ขอสารภาพว่า ถึงตอนนี้ เราก็ยังนึกไม่ออกว่า รู้จัก ทราย เจริญปุระ ครั้งแรกจากละครเรื่องไหน แต่เมื่อได้ยินชื่อของเธอ ในหัวก็ปรากฏภาพหญิงสาวร่างสูง เจ้าของดวงตากลมโตขึ้นมาทันทีทันใด
นี่คงเป็นอานุภาพของสื่อบันเทิงอย่างละครและภาพยนตร์ รวมถึงความเจนจัดและฝีไม้ลายมือในการแสดงที่ยกสถานะให้เธอเป็นดาราขาประจำ ที่พูดชื่อไปใครๆ ก็รู้จัก ไม่ว่าจะเคยดูผลงานของเธอหรือไม่
แต่สำหรับคนที่เคยดู—ไม่ว่าคุณจะจำทรายได้ในบทบาทไหนจากละครและภาพยนตร์กว่า 50 เรื่องที่เธอมีส่วนร่วม ดาราที่เข้าวงการมาตั้งแต่อายุ 13 คนนี้ก็ยินดีให้คุณจดจำเธอได้ตามที่คุณต้องการ
“ชอบแบบไหนก็เลือกจำแบบนั้นเลย เราเล่นครบทุกแบบแล้ว” เธอว่า ก่อนขยายความว่าตัวเองไม่ใช่คนสำคัญอะไร “เราเป็นแค่เชิงอรรถเล็กๆ ในชีวิตคนอื่น เต็มที่ก็เป็นแบ็คกราวด์ตอนที่น้องไปดูหนังที่เราเล่นแล้วได้เจอแฟนครั้งแรก เราไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เราไม่ได้เปลี่ยนโลก เราแค่ทำสิ่งที่เราชอบ แถมได้เงินอีกต่างหาก”
จากมุมมองคนนอก—แนวคิดแบบ ‘ไม่สำคัญตัว’ เช่นนี้น่าจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทรายเป็นดาราที่ค่อนข้าง ‘แหกคอก’ จากเพื่อนร่วมวงการอยู่สักหน่อย เป็นต้นว่า เธอเป็นตัวเองโดยไม่ห่วงภาพลักษณ์ใดๆ เพราะคงมีดาราเบอร์ใหญ่ระดับนี้ไม่กี่คนที่กล้าพูดจาเป็นกันเองระดับกูมึงเข้าหูสาธารณชน เล่าออกรายการว่าเคยเป็นแอลกอฮอลิก แชร์ประสบการณ์การดูแลแม่ผู้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม ไปจนถึงเปิดเผยว่าตนกำลังต่อสู้กับโรคซึมเศร้าอยู่ ไม่ปกปิดความอ่อนแอ พอๆ กับที่ไม่ขัดเขินที่จะแสดงความแข็งแกร่ง
หลายครั้งในเวลากว่าชั่วโมงที่เราคุยกัน นักแสดงวัย 36 มักย้ำว่าตัวเองโชคดีที่คนส่วนใหญ่เข้าใจตัวตนของเธอ ไม่ว่าจะเป็นทีมงานในกองถ่าย เพื่อนร่วมวงการ ไปจนถึงแฟนคลับ (ที่ไม่ใช่ “แฟนคลับอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อน” นั่นคำพูดเธอ) ไม่เหมือนดาราระดับแนวหน้าบางคนที่ต้องแบกรับความคาดหวังของคนในสังคมจนทำเรื่องสามัญธรรมดาบางอย่างไม่ได้ “ภาพลักษณ์คือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับนักแสดง คนเขาเชื่อว่าเราเป็นสิ่งที่เขาเชื่อมากกว่าสิ่งที่เราเป็นจริงๆ เสียอีก”
