ย้อนเวลาไปปี 1963 ในเมืองนวร์ก (Newark) รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา เด็กหญิงคนหนึ่งได้เกิดมาในครอบครัวที่มีศรัทธาแรงกล้าในคริสต์ศาสนา ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับเสียงดนตรีอย่างมาก มีคนกล่าวในภายหลังว่าวันนั้นพระเจ้าได้สรรสร้างเทพธิดาที่พัฒนาตนจนมาเป็นเทพีที่ขับขานเสียงเพลงอันสดใสและทรงพลัง เธอค่อยๆ พัฒนาเสียงร้องนั้นให้เป็นเสียงที่มีเอกลักษณ์ เป็นชื่อเสียง และกลายเป็นจุดเปลี่ยนบางประการสำหรับวงการเพลงของอเมริกา
เมื่อ 55 ปี ที่แล้ว วันที่ 9 สิงหาคม เป็นวันเกิดของ วิตนีย์ ฮิวสตัน (Whitney Houston) นักร้องสาวที่สามารถบอกได้เต็มปากว่าเธอคือ Diva ผู้มีเพลงอมตะให้เราได้จดจำเป็นจำนวนมาก และวันนี้เป็นโอกาสดีที่จะไปย้อนมองชีวิตของวิตนีย์และสิ่งที่เธอทิ้งไว้ให้กับเรา
จากก้าวแรกในนิวเจอร์ซีย์สู่หน้าปกนิตยสาร และการเป็นนักร้องเต็มตัว
วิตนีย์ ฮิวสตันเกิดในเมืองนวร์ก ท่ามกลางครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับเสียงดนตรีอย่างชัดเจน แม่ของเธอ เอมิลี ฮิวสตัน (Emily Houston) หรือที่คนเรียกกันว่า ซิสซี ฮิวสตัน (Cissy Houston) เป็นอดีตนักร้องที่ผันตัวมาเป็นนักร้องเพลงกอสเปลในโบสถ์ประจำเมือง และเป็นญาติกับนักร้องแนว R&B ดิออน วอร์วิค (Dionne Warwick) และมีนักร้องระดับตำนานอย่าง อารีธา แฟรงคลิน (Aretha Franklin) เป็นป้าคนสนิท (สื่อบางเจ้าระบุว่าเป็นแม่ทูนหัวของวิตนีย์ด้วย) เธอคุ้นเคยกับสังคมแอฟริกันอเมริกันเป็นอย่างดี ด้วยความที่เธอเกิดในช่วงที่มีการจราจลในเมืองนวร์กเมื่อปี 1967 จึงทำให้ครอบครัวมีการโยกย้ายที่อยู่เล็กน้อยเพื่อหลบเลี่ยงอันตรายที่อาจกระทบต่อลูกๆ
เมื่อถูกหล่อหลอมครอบครัวที่รักในเสียงเพลงและมีนักร้องเป็นญาติใกล้ชิด ไม่แปลกนักที่ตัววิตนีย์เองจะถูกดึงสู่เส้นการเป็นนักร้องตามรอยคนสนิทของเธอ และแม่ของวิตนีย์ที่รู้ว่าลูกสาวมีน้ำเสียงที่ไพเราะ ผู้เป็นแม่จึงสั่งสอนและชี้นำให้วิตนีย์ได้ปล่อยพลังที่แท้จริงของเสียงนั้น ก้าวแรกการเป็นนักร้องของวิตนีย์คือการร่วมร้องเพลงในฐานะนักร้องเพลงกอสเปลในโบสถ์ร่วมกับแม่ของเธอ และเธอยังได้เป็นนักร้องเสียงคอรัสในวงดนตรีอีกหลายวง
แล้วก็เป็นในช่วงวัยรุ่นที่เธอติดสอยห้อยตามไปเป็นนักร้องสนับสนุนให้กับแม่ของเธอนี่เอง ที่ทำให้วิตนีย์ได้มีโอกาสปรากฏตัวตามสื่อต่างๆ ทั้งนี้ยังไม่ใช่เปิดตัวสู่แสงไฟในฐานะนักร้อง เนื่องจากแม่ของเธอนั้นดูเหมือนจะกังวลเพราะลูกสาวยังเรียนไม่จบการศึกษาระดับชั้นมัยมศึกษาตอนปลาย กลายเป็นว่างานแรกที่ทำให้คนได้รู้จักหน้าตาของเธอเป็นการที่เธอได้ถ่ายแบบในนิตยสารหลายเล่ม โดยเฉพาะการได้ขึ้นปกนิตยสาร Seventeen ในเดือนพฤศจิกายนปี 1981 ซึ่งไม่ใช่ผลดีต่อตัวเธออย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อกลุ่มคนผิวสี เนื่องจากวิตนีย์ถือว่าเป็นนางแบบกลุ่มแรกที่ได้ขึ้นหน้าปกนิตยสารดังกล่าว และทำให้นางแบบเชื้อชาติอื่นๆ มีโอกาสได้โดดเด่นตามรอยเธอ
หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว เธอก็ได้ตัดสินใจเข้าร่วมค่ายเพลง Arista Records ในปี 1983 และตัวเจ้าของค่ายอย่าง ไคลฟ์ เดวิส (Clive Davis) ก็ตัดสินใจรับนักร้องสาวหน้าใหม่ที่มีฝีมือเข้ามาดูแล ทั้งยังพาเธอไปออกแสดงในรายการโทรทัศน์ของยุค แม้ว่าเธอจะมีศักยภาพมากพอแล้ว แต่ไคลฟ์มีแผนการออยู่ในใจ จึงใช้เวลาในการบ่มฟักเพลงที่ค่ายอยากนำเสนอ ซึ่งกว่าอัลบั้มแรกของวิตนีย์ ฮิวสตันจะได้วางจำหน่ายจึงใช้เวลาอีก 2 ปีทีเดียว แต่นั่นก็ถือเป็นอัลบั้มแรกที่เปิดประตูสู่ความสำเร็จในฐานะนักร้องอย่างแท้จริง
สองอัลบั้มสร้างชื่อในยุค 1980 และ หนึ่งเพลงสำหรับโอลิมปิก
ระหว่างทางที่อัลบั้มของเธอกำลังจัดทำอยู่ วิตนีย์ได้มีโอกาสแสดงพลังเสียงของเธอในเพลง Hold Me ที่เธอร้องคู่กับ เท็ดดี้ เพนเดอร์กราส (Teddy Pendergrass) ที่ออกวางจำหน่ายในปี 1984 แม้ว่าเพลงดังกล่าวจะประสบความสำเร็จไม่มากนัก แต่มันก็พอจะทำให้คนเริ่มสะดุดหูกับเสียงของนักร้องสาวหน้าใหม่ในวงการ ซึ่งเพลงนี้ถูกนำไปใส่ไว้ในอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกของวิตนีย์ในภายหลังด้วย
อัลบั้มแรกของวิตนีย์ ฮิวสตัน ที่ออกวางจำหน่ายในปี 1985 ใช้ชื่ออัลบั้มว่า Whitney Houston ตามชื่อของเธอเอง เพลงแรกที่ถือว่าได้รับความสำเร็จจากอัลบั้มนี้ก็คือ You Give Good Love ทำยอดขายได้สูงถึงอันดับ 3 ของชาร์ตบิลบอร์ด นอเมริกา และยังมียอดขายที่ไปได้ดีในชาติอื่นๆ เพลงต่อมาที่ถูกปล่อยออกมาจำหน่ายแล้วได้รับความนิยมก็คือ Saving All My Love for You ที่สามารถไปไกลจนถึงอันดับหนึ่งของบิลบอร์ด ตามด้วย How Will I Know และปิดท้ายด้วย Greatest Love of All
นอกจากซิงเกิลที่คนคุ้นเคยแล้ว แม้แต่เพลงรองหรือเพลงหน้า B อย่าง Thinking About You หรือ All at Once ก็ยังถูกตัดแยกขายเป็นซิงเกิลนอกอเมริกา หรืออาจจะได้เปิดในวิทยุซึ่งได้รับความนิยมไม่แพ้กับเพลงเอกของอัลบั้มแต่อย่างใด เพลงของเธอกลายเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมทั้งบนคลื่นวิทยุและสถานีโทรทัศน์ โดยเฉพาะ MTV ที่กล่าวว่าวิตนีย์เป็นหนึ่งในนักร้องหญิงชาวแอฟริกันอเมริกันกลุ่มแรกที่ได้ไปปรากฏตัวอย่างต่อเนื่องบนสถานีโทรทัศน์ช่องดังกล่าว เป็นการก่ออิฐก้อนแรกให้กับนักร้องหญิงต่างเชื้อชาติในอเมริกาให้ได้มีโอกาสเปิดตัว MV ในสถานีโทรทัศน์ดนตรีที่กล่าวกันว่าเคยมีแค่เพลงร็อคกับเพลงของคนผิวขาวเท่านั้น
