ทุกวันนี้ชีวิตคุณมีความสุขแบบ 100% รึเปล่า? ถ้าคำคอบคือ ไม่ใช่ ‘ไนท์’ สตรีมเมอร์จากช่อง Gssspotted ที่กำลังโด่งดังอยู่ในโลกออนไลน์จะมามอบสิ่งดีๆ และปลดล็อกความสุขให้กับคุณ ไม่ใช่แค่ 100% หรือ 200% แต่คือ 300% ไปเลยเว้ย
‘ไนท์—พิชญุตม์ สิทธิพันธุ์’ คือนักศึกษาปีที่ 6 จากคณะสถาปัตยกรรมที่ผันตัวเองมาเป็นสตรีมเมอร์ภายใต้ช่องชื่อ Gssspotted แค่ชื่อก็กินขาดแล้ว! ไหนจะไอเทมประจำตัวอย่างแว่นตาและผ้าขาวม้าอีก ความพิเศษของไนท์คือ นอกจากจะเล่นเกมสนุกๆ ให้คนได้ดูแล้ว ไนท์ยังมีเรื่องชวนขำมาเล่าให้ได้ฟังอยู่เรื่อยๆ
เรื่องที่ไนท์เอามาเล่าดูจะเป็นเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำ เป็นเรื่องที่เรามักมองผ่านไปโดยไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่ไนท์หยิบจุดเล็กๆ น้อยๆ มาเล่าให้ฟังได้อย่างมีสันสัน จนเราอดที่จะขำตามไม่ได้
ช่วยแนะนำตัวแบบ 100% หน่อยครับ
สวัสดีครับ ผม ‘ไนท์’ ครับ พิชญุตม์ สิทธิพันธุ์ อายุ 24 ปัจจุบันนี้มีแฟนแล้วนะครับ ไม่ได้โสดอยู่ คุณพ่อยังสบายดี คุณแม่อยู่ที่บ้านอีกบ้านนึงเลี้ยงดูคุณยาย แต่เนื่องจากคุณยายเสียชีวิตไปได้ไม่นานทำให้คุณแม่ตอนนี้ระหกระเหิน บ้านก็แตกกระจายกันอยู่ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เลยมาทำสตรีมมิ่งอยู่ทุกวันนี้ เป็นนักศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 6 กำลังจะขึ้นปีที่ 7 เรื่อยๆ ไม่มีขีดจำกัดว่าจะจบเมื่อไหร่
ทำไมถึงใช้ชื่อในเกมว่า อาเธอร์ (Arthur)
เป็นคำถามที่ดีมากเลย เยี่ยมมาก หวังว่าสัมภาษณ์นี้จะแมสคนมาดูเยอะๆ นะครับจะได้เลิกถามผมสักที จะร้องไห้ คือชื่ออาเธอร์พ่อผมไม่ได้แต่งตั้งขึ้นมา คงไม่มีพ่อใครที่จะตั้งชื่อลูกตัวเองว่าอาเธอร์แน่นอน ยกเว้นพ่อคนนั้นจะติดดูอัศวินโต๊ะกลมมากเกินไป แต่คือชื่ออาเธอร์มันมาจากอัศวินโต๊ะกลมจริงๆ พ่อผมเค้าชอบดูซีรีส์ตลกเก่าสไตล์เหมือน ‘ก่อนบ่ายคลายเครียด’ เป็นซีรีส์ของฝรั่งชื่อว่า ‘Monty Python’ มันมีตอนนึงที่เป็นธีมอัศวินโต๊ะกลม แล้วเป็นตอนที่ผมจำได้มากที่สุด ผมก็เลยเอาตัวละครที่เป็นพระเอกซึ่งก็คือ King Arthur นั่นแหละมาใช้ในเกม แล้วพอใช้ไปนานเข้าเนี่ย แม้กระทั่งเพื่อนที่สนิทก็ติดเรียกผมว่าอาเธอร์ ก็เลยใช้ชื่อเป็น ‘อาเธอร์’ ไป
ขอที่มาชื่อช่อง Gssspotted หน่อย