ทรายบอกว่าส่วนตัวเธอไม่มีอะไรที่ต้องปกปิดหรือเปิดเผยเป็นพิเศษ
แม้ทั้งหมดนี้จะทำให้คิดไปได้ว่า ความไม่ยี่หระต่อภาพพจน์หรือยึดติดกับภาพลักษณ์คงเป็นคุณสมบัติที่เธอมีติดตัวมาแต่ต้น แต่เมื่อบทสนทนาของเราดำเนินไป และเวลาที่เราขออนุญาตสัมภาษณ์เธอไว้เริ่มงวดลง เราจึงค้นพบว่า เธออาจไม่ได้มีคุณสมบัตินี้ติดตัวมาตั้งแต่ต้น ทว่ามันสั่งสมและก่อตัวมาจากประสบการณ์การใช้ใช้ชีวิตในฐานะดารามาตลอดยี่สิบปีต่างหาก
คุณเข้าวงการมาตั้งแต่อายุ 13 คิดว่าละครให้อะไรหรือพรากอะไรไปจากคุณบ้าง
คือจริงๆ ที่ให้ มันก็ให้ทุกอย่างแหละ แต่ก็เอาไปทุกอย่างเหมือนกัน มันเอาตัวเราไปเลย ยกตัวอย่างตอนเราเล่นละครเรื่องแรกอย่าง ล่า (2537) เราจะรู้สึกว่าเราเป็นเด็กเรียบร้อย น่ารัก น่าสงสาร เพราะนอกจอทุกคนก็จะทรีตเราเหมือนเราเป็นเด็กเรียบร้อย ซึ่งเรารู้ว่ามันไม่ใช่ นั่นแค่บทบาทในละครเฉยๆ เราเลยเข้าใจว่าละครมันทำให้เราไม่เป็นเรา แล้วพอเราเริ่มเป็นเรา ทุกคนก็จะงงๆ ว่า ‘อ้าว ไม่เหมือนในละครเหรอ’ ซึ่งมันก็ต้องไม่เหมือนอยู่แล้วสิวะ
มีครั้งหนึ่งเราเห็นข่าวว่าคุณแอฟ (ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ) เต้น ทุกคนฮือฮามากว่าเขาเต้นได้ ซึ่งมันแค่เต้นไง เต้นไม่ได้เหรอวะ สมมติถ้าเป็นคนอื่นเต้นก็จะเฉยๆ ถูกไหม แต่พอเป็นคุณแอฟทุกคนตื่นเต้น เพราะเขาดูต้องสวย ต้องเรียบร้อย เต้นไม่ได้ แม่งภาพลักษณ์คือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับนักแสดง คนเขาเชื่อว่าเราเป็นสิ่งที่เขาเชื่อว่าเราเป็น มากกว่าสิ่งที่เราเป็นจริงๆ อีก เราว่ามันก็เป็นงานอย่างหนึ่งที่ต้องรักษาภาพลวงตาตรงนั้นไว้ แต่มันประหลาด มนุษย์มันมีตั้งหลายอย่าง งานก็งาน ส่วนตัวก็ส่วนตัว ไม่เห็นมีหมอผ่าตัดที่ไหนเอาคนไข้กลับไปผ่าที่บ้าน
แต่คุณดูไม่ใช่คนที่คิดว่าต้องรักษาภาพลักษณ์ตรงนั้น
เราไม่ได้รู้สึกว่าต้องเปิดหรือปิดอะไรเป็นพิเศษ กับดารามันจะมีความคาดหวังอยู่เสมอแหละ ไม่ว่าจะในทางดีหรือไม่ดี เราก็ไม่ได้อยากทำลายภาพฝันอันสวยงามของคนอื่น แต่บางเรื่อง เช่น พูดจาไม่เพราะ เราไม่ได้ต้องการจะพูดไม่เพราะ แต่ปกติพูดจาแบบนี้อยู่แล้ว เราไม่ใช่คนของประชาชน เราก็มีนิสัย มีรสนิยมของเรา แต่เรารับผิดชอบงานไง เวลาทำงานเราก็ไม่ได้เอาเรื่องส่วนตัวไปใส่ในงาน สมมติเวลาไปกอง เราไม่เคยแคร์เลยว่าจะแต่งตัวแต่งหน้าเรายังไง ทาฟันดำ ลงผิวดำ ทำอะไรก็ได้ ทำให้เต็มที่ แต่ชีวิตจริงอย่ามาแตะกัน