รู้ตัวอีกที วิตนีย์ ฮิวสตัน ในวัย 22 ปี ก็กลายเป็นนักร้องดังระดับนานาชาติด้วยเพลงในอัลบั้มเปิดตัวอัลบั้มแรกเสียแล้ว และเมื่อเวลาผ่านไปราวหนึ่งปี วิตนีย์ก็ได้ขึ้นไปรับรางวัลแกรมมี (Grammy Awards) ในปี 1986 ถึง 4 รางวัลนั่นก็คือ รางวัลอัลบั้มแห่งปี (Album of The Year), นักร้องเพลงป๊อปหญิงยอดเยี่ยม (Best Pop Vocal Performance, Female), นักร้องเพลง R&B หญิงยอดเยี่ยม (Best Female R&B Vocal Performance) และเพลง R&B ยอดเยี่ยม (Best Rhythm & Blues Song) แต่เธอไม่ได้เข้าชิงในฐานะนักร้องหน้าใหม่ยอดเยี่ยม เนื่องจากคณะกรรมการมองว่าเธอไม่ใช่นักร้องหน้าใหม่ ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอเคยร้องเพลงคู่มาก่อนแล้วในปี 1984 ซึ่งในตอนนั้นก็มีดราม่าอยู่ช่วงหนึ่งเกี่ยวกับประเด็นนี้
กระนั้นนั่นคงไม่ใช่ประเด็นที่ตัววิตนีย์และค่ายเพลงจะต้องสนใจนานนัก เมื่อวิตนีย์เป็นที่รู้จักแล้ว การปั้นเธอให้โดดเด่นมากขึ้นเป็นอะไรที่น่าทำมากกว่าเสียเวลามาประท้วงเรื่องรางวัล และอัลบั้มที่สองของวิตนีย์ ฮิวสตัน ที่คราวนี้ใช้ชื่ออัลบั้มสั้นๆ ว่า Whitney ก็ออกวางจำหน่ายในปี 1987 ในอัลบั้มนี้เพลงเด่นที่ถูกตัดมาขายเป็นซิงเกิลเป็นแนวป๊อปยุค 80s ชวนให้ดิ้นบนฟลอร์มากขึ้น และเมื่อเธอมีฐานแฟนคลับจากอัลบั้มแรกแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างไรที่เพลงสี่ซิงเกิลแรกที่ถูกตัดออกมาขายทั้ง I Wanna Dance with Somebody (Who Loves Me), Didn’t We Almost Have It All, So Emotional และ Where Do Broken Hearts Go สามารถทำยอดขายแตะอันดับหนึ่งของชาร์ตบิลบอร์ดได้ ส่วนตัวอัลบั้มเต็มเมื่ออกมาจำหน่ายก็ทำประวัติศาสตร์ให้กับชาต์บิลบอร์ดด้วยการเป็นอัลบั้มเพลงของนักร้องหญิงคนแรกที่สามารถเปิดตัวด้วยอดขายอันดับ 1 ของชาร์ต
แม้ดูเหมือนว่าว่าอัลบั้มที่สองจะมีเพลงเร็วมากกว่าเพลงช้า แต่ก็ไม่ใช่ว่าในช่วงที่อัลบั้มที่สองออกจำหน่ายเธอจะไม่มีเพลงช้าเด่นๆ เอาเสียเลย เพราะในปี 1988 เป็นช่วงจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ที่ทางค่ายเพลง Arista Records ได้ออกอัลบั้มพิเศษชื่อ 1988 Summer Olympics Album: One Moment in Time ซึ่งมีเพลง One Moment In Time ของวิตนีย์เป็นเพลงเด่น และกลายเป็นเพลงที่ถูกจดจำจากคนทั่วโลก สังเกตได้จากยอดขายในบางประเทศที่ไปถึงอันดับหนึ่ง แม้ว่าเพลงนี้จะทำยอดขายได้แค่อันดับห้าของบิลบอร์ดในบ้านเกิดก็ตามที
อัลบั้มที่สองของวิตนีย์กวาดรางวัลไปอีกจำนวนมาก กระนั้นในอัลบั้มที่สองนี่เองก็มีปมประเด็นบางอย่างที่ทำให้ชีวิตของ Diva คนนี้ต้องเปลี่ยนทิศทางไป ด้วยความที่ว่าค่ายเพลงนั้นตัดสินใจทำเพลงให้มีกลิ่นอายแบบคนผิวสีน้อยที่สุด เพื่อช่วยผลักดันภาพลักษณ์ ‘เจ้าหญิงแห่งเสียงเพลง’ โดยในการประกาศรางวัลดนตรีโซลเทรน (Soul Train Music Awards) เมื่อปี 1989 งานประกาศรางวัลให้กับนักดนตรีผิวสี ซึ่งปีนั้นวิตนีย์ที่ได้เข้าชิงรางวัลถูกคนดูโห่ไล่ตอนที่ประกาศชื่อของเธอ เนื่องจากมีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าเธอได้ ‘ขายตัวเอง’ ให้กับคนผิวขาวไปแล้ว ทั้งสไตล์เพลงและไลฟ์สไตล์ที่เธอแสดงให้เห็นผ่านสื่อ คนใกล้ชิดวิตนีย์กล่าวกันว่านี่อาจจะเป็นแผลใหญ่ในจิตใตแผลแรกในชีวิตของวิตนีย์ และเธออาจจะคิดมากกับเรื่องนี้ไปจนถึงจุดสุดท้ายของชีวิตเลยทีเดียว แม้เธอจะเคยสัมภาษณ์อย่างเข้มแข็งผ่านสื่อว่า ‘เธอไม่ได้ไปอัดเสียงเพื่อทำอัลบั้มเพลงป๊อป เธอไปอัดเสียงเพื่อทำดนตรีที่ดีออกมา’
กระนั้นในงานเดียวกันนี้เองที่ทำให้วิตนีย์ได้พบกับแบดบอยตัวเอ้ของยุค ตัวแสบวัยซ่าซึ่งได้รางวัลกลับไปด้วยในวันประกาศรางวัล ณ งานที่วิตนีย์ถูกโห่ไล่ ในงานนั้นเธอได้พบกับ บ็อบบี้ บราวน์ (Bobby Brown) สามีในอนาคตของเธอ
อัลบั้มที่ 3 การแต่งงาน และภาพยนตร์ The Bodyguard
ในช่วง 1980 ที่เธอโด่งดังเป็นพลุแตกนั้น คนดังอย่างเธอก็ต้องตกเป็นข่าวเมาท์ของชาวบ้านเป็นธรรมดา เธอมีข่าวว่าเคยคบกับนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลชื่อดัง รวมถึงดารานักแสดงอย่าง เอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ (Eddie Murphy) แต่ข่าวลือว่าเธอคบผู้ชายคนไหนดูจะตกไปทุกครั้ง เมื่อสื่อหรือแฟนคลับสังเกตเห็นว่าวิตนีย์นั้นมีเพื่อนสนิทตัวติดกันตั้งแต่สมัยชั้นมัธยมฯ อย่าง โรบิน ครอวฟอร์ด (Robyn Crawford) ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเธออย่างยาวนาน จนมีการกอสซิปกันอย่างหนาหูว่าวิตนีย์อาจมีรสนิยมรักเพศเดียวกัน และเรื่องนี้ก็เป็นความคลุมเครือตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตวิตนีย์
กระนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเปิดเผยก็คือการที่วิตนีย์ได้รู้จักบ็อบบี้ บราวน์ จากรางวัลดนตรีโซลเทรนในปี 1989 ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มขึ้นด้วยการแกล้งทีเล่นทีจริงของวิตนีย์ ก่อนที่สองคนจะเริ่มทำความรู้จักกัน ด้วยชีวิตที่มีพื้นเพใกล้ๆ กัน ชายหนุ่มหญิงสาวจึงสนิทสนมอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนใช้เวลาคบกันสามปี ก่อนที่จะแต่งงานกันในกลางปี 1992 ก่อนที่วิตนีย์จะคลอดลูกสาวของเธอ บ็อบบี้ คริสติน่า บราวน์ (Bobby Kristina Brown) ในปี 1993 กลายเป็นครอบครัวคนดังครอบครัวใหม่ที่สื่อและผู้คนสนใจ
ย้อนกลับไปเล็กน้อยที่งานเพลง หลังจากวิตนีย์ได้เจอดราม่าจังๆ ในงานรางวัลดนตรีโซลเทรน เธอก็ขยับแนวทางเพลงให้คืนสู่รากเหง้าทางดนตรีของเธอมากขึ้น แล้วปล่อยอัลบั้ม I’m Your Baby Tonight ในปี 1990 ที่ลดทอนความเป็นดนตรีป๊อปลง ใส่ความแร็ปกับ R&B แรงขึ้น แต่ก็ยังคงความสนุกสนานแบบสองอัลบั้มแรกอยู่ รวมถึงมีเพลงที่ฟีทเจอริ่งกับ สตีวี วันเดอร์ (Stevie Wonder) และมีซิงเกิลที่ทำยอดขายอันดับหนึ่งของชาร์ตบิลบอร์ดถึงสองเพลง คือเพลง I’m Your Baby Tonight กับ All the Man That I Need นอกจากนี้เธอยังถูกจดจำจากคนอเมริกามากขึ้นจากการร้องเพลงชาติสหรัฐอเมริกาในการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลซูเปอร์โบวล์ปี 1991
