เท่าที่ผู้เขียนพอจะรับทราบ กระแสของการ์ตูนวาย ละครวาย หนังวาย ในญี่ปุ่นนั้นมีมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ยุค 90 แล้ว (เช่น ผลงานของ Clamp หรือภาพยนตร์เรื่อง Like Grains of Sand หรือ Hush! ของผู้กำกับเรียวสุเกะ ฮาชิกุจิ) แต่ละครโทรทัศน์วายญี่ปุ่นน่าจะกลับมาบูมเป็นพลุแตกอีกครั้งด้วยละครเรื่อง Ossan’s Love (2018) อันว่าด้วยเจ้านายรุ่นลุงที่เพิ่งมารู้ตัวว่าหลงรักลูกน้องหนุ่มรูปหล่อ ผู้เขียนจำได้ว่าไปญี่ปุ่นช่วงนั้นก็เห็นเหล่านักแสดงจาก Ossan’s Love ขึ้นปกนิตยสารแทบทุกเล่ม
อย่างไรก็ดี ปัญหาของผู้เขียนต่อ Ossan’s Love ทั้งสองซีซั่นรวมถึงภาคหนังใหญ่คือมันใช้แอ็กติ้งแบบ ‘เล่นใหญ่’ (หรือแบบการ์ตูนๆ) ตลอดเรื่อง ความสัมพันธ์แบบเพศเดียวกันในเรื่องจึงล้นทะลักไปด้วยแฟนตาซีและแทบไม่มีความสมเหตุสมผลใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากอยากดูผลงานว่าด้วย LGBTQ+ ที่ยึดโยงกับเป็นความเป็นจริงมากกว่าก็น่าจะเป็นเรื่อง Cherry Magic และ What Did You Eat Yesterday? ซึ่งมีแพทเทิร์นเหมือนกันคือเริ่มจากการมังงะ ถูกสร้างเป็นละครทีวี และต่อยอดเป็นภาพยนตร์จอเงินในที่สุด
Cherry Magic เป็นมังงะโดย ยู โทโยตะ (Yuu Toyota) เริ่มตีพิมพ์ตั้งแต่ปี ค.ศ.2018 ถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์ปี ค.ศ.2020 ได้รับเสียงตอบรับแบบถล่มทลายทั้งในบ้านเกิดและประเทศไทย เนื้อเรื่องว่าด้วย ‘อาดาจิ’ หนุ่มออฟฟิศวัย 30 ที่ยังซิงและมีพลังวิเศษอ่านใจคนได้ เขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งที่พนักงานดีเด่นสุดเท่อย่าง ‘คุโรซาวะ’ แอบชอบเขา ซึ่งจุดแข็งของ Cherry Magic ฉบับละครคือการนำเสนออย่างกุ๊กกิ๊กน่ารักชุ่มชื่นหัวใจ รวมไปถึงเสน่ห์และเคมีอันล้นเหลือของสองนักแสดงนำ
Cherry Magic ฉบับภาพยนตร์ออกฉายในปี ค.ศ.2022 อย่างแรกที่น่าชื่นชมคือการปรับโครงสร้างให้มีความเป็นภาพยนตร์ หรือคือการมีแก่นแกนเรื่องแบบเป็นชิ้นเป็นอัน โดยครึ่งแรกจะว่าถึงการที่อาดาจิต้องย้ายไปทำงานต่างจังหวัดถึง 8 เดือน แต่ส่วนตัวผู้เขียนมองว่าหนังเสียเวลากับพล็อตส่วนนี้มากเกินไปและมันไม่ได้น่าสนใจนัก (แต่มันถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายของตัวละครนั่นแหละ)
อาจเพราะผู้เขียนไม่ได้อ่านมังงะและดูละคร ไม่ได้มีความผูกพันใดๆ กับตัวละคร จึงไม่ได้รู้สึกเอาใจช่วยพวกเขาสักเท่าไร อย่างไรก็ดี ช่วงนี้มีอีกพล็อตน่าสนใจคือพลังวิเศษของอาดาจิหายไป เขาไม่สามารถอ่านใจคุโรซาวะได้แล้ว เขาจึงต้องเรียนรู้ถึงการถามไถ่ความรู้สึกของอีกฝ่าย และที่สำคัญกว่าคือการถ่ายทอดความในใจของตัวเอง
