่าเดิม จนถึงขั้นมีภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลอย่างชัดเจน นักจิตวิทยาก็จะแนะนำให้ไปคุยกับจิตแพทย์ เพื่อใช้ยาในการรักษาต่อไป
ศุภวรรณ ยังระบุว่า ไม่มีลำดับที่ตายตัวว่าควรพบใครก่อน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับรูปแบบที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้รับทั้งสิ้น
“ถ้าต้องการคำวินิจฉัย ต้องการยาเพื่อมาซัปพอร์ตใจในการใช้ชีวิต ก็ไปหาคุณหมอ เพราะนักจิตวิทยาวินิจฉัยและจ่ายยาไม่ได้ แต่ถ้าเขาต้องการพื้นที่ในการพูดคุยทำความเข้าใจตัวเอง อยากรู้ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจมาจากไหน อันนี้เป็นหน้าที่ซึ่งนักจิตวิทยาทำงานโดยตรง”
ขณะที่ การทำงานของหมอดูนั้น ศุภวรรณ ชี้ว่าอาจพุ่งไปที่คำตอบปลายทาง ซึ่งเป็นคำตอบที่ใจหลายคนกระโดดไปอยากรู้ หรือต้องการที่ยึดเกาะ ทั้งนี้ จำนวนมากยังมีคำตอบยู่แล้วเพียงต้องการคำยืนยันจากใครสักคน ซึ่งความต้องการเช่นนี้ก็อาจตรงกับแนวโน้มคำตอบของหมอดู ซึ่งนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ไม่อาจให้คำตอบในลักษณะเดียวกันนี้ได้
อย่างไรก็ดี ใกล้ส่งท้ายปีเช่นนี้ นอกจากการสำรวจจิตใจด้วยวิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมถึงพึ่งพิงมูเตลูแล้ว คนมักนิยมรีแคปชีวิตที่ผ่านมาซึ่งเป็นสิ่งที่ดีตามความเห็นของศุภวรรณ แต่ทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้ว่าจุดประสงค์เพื่อเรียนรู้และเข้าใจตัวเอง ดังนั้นการรีแคปให้ครบทุกแง่มุมจึงสำคัญ
“ถ้าเราตั้งเป้าว่าเราจะรีแคปมันเพื่อทำความเข้าใจตัวเอง ไม่ได้กลับมาเพื่อเฆี่ยนตีว่าเราพลาดอะไรไปบ้างก็เป็นสิ่งที่ทำได้ และมองให้ครบทุกด้านโดยไม่มุ่งไปเพียงแค่เรื่องที่ผิดพลาด เราสามารถขอบคุณตัวเองกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้เช่นกัน”
“การดูแลจิตใจเป็นพื้นฐานหนึ่งที่ทุกคนควรจะได้รับ และควรกล้าที่จะขอความช่วยเหลือคนอื่น การที่เราอยู่กับปัญหาคนเดียวไม่ได้เป็นเรื่องผิด แต่การมีโซเชียลซัปพอร์ตเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราผ่านไปได้เร็วขึ้น…คำว่าไม่ไหวของแต่ละคนไม่เท่ากัน การที่เรากลับมารู้ทันตัวเองว่าตอนนี้เราไม่ไหวแล้ว ต้องการการซัปพอร์ตแล้วไม่ว่าจะทางไหน เป็นเรื่องดีทั้งหมด” ศุภวรรณ กล่าวทิ้งท้าย