แต่ถ้าถามว่าทำไมหลายคนอาจจะรู้สึกว่าเพลงอัลบั้มที่สามและเพลงชาติดูเงียบเหงากว่าสองอัลบั้มแรก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นผลพวงมาจากการที่วิตนีย์ได้เล่นภาพยนตร์ ‘The Bodyguard เกิดมาเจ็บเพื่อเธอ’ ซึ่งมีอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์อันโดดเด่นที่วิตนีย์ ได้ร้องเพลงให้ถึงหกเพลง และหนึ่งในนั้นคือเพลงที่คนทั่วทั้งโลกน่าจะจดจำได้อย่างดีอย่าง I Will Always Love You ซึ่งเดิมทีเป็นเพลงของ ดอลลี พาร์ตัน (Dolly Parton) มาคัฟเวอร์ใหม่เป็นแนวโซลบัลลาดจนเพลงดังกล่าวกลายเป็นเพลงประจำตัวอันเป็นเอกลักษณ์ของ Diva คนนี้ไป
ภาพยนตร์เรื่องนี้เดิมทีถูกเซ็ตบทให้นักร้องหญิงผิวสีรุ่นใหญ่อย่าง ไดอาน่า รอสส์ (Diana Ross) เป็นคนรับบทนำ แต่ตัวหนังติดอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาบทนานมากจนเวลาผ่านไปราว 20 ปี วิตนีย์ซึ่งเป็นนักร้องดังของยุคและมีบุคลิกตรงกับตัวละครในเรื่องจึงได้มีโอกาสรับบทนางเอกแทน ส่วนพระเอกอย่าง เควิน คอสต์เนอร์ (Kevin Costner) นอกจากจะถือว่าเป็นดาราฝีมือดีที่แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ (เนื่องจากวิตนีย์ยังถือว่าเป็นนักแสดงหน้าใหม่ในการเล่นหนังเรื่องนี้) เขายังเป็นคนที่แนะนำให้ เดวิด ฟอสเตอร์ (David Foster) อัดท่อนแรกของเพลง I Will Always Love You ที่จะไปเป็นเพลงหลักในหนังด้วยการร้องท่อนแรกแบบไม่มีดนตรี ซึ่งฟอสเตอร์คัดค้านในตอนแรก แต่พอได้ยินวิตนีย์ร้องเพลง ทุกคนในห้องอัดก็เข้าใจสิ่งที่พระเอกหนังกล่าวไว้ทันที
หนังและเพลงประกอบประสบความสำเร็จในระดับโลก แม้ว่าตัวเนื้อหาของหนังจะโดนสับเละจากนักวิจารณ์ ด้วยความที่พล็อตก็ไม่มีอะไรใหม่มากนัก แต่ด้วยเพลงประกอบกับปัจจัยอื่นๆ ทำให้คนตีตั๋วเข้าไปดูหนังเรื่องดังกล่าวจนกวาดรายได้ไปมากกว่า 400 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐจากทั่วโลก แล้วก็เป็นในช่วงนี้เองที่คนใกล้ตัวของวิตนีย์มาให้สัมภาษณ์ในภายหลังผ่านสารคดีและสื่อว่าเป็นจังหวะชีวิตที่วิตนีย์ไม่สามารถออกจากบ้านโดยไม่ปลอมตัวได้อีกแล้ว เพราะผู้คนในทุกพื้นที่ทั่วโลกจดจำได้ว่าเธอคือนางเอกของหนังดังและเป็นเจ้าของเสียงทรงเสน่ห์
และความดังที่เพิ่มพูนสูงส่งกว่าที่วิตนีย์เคยเป็นก็ทำให้เธอมีความไม่สงบภายในจิตใจมากขึ้น
วนเวียนในวงการภาพยนตร์ ก่อนคืนสู่อัลบั้มเต็ม และปัญหาที่เริ่มงอกเงย