ครึ่งหลังของ Cherry Magic มีเนื้อหาที่จริงจังขึ้น ตัวเอกทั้งสองย้ายมาอยู่บ้านเดียวกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน และตัดสินใจพาคนรักไปเปิดตัวกับพ่อแม่ ซึ่งผู้เขียนก็ขัดใจอยู่บ้างที่พ่อแม่ดูจะยอมรับได้ง่ายดาย โดยเฉพาะการพยายามสร้างความซึ้งผ่านตัวละครแม่ของคุโรซาวะที่ไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย ถึงกระนั้นผู้เขียนอาจยึดติดกับความคุ้นชินที่ตัวละครเกย์ต้องดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อได้การยอมรับจากครอบครัว นอกจากนั้นแม้จะมีฉากขอแต่งงานหรือพิธีวิวาห์สุดแฮปปี้ แต่หนังก็มีกิมมิคที่ใส่ตั้งแต่ช่วงเปิดเกี่ยวกับเทพนิยาย ถึงคนเราวาดฝันจะใช้ชีวิตแบบนั้น แต่อาดาจิกับคุโรซาวะก็ยังต้องอยู่กับความเป็นจริง และความจริงที่พวกเขาตระหนักได้คือ ‘โลกไม่ได้มีแค่เราสองคน’ ดังนั้นหากมองในมุมนี้ ฉากที่ทั้งคู่ตัดสินใจไปหาพ่อแม่ของอีกฝ่ายก็นับว่าไม่ใช่ฉากเพ้อฝันแต่อย่างใด
ส่วน What Did You Eat Yesterday? เป็นมังงะของ ฟูมิ โยชินางะ (Fumi Yoshinaga) เขียนมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2007 ได้เสียงชื่นชมอย่างมาก ได้รางวี่รางวัลมากมาย เนื้อหาเกี่ยวกับคู่เกย์วัยกลางคน ‘ชิโระ’ ทำอาชีพทนาย ส่วน ‘เคนจิ’ เป็นช่างตัดผม เอกลักษณ์ของมังงะอยู่ที่ฉากทำอาหารของชิโระที่ยาวหลายหน้าและมีสูตรอาหารอย่างละเอียด สรุปอย่างง่ายว่าเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเกย์รุ่นใหญ่ การทำอาหาร และมีเรื่องกฎหมายนิดๆ หน่อยๆ
What Did You Eat Yesterday? ถูกสร้างเป็นฉบับละครทีวีในปี ค.ศ.2019 ก่อนจะเป็นหนังใหญ่ช่วงปลายปี ค.ศ.2021 (แต่เพิ่งเข้าฉายบ้านเราในปีนี้) จุดที่ผู้เขียนขัดใจอยู่บ้างสำหรับภาคเดอะมูฟวี่คือมันมีลักษณะคล้ายละครทีวี 4-5 ตอนเอามาต่อๆ กันแล้วก็ฉายขึ้นจอใหญ่ ไม่ได้มีเรื่องราวอะไรเป็นแก่นหลัก ประกอบด้วยเหตุการณ์ยิบย่อย เช่น พวกพระเอกไปเที่ยวด้วยกัน เรื่องราวที่ทำงานของทั้งสองฝ่าย ปัญหาครอบครัวที่พวกเขาต้องไปจัดการ ฯลฯ หนังอาจจะมีธีมอยู่บ้างเกี่ยวกับความตายและความสำคัญของคู่ชีวิต (ช่วงต้นเรื่องเคนจิเข้าใจผิดว่าชิโระกำลังจะตาย ส่วนตอนท้ายสลับบทบาทเป็นฝั่งชิโระที่มโนไปเอง) แต่ก็เหมือนเป็นลูกเล่นมากกว่าคอนเซ็ปต์ที่หนักแน่น
หากมองในอีกมุมหนึ่ง การที่หนังออกมามีลักษณะแบบนี้ก็เพราะความซื่อสัตย์ต่อมังงะต้นฉบับที่มีลักษณะแบบ Slice of Life ดังนั้นผู้เขียนอาจติดกับดักของตัวเองที่คาดหวังว่า พอมันดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แล้วจะต้องมีโครงสร้างแบบนั้นแบบนี้ และด้วยความที่ผู้เขียนได้อ่านทั้งมังงะ ได้ดูละครครบทุกตอน รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับตัวละครทั้งหลาย ก็เลยสามารถรื่นรมย์กับภาคหนังใหญ่ได้ตลอดรอดฝั่ง