แล้วเราเป็นคนที่ไม่มีแฟนคลับที่เป็นแฟนคลับอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อน เราดูแลคนไม่เป็น ก็มีน้องที่มาตามเหมือนกัน แต่น้องทุกคนจะรู้ว่าอย่าไปเอาธุระอะไรกับอีนี่มาก พอเลิกงานปุ๊บเราก็จะบอกว่า ‘กลับบ้านได้แล้ว พี่จะไปกินเหล้า’ คุยแค่นี้แล้วก็ไป เราคุยชิตแชตแบบ ‘แล้วนี่จะกลับกันยังไง’ ไม่เป็นอะ
เราว่ามันก็เป็นงานอย่างหนึ่งที่ต้องรักษาภาพลวงตาตรงนั้นไว้ แต่มันประหลาด มนุษย์มันมีตั้งหลายอย่าง งานก็งาน ส่วนตัวก็ส่วนตัว ไม่เห็นมีหมอผ่าตัดที่ไหนเอาคนไข้กลับไปผ่าที่บ้าน
คนที่จะทำแบบคุณได้ต้องเป็นดาราที่เก่งมากๆ ไหม
ไม่หรอก โลกตอนนี้ทำให้คนดูกับคนเล่นใกล้ชิดกันมากขึ้น มันก็มีความคุ้นเคยและความสนิทสนมอยู่ แต่เราพูดบ่อยๆ ว่าถ้าเราเกิดยุคนี้ เราไม่มีทางเป็นดาราได้ เรารู้สึกว่าน้องๆ ทุกคนเก่งมากเลย อย่างการไปอีเวนต์ แต่ก่อนมันไม่มีหรอก มีแค่ถ่ายละคร เดี๋ยวนี้มีไปอีเวนต์ เราก็จะคิดว่าไปทำไม ไปทำอะไร ส่วนใหญ่ก็จะตัดปัญหา ไม่ไป จบ
ลำพังสถานะดาราก็ทำให้คุณแปลกแยกจากคนอื่นๆ อยู่แล้ว แต่เหมือนคุณจะแปลกแยกจากกลุ่มดาราด้วยกันอีก
ใช่ แต่เราก็สบายดีนะ มันไม่มีใครเอาธุระอะไรกับเรา ไม่มีใครคาดหวังอะไรกับเรา ทุกวันนี้ไปกองก็เล่นตลกไปวันๆ คือเราโชคดีมากที่ได้ทำงานที่ชอบจริงๆ โดยที่เราไม่มีข้อแม้อะไรใดๆ กับมัน เราสามารถไปนั่งร้อนอยู่กองถ่ายหรือนั่งตบยุงดึกๆ แล้วก็ยังหาเรื่องมาเล่นตลกกับคนอื่นเพื่อให้ตื่นแล้วก็ทำงานกันต่อไปได้ ขำมั่งไม่ขำมั่ง แต่เราอยู่ได้ เราชอบมันมากพอ และเราไม่รู้สึกอึดอัดอะไร
แต่ทันทีที่พ้นจากกอง จะวันเกิดใคร วันแต่งงานใคร เราไม่ค่อยไป สำหรับเรามันเป็นอีกชิ้นส่วนหนึ่ง มันไม่ใช่ชิ้นเดียวกัน แม่เราก็เคยถามว่า ไม่มีกลุ่มเพื่อนดาราเหมือนคนอื่นเขามั่งเหรอ ก็ไม่เคยมี แต่ไม่ได้เกลียด ไม่มีปัญหาอะไรกับใคร ถ่ายละครได้ ทำงานได้ เฮฮาอะไรกันไป แต่เราเกรงใจเขา เราชอบคิดว่าเขาก็ต้องมีชีวิตของเขา เขาอาจจะอยากพัก
คุณเป็นนักแสดงมากว่ายี่สิบปี มีบทบาทไหนที่คุณอยากแสดงแต่ยังไม่มีโอกาสไหม