หลังจาก The Bodyguard พิสูจน์ว่า ถ้าวิตนีย์เล่นหนัง แล้วมีเพลงประกอบดีๆ หนังเรื่องนั้นก็มีพลังพอจะขายได้ และตัววิตนีย์เองก็มีทักษะในการแสดงมากขึ้นตามลำดับ เธอได้รับบทนำในภาพยนตร์อย่าง Waiting to Exhale หนังที่เล่าเรื่องของสาวๆ สี่คนที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาชีวิตและปัญหาหัวใจ และ The Preacher’s Wife หนังเชิงศาสนาที่วิตนีย์รับบทเป็นภรรยาของนักเทศน์ที่เดิมเคยเป็นนักร้องตามผับก่อนจะเปลี่ยนตัวเองมาเป็นนักร้องเพลงตามโบสถ์ที่คอยสนับสนุนสามีของเธอ
หนังทั้งสองเรื่องอาจจะไม่ได้ถูกจดจำในฐานะ ‘หนังดี’ จากผู้คนก็จริง แต่อัลบั้มเพลงของหนังทั้งสองนั้นไม่ใช่ อย่างอัลบั้มเพลงประกอบของหนัง Waiting to Exhale ก็ถือว่าเป็นอัลบั้มรวมศิลปินเชื้อสายแอฟริกาอย่างที่ยากจะหาโอกาสได้ เพลงที่วิตนีย์ไปร้องอย่าง Exhale (Shoop Shoop) ก็ไปถึงอันดับหนึ่งของบิลบอร์ดอีกหนึ่งเพลง ส่วนอัลบั้มเพลง The Preacher’s Wife ก็กลายเป็นอัลบั้มเพลงแนวกอสเปลที่ขายได้สถิติสูงสุดอัลบั้มหนึ่งของโลก
จากนั้นวิตนีย์ ฮิวสตัน ก็กลับมาทำเพลงเต็มตัวอีกครั้ง และปล่อยอัลบั้มใหม่ออกมาในปี 1998 โดยใช้ชื่ออัลบั้มว่า My Love Is Your Love อัลบั้มนี้มีสไตล์ทันสมัยตามยุคมากขึ้น และมีเพลงหลายเพลง ทั้ง When You Believe ซึ่งร้องคู่กับ มารายห์ แครี (Mariah Carey) ที่ได้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์อนิเมชั่น The Prince of Egypt, It’s Not Right But It’s Okay เพลงชวนขยับพร้อมเนื้อหาแสดงความสตรองเบาๆ ของคนที่ถูกทิ้งแต่ไม่แคร์, Heartbreak Hotel เพลงอกหักฮิปฮอปที่เล่าเรื่องราวคนช้ำรักที่มีโรงแรมให้พักใจ เป็นอาทิ และสำหรับคนที่ติดเพลงเก่าๆ ของวิตนีย์ ฮิวสตัน ก็มีการปล่อยอัลบั้ม Whitney: The Greatest Hits ออกมาในปี 2000 ที่รวมเพลงดังจากอัลบั้มต่างๆ และมีเพลงพิเศษให้อีกจำนวนหนึ่ง
ในช่วงเข้ากลางยุค 1990 นี่เองที่เธอเริ่มมีปัญหากระทบเรื่องงานมากขึ้น อันเป็นผลพวงจากเรื่องหลายๆ ประการ ส่วนหนึ่งมาจากการที่เพื่อนสนิทอย่างโรบิน ครอวฟอร์ด ลาออกจากการเป็นผู้ช่วย และก็มีปัญหาจากยาเสพติดที่จริงๆ เธอเคยใช้งานมันมาบ้างแบบเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงวัยรุ่น ก่อนจะกลับมาใช้สิ่งเหล่านั้นอีกในช่วงที่ชื่อเสียงพุ่งสูงเกินไป ปัญหาครอบครัวที่ว่าสามีของเธอแอบไปมีสัมพันธ์กับสาวคนอื่น แม้ว่าจะเป็นระหว่างที่ทั้งสองคนออกทัวร์คอนเสิร์ตร่วมกัน และปัญหาส่วนตัวอย่างการที่เธอรู้สึกเป็นแม่ที่ยังไม่ดีพอสำหรับลูกสาว รวมถึงปมปัญหาอื่นๆ อีกหลายประการ ปัญหานี้เริ่มทำให้เธอไปทำงานไม่ตรงเวลา มีพฤติกรรมที่แปลกประหลาดในบางคราว มีการค้นเจอยาเสพติดในสัมภาระระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ และที่น่าจะเป็นข่าวดังก็คือการที่เธอมีคุณภาพเสียงกับสติที่ไม่มากพอในการซ้อมการแสดงสำหรับงานประกาศรางวัลออสการ์ กับการที่อยู่ๆ เธอก็มีรูปร่างผอมลงมากเมื่อไปปรากฎตัวในงานคอนเสิร์ต Michael Jackson: 30th Anniversary Celebration และเธอได้ยอมรับในภายหลังว่ารูปร่างของเธอตอนนั้นเกิดจากความเครียดและผลข้างเคียงจากการใช้ยาเสพติด