คือชื่อช่องเนี่ยมันมาจากการที่ว่า เพื่อนผมคนนึง ตอนนั้นคือยังไม่ได้ตัดสินใจสตรีม แต่กำลังคิดถึงอะไรหลายๆ อย่าง ก็เคยไปเล่าให้เพื่อนฟัง แล้วเพื่อนคนนั้นเป็นคนสนิท ถ้าใครเคยดูยูทูบจะรู้จักเพื่อนของผมคนนี้ในนามของ ‘มายด์โรงบาลหรู’ เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในมหา’ลัย แล้วมันเป็นคนค่อนข้างที่จะทะลึ่งตึงตัง หยาบคาย แล้วมีช่วงนึงก่อนที่ผมจะเริ่มสตรีม ช่วงนั้นผมแข่ง eSports คนอื่นเค้าก็เรียก ‘ไนท์ eSports’ แต่เพื่อนผมบอกว่ามันซ้ำแล้ว มันเยอะไป เปลี่ยนเป็น ‘ไนท์จีสปอต’ ดีกว่า
ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งมหา’ลัยก็เรียกผม ไนท์จีสปอต ไนท์จุดเสียว ไนท์ผู้เริ่มต้นของความเสียว หรืออะไรก็ว่าไป พอพูดมากๆ มันก็ติดหู เราเลยคิดว่าเอามาเป็นเทรดมาร์กได้ แต่มันดูจะหยาบเกินไปหน่อย ถ้าเกิดต้องชื่อว่าไนท์จีสปอตเลย สมมติว่าลูกค้าเป็นบริษัทโซดายี่ห้อนึง คนก็คงคิดว่าน้ำที่มีอยู่ในนั้นมันจะไม่ใช่น้ำเปล่า เราก็เลยกลับมาคิดกับทีมงานว่าจะเปลี่ยนชื่อ ทีมงานทุกวันนี้ก็ทำกันอยู่ 2 คน คุยกันว่าชื่อที่จะตอบโจทย์กว่านี้ดี เลยได้มาเป็น Gssspotted ครับ
ซึ่ง Gssspotted เนี่ยเราพยายามหาความหมายมาให้เข้ากับมัน พอคนมาถามเค้าก็กลัวจะคิดไปว่าเป็นจีสปอตอย่างเดียว เราเลยพยายามหาความหมายมาให้มัน ไอ่คำว่า G มาจาก gray ที่แปลว่าสีเทา คือช่องเราเป็นช่องที่เรียกได้ว่า ไม่ได้ดำซะทีเดียว เราไม่ได้หยาบหมา คือบางทีเราหยาบบ้างแต่ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เราก็ไม่ได้ขาวซะทีเดียว ไม่ได้น่ารัก ก็เลยเป็นช่องสีเทา เป็น gray spot เป็นจุดเทา มาจากคำสอนของจีนที่ว่าในความดำมืดยังไงก็ต้องมีจุดขาวอยู่จุดนึง ในขาวก็ต้องมีดำอยู่จุดนึง ไม่มีใครที่ดีเลิศเลอเพอร์เฟ็กต์เสมอไป
โคตรเท่เลยว่ะ …จริงๆ แล้วก็คือจีสปอตนั่นแหละ (หัวเราะ)
เริ่มมีคนรู้จักจากคลิปไหนบนยูทูบ
มันมีคลื่นหลายระลอกครับ ระลอกแรกคือช่วง Ragnarok M: Eternal Love ผมเป็นคนเล่นแร็กฯ เกมออนไลน์แรกๆ ที่ผมเล่นคือ Ragnarok Online แล้วเราก็มั่นใจว่ามีความรู้เยอะพอสมควร ก่อนหน้าเกมนี้จะเข้ามาเราเล่น DOTA เล่นเกมอยู่ 2-3 เกม คนดูก็ไม่ได้เยอะมาก พอเกมนี้เข้ามา เราคิดว่าสามารถเอาความรู้ของเราไปทำคลิปสอนได้ เพราะถ้าทำออกมาดีคนต้องดูเยอะแน่นอน ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ คนเริ่มรู้จักเรามากขึ้น คนเริ่มเข้ามาดู จากตอนแรกที่เค้าเข้ามาดูเพื่อหาความรู้จากเกม แต่ก็กลายเป็นว่าเค้าได้รับความสุขจากเรา คนเลยติดเราไม่ใช่แค่เกม