สิ่งที่ยังชื่นชมเหมือนเดิมคือนักแสดงนำสองคน ทั้ง เซโย อุจิโนะ (Seiyō Uchino) ที่ตัวจริงมาดแมนสุดๆ กลับรับบทเคนจิผู้มีจริตสาวได้อย่างแนบเนียน ส่วนฮิเดโตชิ นิชิจิมะ (Hidetoshi Nishijima)ผู้รับบทชิโระก็แสดงได้อย่างน่าเชื่อถือไม่ว่าจะฉากตลกหรือซีเรียส เขาเป็นนักแสดงประเภทเล่นได้ทั้งหนังแมส หนังซูเปอร์ฮีโร่ หนังอาร์ต (อย่าง Drive My Car) การกล่าวว่านิชิจิมะคือนักแสดงญี่ปุ่นฝีมือดีที่สุดของยุคนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง
ทั้งนี้พล็อตส่วนที่ผู้เขียนชอบที่สุดใน What Did You Eat Yesterday? คือตัวละครแม่ของชิโระที่มีความรู้สึกซับซ้อนอยู่ในใจ เธอพยายามจะยอมรับที่ลูกชายเป็นเกย์ แต่พอชิโระพาเคนจิมาบ้านช่วงปีใหม่เธอก็เครียดถึงขั้นป่วยนอนซม นำมาซึ่งความเจ็บปวดทั้งฝ่ายชิโระ เคนจิ หรือกระทั่งตัวคุณแม่เอง ทว่าหนังก็คลี่คลายได้อย่างสนใจและไม่มักง่าย ชิโระตัดสินใจเลือกใช้เวลาช่วงปีใหม่ปีถัดมากับเคนจิแทนที่จะไปบ้านพ่อแม่
แต่เมื่อเขากลับไปหาแม่ เธอก็พูดถึงเคนจิว่า “จากนี้ไปลูกต้องให้กับความสำคัญกับครอบครัวของลูกเป็นอันดับแรกนะ” นั่นคือเธออาจจะยังยอมรับเรื่องเพศสภาพและคู่ชีวิตของลูกชายไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างน้อยเธอก็ยอมรับว่าเคนจิคือคนสำคัญของลูกชาย (ด้วยการนำเสนอประเด็นที่คล้ายกันแต่มีชั้นเชิงกว่า เลยทำให้ผู้เขียนชอบ What Did You Eat Yesterday? มากกว่า Cherry Magic อยู่ประมาณหนึ่ง)
อีกสิ่งที่ดีมากใน What Did You Eat Yesterday? คือเพลงเอนด์เครดิตชื่อว่า Daikoubutsu (หรือ ‘อาหารจานโปรด’) โดยวง Spitz วงร็อครุ่นใหญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อเพลงที่เข้าใจยากทั้งนามธรรมและไม่ต่อเนื่อง แต่เมื่อได้รับโจทย์ให้แต่งเพลงธีมของ What Did You Eat Yesterday? ทางวงก็ตีความออกมาได้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องการทำอาหารกับความรัก (“หากนี่คืออาหารจานโปรดของเธอ พรุ่งนี้ฉันคงจะชอบมัน”) อาหารกับชีวิต (“จากความสุกแบบ raw ไปถึง well-done นี่คือความเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป แม้รสชาติจะต่างไปในแต่ละวัน แต่อนาคตข้างหน้ารอเราอยู่”) รวมถึงการพูดถึงการผันผ่านของฤดูกาล ดังที่เราเห็นว่าในหนังมีแทบครบทุกฤดู และไม่ว่าจะเวลาไหนชิโระกับเคนจิก็อยู่เคียงข้างกัน