ปัญหาส่วนตัวเพิ่มมากขึ้นในปี 2002 แม้ว่าในปีนั้นเธอจะมีอัลบั้ม Just Whitney ออกวางจำหน่ายในช่วงปลายปี แต่เธอถูกบริษัทของพ่อเธอทำการฟ้องร้องขอค่าเสียหายหนึ่งร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคนใกล้ชิดเชื่อว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บั่นทอนจิตใจของวิตนีย์ ซึ่งสนิทกับพ่อมากกว่าแม่ที่ออกจะเป็นคุณครูสอนร้องเพลงที่เข้มงวดมากกว่า แม้ว่าเรื่องราวจะมากระทบใจอย่างมาก วิตนีย์ก็ยังปล่อยอัลบั้มเพลงคริสต์มาสที่ใช้ชื่ออัลบั้มว่า One Wish: The Holiday Album ในปี 2003 ที่ดราม่าน่าจะพ้นตัวเธอไปบ้าง แต่ก็มีข่าวไม่ค่อยดีให้ชาวโลกรับรู้ว่า บ็อบบี้ บราวน์ สามีของวิตนีย์ถูกคุมตัวหลังจากมีการทำร้ายร่างกาย Diva สาวคนนี้ และในช่วงนี้เองที่นักร้องดังตัดสินใจเข้ารับการบำบัดเลิกยา
สิ้นสุดการแต่งงาน อัลบั้มสุดท้าย และการลาจาก
ถึงแม้ว่าวิตนีย์ ฮิวสตัน จะผ่านการบำบัดและพยายามทำทุกสิ่งให้ดีขึ้น แต่สุดท้ายวิตนีย์กับบ็อบบี้ก็ตัดสินใจหย่าขาดจากกันในปี 2006 ซึ่งวิตนีย์ได้สิทธิ์ในการดูแลลูกสาวของเธอไป หลังจากนั้นเธอก็กลับมาสู่หน้าสื่อหลักในช่วงปี 2009 ที่เธอได้กลับมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องราวปัญหาการติดยาเสพติดในช่วงก่อนหน้า และมีการออกอัลบั้มสุดท้ายในระหว่างที่เธอมีชีวิตที่ใช้ชื่อว่า I Look To You ที่อัลบั้มนี้เสียงร้องของวิตนีย์ได้เปลี่ยนไปทั้งตามสภาพอายุกับสภาพสุขภาพ แต่เสียงทุ้มต่ำก็ให้เสน่ห์ใหม่ และทำให้อัลบั้มนี้ทำยอดขายเปิดตัวในอันดับหนึ่งของชาร์ตบิลบอร์ดอีกหนึ่งอัลบั้ม แม้ว่าจะเป็นยุคที่การซื้อแผ่นถูกสนใจน้อยลงอย่างชัดแจ้งก็ตาม
วิตนีย์เริ่มไปปรากฎตัวตามรายการฮิตของยุค และแฟนๆ ต่างคิดว่าเธอน่าจะทะยานกลับมาในรูปลักษณ์ใหม่ในเวลาไม่ช้า แต่ก็มีเสียงติติงเมื่อเธอออกทัวร์คอนเสิร์ตครั้งใหม่ว่ามีการเปิดแสดงช้าเกินไปและด้วยสภาพเสียงในตอนนั้นที่ทำให้มีคุณภาพในการร้องเพลงบางเพลงไม่สมค่าบัตรขึ้นมา แต่ก็มีการวางคิวงานอยู่ในภายหน้าอยู่ไม่น้อย จนดูเหมือนว่าการงานกับชีวิตของเธอจะเริ่มเข้าที่ และเธอยังทำการบำบัดอาการติดเหล้ากับติดยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง
แต่สุดท้ายข่าวร้ายสำหรับแฟนเพลงก็มาถึงในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2012 เมื่อมีการแจ้งความจากพนักงานโรงแรม Beverly Hilton ที่ตั้งอยู่ในเบเวอร์ลีฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งจมน้ำหมดลมหายใจ ก่อนที่จะมีการยืนยันในภายหลังว่า สตรีคนดังกล่าวคือ วิตนีย์ ฮิวสตัน ที่เสียชีวิตจากการจมน้ำเนื่องจากอาการโรคหัวใจกำเริบ รวมถึงมีการใช้โคเคนที่เป็นปัจจัยร่วม และเหมือนเป็นเรื่องตลกร้ายที่วันเสียชีวิตของ Diva คนนี้ เป็นเวลาหนึ่งวันก่อนที่รางวัลแกรมมีประจำปี 2012 จะจัดงานขึ้นเพียงหนึ่งวันเท่านั้น