คลื่นลูกที่สองก็เป็นคลิปเด็กสถาปัตย์สร้างสะพาน คนเริ่มรู้จัก เริ่มแมสขึ้น หลังจากนั้นก็เรื่อยๆ ละ ปากต่อปากบอกต่อกันไปเรื่อยๆ คนก็รู้จักมากขึ้น
มาเริ่มเป็นสตรีมเมอร์ได้ยังไง
เริ่มเป็นสตรีมเมอร์ได้เพราะว่า…มีเรื่องดราม่า อย่าร้องไห้กันนะครับ คือช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังเครียดอยู่เพราะว่าเราเรียนเกินช่วงเวลาไปแล้ว ส่วนใหญ่สถาปัตย์เนี่ยเรียนจบ 5 ปี ก็ถือว่าน้อยแล้ว จบยากด้วย บางครั้งอาจารย์ไม่ตามจิตตามใจ บางคนก็ไม่ได้เครียด แต่ผมเนี่ยเครียดแล้ว เรียนมา 6 ปี รู้สึกว่าไม่ตอบโจทย์ ค่าเทอมก็แพง ผมเองไม่อยากให้พ่อเหนื่อยเลยพยายามหาอะไรทำ แต่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ตอนแรกก็จะขายของ รับถ่ายนู่นถ่ายนี่ ถ่ายแบบ เขียนแบบ เป็นฟรีแลนซ์ มั่วซั่วไปหมดตอนนั้นมะรุมมะตุ้มมาก แล้วมีช่วงนึงที่ไปเป็นโฆษกให้มหา’ลัย เป็นพิธีกรให้ เลยรู้สึกว่า เออ เรามีความสามารถการพูดในระดับที่พอจะหากินได้
ประกอบกับช่วงนั้นคุณย่าเสียชีวิต ท่านเป็นคนที่น่ารัก เป็นเสาหลักของครอบครัวเลยก็ว่าได้ ขาดท่านไปเสร็จปุ๊บคือบ้านแตก ทุกคนต่างทะเลาะ แบบซูซูรันเลย มันเป็นช่วงที่ทำให้ผมคิดได้ว่า ถ้าสมมติไม่ทำอะไรตอนนี้มันก็จะสายเกินไปละ เป็น inspiration ทำให้เราเริ่มคุยกับเพื่อน ซึ่งเพื่อนผมคนนี้เป็นคนที่อยากทำอะไรอยู่แล้ว อยากทำนู่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา เค้าก็เลยเสนอว่ามาทำสตีมด้วยกัน เป็นเพื่อนที่ตัดต่อด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้
จะร้องไห้รึเปล่าเนี่ย…ยังนะ
แปลกใจกับตัวเองมั้ยที่เริ่มจากการเรียนสถาปัตย์แล้วมาเป็นสตรีมเมอร์
แปลกใจมั้ย ไม่เลยครับ แต่ไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นสตรีมเมอร์เลยนะ ผมคิดว่าตัวเองจะไปเป็นดารา ผมอยากเป็นดารามาก พี่ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ นี่คือไอดอลเลย เราอยากจะทำได้แบบเค้าบ้าง เรารู้สึกว่าเราเป็นคนที่ปรับคาแรคเตอร์ของตัวเองได้ เราเป็นที่สามารถกลมกลืนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ ผมคิดว่าเป็นตัวเองที่มอบความสุขให้คนอื่นได้มาสักพักนึงแล้วแหละ เวลาคนอยู่รอบตัวเราเราเขาดูมีความสุข เขาดูอยากอยู่กับเรา เลยคิดว่าน่าจะเป็นดาราได้ดี