เป็นกะเทย แบบเรื่อง ไม่ได้ขอให้มารัก(2555) หรือ Transamerica (2548) คือทุกคนมักจะคิดว่าเราเป็นกะเทยอยู่แล้ว (หัวเราะ) แต่จริงๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ถ้าเรามีไอเดียว่าเราจะจัดการกับตัวละครนี้อย่างไร เราคิดว่ามันเป็นคนแบบไหน เราก็จะอยากเล่น ไม่ว่าจะเหมือนเราหรือไม่เหมือนเรา ความเป็นเราไม่เกี่ยวอยู่แล้ว
ระยะหลังมานี้คุณเริ่มรับบทแม่ คิดว่าเร็วไปไหม
บางคนอาจรู้สึกว่าอายุสามสิบกว่าไม่ควรแสดงเป็นแม่ เพราะยังต้องสวย แต่อย่างแม่เรามีเราตั้งแต่อายุยี่สิบสี่ เราสามสิบหกก็ต้องมีลูกได้แล้ว ในชีวิตจริงคือใกล้หมดเมนส์แล้ว เข้าระยะเสี่ยงแล้วด้วยซ้ำ ถ้าอยากมีลูกต้องไปปรึกษาแพทย์แล้วนะ แล้วอันที่จริงเราเล่นบทมีลูกตั้งแต่ นางนาก (2542) ตอนนั้นคืออายุสิบแปด ฉะนั้นเราไม่แคร์อะไรตรงนั้นเลย บทแม่ก็เล่นได้ จะเอาลูกเบอร์ไหนอะ มีครบทุกไซส์ S, M, L แล้วจะเอาลูกผี ลูกคน ลูกบู๊ ลูกน่ารัก ลูกโต ลูกเด็ก เราเล่นมาหมดแล้ว
ในประเทศไทยดาราหญิงอายุสามสิบกว่าคือเทียบเท่าหม้อบ้านเชียงอายุพันห้าร้อยปี คือมึงต้องเทิร์นตัวเองเป็นอะไรสักอย่างได้แล้ว เราโชคดีที่เล่นนางนาก มีงานที่คนจำได้ ถือว่าโอเค รู้แล้วนะว่าเราแสดงได้ ทีนี้เราจะรับบทอะไรก็เพื่อความสนุก ความบันเทิง ความมันในอารมณ์ของเรา เราไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นนางเอกไปตลอดกาล เราไม่ได้จะแบกมันติดตัวไปด้วย การเป็นดารา ระหว่างการมีเรื่องเดียวแล้วหายไปเลย กับการมีผลงานอยู่เรื่อยๆ แบบหลังก็น่าจะดีกว่า
เดี๋ยวนี้เริ่มมีสื่อบันเทิงที่หลีกเลี่ยงคำว่าละครไปใช้คำว่าซีรีส์แทน คุณคิดว่าจะเป็นจุดจบของละครไหม
เราว่ายังไงคนที่เสพอะไรแบบนี้กว่าครึ่งต้องการหลีกหนีจากความน่าเบื่อของชีวิตประจำวัน จากงาน ต้องการผ่อนคลายในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฟังเพลง ดูหนัง ละครมันก็เป็นอีกหนทางหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าคุณจะพลิกแพลงเรียกมันว่าซีรีส์ หรือว่าอะไรใดๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจตรงกันว่าจะมีคนมาเล่นอะไรให้ดูสักอย่าง สำหรับเราซีรีส์ก็คือละครนั่นแหละ
เราไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นนางเอกไปตลอดกาล เราไม่ได้จะแบกมันติดตัวไปด้วย