การจากไปของวิตนีย์ ฮิวสตัน กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก รวมถึงว่าเป็นงานที่ทำให้คนที่เคยสนิทสนมกับเธอ ทั้งสามี ทั้งเพื่อนสนิทได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้งในงานศพซึ่งไม่มีใครอยากให้มาถึง
ตลอดเวลา 48 ปี ของ วิตนีย์ ฮิวสตัน เธอทั้งสร้างสรรค์ผลงานไว้มาก คว้ารางวัลจากเวทีต่างๆ มากมายจนได้รับการจดบันทึกในกินเนสส์บุ๊คว่าเป็นนักร้องหญิงที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในโลกนี้ นอกจากที่เธอจะเปิดโอกาสให้นักร้องหญิงผิวสีคนอื่นๆ ได้มีโอกาสขึ้นสื่อเด่นๆ ในอเมริกาหรือชาติที่เหยียดสีผิว เสียงของเธอยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักร้องรุ่นน้องมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บียอนเซ่ (Beyonce), นิกกี มินาจ (Nicki Minaj), เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน (Jennifer Hudson) และคนอื่นๆ อีกมากมาย
วิตนีย์ยังทำการเคลื่อนไหวทางสังคมมาโดยตลอด นับตั้งแต่การไม่ร่วมงานถ่ายแบบกับสำนักพิมพ์ที่มีพฤติกรรมเหยียดสีผิวตั้งแต่เธอยังเด็กและถ่ายแบบอย่างเดียว เมื่อก้าวมาเป็นนักร้องเต็มตัวแล้วเธอก็จัดตั้งองค์กรไม่แสวงผลกำไรเพื่อช่วยเหลือเด็กในประเทศที่ยากลำบาก และยังมีการบริจาคเงินการกุศลอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความที่เธอวางตัวเก่ง ไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องส่วนตัว ทำให้มีเรื่องราวมากมายในชีวิตเธอที่น่าสนใจจนมีสื่อหลายเจ้าอยากตามรอยชีวิตเธอ อย่างเช่นในปี 2018 นี้ กำลังจะมีภาพยนตร์สารคดีชื่อ Whitney เข้าฉาย และตัวหนังก็กล่าวถึงความสัมพันธ์มุมอื่นที่ยังไม่เคยโดนพูดถึง เช่น การที่เธอกับ ไมเคิล แจ็คสัน (Michael Jackson) ซึ่งโด่งดังตั้งแต่อายุน้อยต่างเป็นที่ปรึกษาในชีวิตซึ่งกันและกัน กับความสัมพันธ์ระหว่างวิตนีย์กับโรบินว่าเป็นแบบใดกัน รวมถึงเรื่องน่าตกใจอย่างการเคยถูกญาติล่วงละเมิดทางเพศ
เมื่อย้อนดูภาพทั้งหมดของชีวิตเธอ เราคงได้แต่เสียดายที่เธออาจจะไม่มีใครใกล้ชิดมากพอจะพูดคุยระบายอารมณ์ ไม่มีใครเข้าใจว่าการโด่งดังตั้งแต่อายุน้อยมันลำบากเพียงใด หรือการที่เสียงของเธอที่เหมือนพระเจ้าส่งมาให้ค่อยๆ ใช้งานได้น้อยลงกว่าเดิมนั้นทรมานเพียงไหน แต่เราคงพูดได้ในฐานะของคนนอกว่า เสียดายที่สุดที่วันนี้เราไม่ได้มีโอกาสบอกเธอด้วยคำว่า…
สุขสันต์วันเกิด วิตนีย์ ฮิวสตัน พวกเราคิดถึงคุณ
อ้างอิงข้อมูลจาก
ภาพยนตร์สารคดี Whitney: Can I Be Me