ส่วนที่ว่าจากสถาปัตย์มาเป็นสตรีมเมอร์เนี่ยแปลกใจมั้ย ไม่! ตรงที่ว่า คณะสถาปัตย์จะมีช่วงปี 3-4 ที่อาจารย์บรีฟให้นักศึกษาหาตัวเองให้เจอ ต้นเหตุมันมาจากสถาปนิกแต่ละคนควรจะมีสไตล์แตกต่างกันไป คนจ้างงานจะได้รู้ เช่น ลูกค้าอยากได้งานสไตล์แนวผีสิงมาก ไปหาอาเธอร์เลย คนนี้แหละชอบสร้างบ้านผีสิง เขาก็จะมาหาผมโดยเฉพาะ ไม่ไปหาคนอื่น เหมือนกับอาจารย์อยากให้หาจุดยืนของการเป็นสถาปนิก
ช่วงนั้นแหละที่คนส่วนใหญ่ถ้าไม่ดรอปเรียน เลิกเรียน ก็ไปเป็นอย่างอื่น ไปเป็นนักเขียน เป็นช่าง ผมก็ค้นพบตัวเองตอนนั้นแหละครับ เพราะเป็นช่วงที่ผมรับงานโฆษก พิธีกรบ่อย เลยได้มาเป็นสตรีมเมอร์
มาเริ่มเล่าเรื่อง หรือเล่า ‘นิทานก่อนนอนกับลุงไนท์’ ในสตรีมได้ยังไง
(หัวเราะ) …จริงๆ เพื่อนทุกคนจะบอกว่า ไอ่ไนท์แม่งขี้โม้ ขี้โม้จริงๆ ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธนะ คือผมเป็นคนที่สติหลุดง่ายมากครับเวลาคนดูผมตรีมจะรู้เลยว่าบางทีผมนิ่งไปเลย ที่นิ่งไปคือเหม่อครับ ผมเป็นคนเหม่อเก่งมาก เป็นความสามารถพิเศษเลยก็ว่าได้ ถ้าผมได้เขียนเรซูเม่เข้าบริษัทผมจะเขียนความสามารถพิเศษว่า ‘เหม่อ’ นั่งๆ คุยอยู่ก็เหม่อได้
ความสามารถตรงการเหม่อนี่แหละเลยทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ถ้าเวลาเพื่อนเล่าอะไรสักอย่าง หรือเรากำลังประสบเหตุการณ์อยู่เหตุการณ์นึง อย่างเช่นว่า มีเพื่อนโดนรถชนต่อหน้า ผมเหม่อในสถานการณ์นั้น แล้วผมก็จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งผมเอาความทรงจำนั้นมาปะติดปะต่อเรื่อง แล้วพอปะติดปะต่อเสร็จปุ๊บมันขยายความขึ้นมา จากเรื่องที่เกิดขึ้น 100% พอออกจากปากผมจะกลายเป็น 200% แทน ถ้ารถชนต่อหน้าผมมันจะไม่ใช่แค่รถชนแน่นอน มันจะต้องมีเคอานู รีฟ กระโดดตีลังกาลงมาแล้วยิงปืนเพื่อช่วยหมาของเขา
พอเป็นแบบนี้เล่าไปเพื่อนก็ฮา เพื่อนก็บอกว่าบ้ารึเปล่า มันไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้น แค่คนก็จะรอฟังเวลาอยู่ในวงสนทนาหรือเวลากินข้าว และเราคิดว่าจุดนี้มันใช้ได้ เหมือนกับเราเอาความจำสดๆ มาใช้ ไม่ได้มานั่งนึกนั่งเขียน จำได้ว่าตอนนั้นเป็นยังไงก็เอามาพูดแบบนั้นแหละ มันก็เป็นความจริงหมด แต่อาจจะมีส่วนเพิ่มมาที่เป็นอรรถรส เขาอาจจะไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนั้น แต่ผมคิดว่าเขาตื่นเต้น จริงๆ แล้วเราอาจจะแค่เดินคู่กันเฉยๆ แต่ผมจินตนาการว่าเราคุยกันดุเดือดมาก