เมื่อกี้คุณพูดถึงการหลีกหนี คุณเคยคิดไหมว่าจริงๆ แล้วละครไม่ต้องสมจริงก็ได้
ความสมจริงในชีวิตคนเรามันไม่เท่ากันนะ ยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อนผู้หญิงเราคนหนึ่งใส่เสื้อในนอน เราคิดว่าบ้าหรอ ใส่เสื้อในนอน อึดอัดตายห่า แต่เพื่อนบอกว่ามันติด แม่สอนมา เดี๋ยวไม่เรียบร้อย สำหรับเราเพื่อนคนนี้คือไม่สมจริง หรือบางคนจะนอนต้องใส่ชุดนอนเข้าชุดกัน บางคนขอเสื้อบอลแค่ตัวเดียว บางคนใส่แค่กางเกงใน แล้วสรุปอะไรคือความสมจริง
มันมีบางวันนะที่เราเมามากๆ แล้วนอนทั้งที่แต่งหน้า คนเราก็มีโมเมนต์แบบนี้ได้ แล้วคุณจะเอาจริงขนาดไหน ถ้าเราเล่นฉากตาย เราต้องตายเลยหรือเปล่า ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ต้องมีดารากันแล้วล่ะ ตามถ่ายภาพข่าวกันอย่างเดียวก็พอ อันที่จริงคุณรู้ว่าเราไม่ได้ตาย คุณรู้ด้วยว่าคุณกำลังดูละคร และคนที่คุณดูก็กำลังแสดงละครอยู่
แล้วเราชอบอ่านข่าวภูมิภาค ข่าวแปลกๆ ที่เซอร์ชนิดที่ว่านวพล (นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์) ก็เขียนบทแบบนี้ไม่ได้ พี่เจ้ย (อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล) เหรอ อย่าหวังเลย มันบียอนด์มากๆ จนไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่โอเค ในบางประเด็น คนทำละครทำหนังก็ต้องรับผิดชอบเรื่องความจริง เช่น การปฐมพยาบาล เรื่องทางเทคนิคต่างๆ ไม่ใช่ว่าพระเอกเป็นวิศวกรไปคุมงานก่อสร้างแต่ไม่ใส่หมวกนิรภัย แบบนี้ก็ไม่ควร
แล้วในแง่ของความน้ำเน่าล่ะ ละครมีสิทธิ์ที่จะน้ำเน่าไหม
จริงๆ เราชอบด้วยซ้ำ ถ้าน้ำเน่าก็ขอให้น้ำเน่าให้สุด ขอให้บังเอิญมากๆ ให้ตัวเอกมีปานรูปประเทศจีน แล้วก็แต่งตัวสวยตลอดเวลา อยู่ในบ้านที่ห้องโถงใหญ่ที่สุด คือต้องถามว่าน้ำเน่าแล้วดูไหม ถ้าไม่ดูก็เปลี่ยนช่อง เราไม่ควรดูถูกรสนิยมกัน สมมติเราชอบหนังเรื่องนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าหนังเรื่องอื่นไม่มีคุณค่า ความบันเทิงของคนเรามีตั้งหลายอย่าง บางคนปลูกต้นไม้แล้วบันเทิง บางคนแต่งรถแล้วบันเทิง บางคนเล่นเครื่องเสียงแล้วบันเทิง คุณจะไปว่าเขาไร้สาระหรือเปล่าล่ะ
ในฐานะที่อยู่ในวงการมานาน คุณดีใจกับการเปลี่ยนแปลงไหนของวงการบันเทิงบ้าง
แม้คนจะเรียกร้องจากดารามากขึ้น แต่คนก็เข้าใจดารามากขึ้นนะ ลองนึกถึงอาแอ๊ด (สมบัติ เมทะนี) ที่แต่งงานแล้วแต่ห้ามบอกใครสิ เรื่องที่ว่าดาราคู่ขวัญคนนี้ต้องคู่กับคนนี้เท่านั้นมันเหนือมนุษย์มากเลยนะ เดี๋ยวนี้อาจมีคู่จิ้นบ้าง แต่ดาราก็ยังสามารถใช้ชีวิตโดยไม่ต้องเอาลูกเอาเมียไปซุกไว้ตามหลืบตามรู
อีกอย่างคือการแสดงได้รับการยอมรับในแง่การเป็นอาชีพมากยิ่งขึ้น ไม่มีคนมาพูดใส่หน้าว่าเต้นกินรำกิน คนเข้าใจว่าไม่ใช่จับใครก็ได้ที่ว่างๆ มาเล่น แต่มันมีความเฉพาะตัว มันเป็นงานจริงๆ
ความแกร่งของมนุษย์จริงๆ คือการรับผิดชอบผลของการตัดสินใจ ผลของสิ่งที่ตัวเองทำให้ได้มากกว่า
สังเกตว่าต่อให้มีปัญหาส่วนตัวรุมเร้า คุณก็ไม่เคยหยุดทำงาน
การไปกองคือการพักผ่อนของเรา มีช่วงหนึ่งที่เราเหนื่อยเรื่องแม่มากๆ เวลาไปกองเราจะมีความสุขมาก จริงๆ ก็รู้สึกผิดที่วันนั้นไม่ได้อยู่กับแม่ ทั้งที่ไม่ควรรู้สึกผิด แต่เราชอบทำงาน เราชินกับมันแล้วด้วย เพราะเราไม่ทันมีช่วงชีวิตที่อยากไปนอนบ้านเพื่อน เราไปกองมาตั้งแต่เด็ก เราจะรู้สึกสบายๆ กับทีมงานในกองมาก เหมือนเราโตมากับพวกเขา
คุณดูเป็นหญิงแกร่งที่ต้องรับมือปัญหาหลายอย่าง มีวิธีจัดการชีวิตอย่างไร
อะไรที่จัดการไม่ได้ก็ไม่ทำเลย จบ ง่ายมาก คือเรารู้ว่าตัวเองไม่ได้แกร่งอะไร บางทีไม่ได้คิดถึงอนาคตด้วย แค่รับมือไปโง่ๆ ให้มันผ่านๆ ไปก่อน เราว่ามันไม่ใช่เรื่องการตัดสินใจ มันไม่ได้แกร่งมาตั้งแต่ต้น ความแกร่งของมนุษย์จริงๆ คือการรับผิดชอบผลของการตัดสินใจ ผลของสิ่งที่ตัวเองทำให้ได้มากกว่า
คุณวางแผนการในอนาคตไว้ใกล้ไกลขนาดไหน
พรุ่งนี้ (ตอบเร็ว) ตอนเด็กๆ เราก็เคยคิดว่าพอทำงานถึงอายุเท่านี้ เราจะหยุด เราจะเที่ยว เราจะมีแฟน เราจะนู่น เราจะนี่ เราจะนั่น แต่ทันทีที่พ่อเสีย เราคิดว่านี่มันไม่ได้อยู่ในแพลนเลยนะ ใครเผาแพลนกูเนี่ย แต่เรายังโชคดีที่ได้ดูแลเขาอย่างเต็มที่ ได้ทำงานเป็นหัวหน้าครอบครัว
แล้วมันยิ่งมาหนักๆ ชัดๆ ตอนเรารถชน คือเล่นละครอยู่ด้วยนะ เขาก็ต้องเอาคนอื่นมาเล่น แล้วตอนนั้นหมอก็บอกว่า ‘ต้องผ่าตัดนะครับ แต่ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร’ เราไม่เคยเจอเรื่องอะไรแบบนี้ เขาไม่รู้ได้ด้วยเหรอ แล้ววันที่เรารู้สึกแย่มากคือวันที่พยาบาลอาบน้ำให้ รู้สึกสิ้นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มาก แค่อาบน้ำกูก็ทำไม่ได้เหรอวะ กูไม่เป็นนายตัวเองถึงขั้นนี้เลยเหรอ สรุปคือวางแผนไปก็เท่านั้น ไม่มีประโยชน์ ชีวิตมันเป็นแบบนี้แหละ ไม่เข้าใจก็ต้องรีบๆ เข้าใจซะเพื่อความสงบสุข