กลัวว่าจะหมดเรื่องเล่ามั้ย
กลัวครับ เพราะว่าคนเราถึงจะโตมาแล้ว 24 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเจอเรื่องทุกๆ ชั่วโมง เราก็เจอเรื่องบ้าง บางเรื่องจำได้บ้างไม่ได้บ้าง ทุกวันนี้ก็มีคนมาถามว่า “พี่ เมื่อไหร่จะมีนิทานฯ” ถามว่าเครียดมั้ย ไม่เครียดนะ พอมีคนพูดมาเราก็อยากเล่าให้ฟัง แต่ว่าเรื่องมันไม่มี ถ้าอยากจะมีเรื่องก็ได้นะครับ ติดต่อผมมาเลยแล้วเดี๋ยวเรามีเรื่องกัน ผมจะได้มีเรื่องมาเล่าให้ฟังทุกวันเลย ถึงแม้หน้าจะบวมขึ้นทุกวัน แต่ถ้าทุกคนชอบผมก็โอเคนะ (หัวเราะ)
อยากให้เปรียบเทียบระหว่างวันที่สตรีมวันแรกกับที่เป็นอยู่ตอนนี้
ถ้าให้เปรียบเทียบ วันแรกเหมือนนั่งคุยกับตัวเองอยู่ที่มุมห้อง แต่วันนี้มายืนอยู่ตรงหน้าเวที ผมก็ยังพูดแบบเดิม ผมมั่นใจว่าผมยังเป็นคนเดิมอยู่ แต่เวลาย้อนกลับไปดูสตรีมตัวเอง รู้สึกไม่เหมือนเดิมนะ ตอนแรกๆ ผมคุยกับตัวเองหนักมากนะ ผมว่าตอนผมอยู่คนเดียวผมพูดเก่งกว่าคนผมอยู่กับคนอื่น ผมเป็นคนที่ชอบคุยกับตัวเองมาก เช่น เวลาอยู่ในรถก็ “เฮ้ยเพรช เป็นไงมั่งวะเพื่อน” “สบายดีเว้ย ไนท์” เมื่อก่อนผมทำแบบนี้ค่อยข้างบ่อย แต่พอมาตอนนี้มีคนโต้ตอบกับเรา บางทีเราหยุดการกระทำของเราเพื่อมาดูคน มันก็จะมีขาดตอนบ้าง อันนี้คือความต่าง
พอเป็นสตรีมเมอร์แล้วต้องมาเอนเตอร์เทนคนดู แล้วความสนุกของตัวเองล่ะ
เราต้องบิลต์ตัวเองมาก่อนครับ ส่วนตัวเราเป็นคนที่มองเรื่องทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกอยู่แล้ว เช่น พอเห็นปลั๊กพ่วงอันนี้แล้ว แม่งเฟี้ยวว่ะ คิดไปเรื่อยอะ คิดว่าปลั๊กพ่วงจะเอาไปทำอะไรได้ เราสามารจะหยิบสายไฟขึ้นมาเหวี่ยงเป็นคาวบอย คิดแค่นี้เราก็มีความสุขละ เราจินตนาการนู่นนี่นั่นไปเรื่อย แล้วเราก็เอนเตอร์เทนตัวเองก่อนที่จะมาเอนเตอร์เทนคนดู ผมว่าหลักสำคัญเลย คือถ้าเราไม่สนุกก่อน แล้วเราไปทำให้คนอื่นสนุกมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ก่อนสตรีมก็คือ คุยกับตัวเอง คุยกับแมว เปิดเพลงเกาหลีขึ้นมาเต้นๆๆ ถึงค่อยไปส่งต่อ