ตอนนี้ความรักมีบทบาทในชีวิตของคุณมากน้อยแค่ไหน
ตอนนี้มีแฟน ถือว่าดี ทำให้เราไม่เครียดมาก บางทีเราอยากกรี๊ดเรื่องที่ซับซ้อนมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแม่ เรื่องงาน เราก็ต้องการคนที่เข้าใจและฟังเราจริงๆ ซึ่งพอมีคนฟังมันจะทำให้อีโก้ของเราไม่ยุบตัวลง คือการเป็นนักแสดงอีโก้มันสำคัญประมาณหนึ่งเลย ไม่งั้นเวลาไปกองจะมีปัญหา ไม่มั่นใจว่าทำได้ดีพอหรือยัง ใส่ชุดนี้แล้วโอเคไหม สมมติว่าคนใกล้ชิดไม่เห็นคุณค่าตรงนี้ของเรา เราจะสั่นไหวมาก ซึ่งแฟนเราทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีมาก
เรามีคนในชีวิตให้ห่วงไม่กี่คนเอง เช่น น้อง หรือคนที่เป็นระบบซัพพอร์ตของเรา ซึ่งเราอยากจะหล่อเย็นไว้ตลอดเวลา เราจะทุ่มเทให้กับการเช็กถุงลมนิรภัยของตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเขาโอเคไหม
ยังเป็นคนที่ทุ่มเทกับความรักมากๆ เหมือนเดิมไหม
เรารักคนน้อย ดังนั้นถามว่าทุ่มเทไหม ก็ทุ่มเทแหละ เพราะเรามีคนในชีวิตให้ห่วงไม่กี่คนเอง เช่น น้อง หรือคนที่เป็นระบบซัพพอร์ตของเรา ซึ่งเราอยากจะหล่อเย็นไว้ตลอดเวลา เราจะทุ่มเทให้กับการเช็กถุงลมนิรภัยของตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเขาโอเคไหม อย่างล่าสุดก็พาน้องไปกินข้าว เราซีเรียสกับอะไรแบบนี้พอสมควร เพราะเรารู้ว่าถ้าช่วงไหนเราไม่มีเวลาคือมันไม่มีจริงๆ เราเลยพยายามให้มันมีช่วงเวลาที่ดี เพราะมันดีกับเราด้วย แล้วเราก็หวังว่ามันจะดีกับคนที่เราทำให้
เห็นว่าหนังสือเล่มล่าสุดที่รวบรวมบทความจากคอลัมน์ ‘รักคนอ่าน’ ในมติชน จะเป็นหนังสือที่โรแมนติกที่สุดของคุณ
ก็ใช่ คือบางทีหนังสือที่เราหยิบมาเล่าให้ฟังในคอลัมน์จะมีจุดร่วมที่ความโรแมนติกบางอย่าง แล้วพอดีคุยกันว่า คนไม่ค่อยเห็นมุมนี้ของเรา เลยเลือกเฉพาะชิ้นที่ไปในทิศทางเดียวกัน ตั้งชื่อหนังสือว่า ‘หยดน้ำในเปลวทราย’ ดูเลอค่า อมตะ ฉันสวยมาก
จากคอลัมน์ Face โดย กันต์กนิษฐ์ มิตรภักดี
giraffe magazine 59—Theatre of Life