ศุกร์ที่แล้วเป็นวันที่ 7 เดือน 7 ปี 2017 นอกจากจะเป็นการเรียงเลขสวยงามน่าเอาไปซื้อสลากกินแบ่งฯ วันดังกล่าวสำหรับชาวญี่ปุ่นถือว่าเป็น วันทานาบาตะ วันที่สะพานเชื่อมทางช้างเผือกจะเชื่อมต่อเส้นทางให้หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้ามีโอกาสมาพบพานกันปีละหนึ่งครั้ง หลังจากที่ทั้งสองได้ตกหลุมรักกันจนไม่ทำงานทำการ กลายเป็นการผิดกฏสรวงสวรรค์ ถูกแยกออกจากกันให้ไปอยู่คนละฟากฝั่งของทางช้างเผือก ในวันดังกล่าวชาวญี่ปุ่นก็มักจะขอพรกับดวงดาวด้วยการเขียนคำอธิษฐานติดกับกิ่งไผ่ที่ถูกนำมาปักเอาไว้
ตำนานนี้ไม่ได้มีแค่เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น เพราะเรื่องนี้เป็นการรับเอาเรื่องราวมาจากเทศกาล Qixi (七夕节 – Qīxì jié -ชีซี่เจี๋ย) ของประเทศจีน ที่มีเนื้อหาหลักไม่ต่างกันกับเรื่องราวของทานาบาตะมาก แต่จะมีรายละเอียดบางอย่างที่ต่างกัน เช่น จื่อหนีเป็นนางฟ้าไม่ใช่เทพธิดาทอผ้า ส่วนหนิวหลางเป็นเป็นแค่มนุษย์ไม่ใช่หนุ่มเลี้ยงวัว นอกจากนี้จื่อหนีกับหนิวหลางแต่งงานจนมีลูกด้วยกันสองคน และสิ่งที่ทำให้จื่อหนีกับหนิวหลางสามารถพบกันได้ในตำนานของจีนคือสะพานที่ถูกสร้างขึ้นโดยการรวมตัวของนกกางเขน รวมถึงวันจัดเทศกาลจะเป็น วันที่ 7 เดือน 7 ตามปฏิทินจันทรคติ และยังมีประเทศอื่นๆ นำเทศกาลนี้ไปปรับใช้ในพื้นที่ของตนเอง อย่างของไทยก็มีกล่าวว่า ตำนานพระสุธนมโนราห์ ก็ถูกปรับมาจากตำนานนี้เช่นกัน
เรื่องราวความรักแบบนี้ดูน่าประทับใจอยู่ไม่น้อย และเราก็เห็นว่ายังมีเรื่องราวเทพปกรณัมมากมายที่บอกเล่าเรื่องรักแสนลำบากอยู่อีกมาก เราจึงหยิบยกมาบางเรื่องที่ทำให้เห็นว่า แม้มีพลังเทพก็ไม่ได้แปลว่าเรื่องหัวใจจะง่ายดาย
Orpheus กับ Eurydice
เทพปกรณัมของกรีกนั้นมีเรื่องราวความรักมากมายมหาศาล ที่หลายๆ คนจำได้ก็จะเป็นเรื่องความเจ้าชู้ประตูดินของ Zeus (ซุส, ซีอุส, เซอุส) ผู้ปกครองเหล่าเทพอยู่บนโอลิมปัส แต่เราจะมองผ่านความมากรักของเทพบิดรแห่งกรีก แล้วไปดูความรักของ Orpheus และ Eurydice แทนน่าจะดีกว่า
ฝ่ายชาย Orpheus (ออร์เฟียส, ออร์เฟอุส) มีประวัติที่มาอันแสนดีงาม เขาเป็นบุตรของ Calliope (แคลลิโอพี, คัลลิโอพี) เทพธิดาผู้มีเสียงอันไปเพราะ ชำนาญการนิพนธ์มหากาพย์ และถือว่าเป็นผู้นำของเหล่า Muse (มิวส์) กับกษัตริย์ Oeagrus (อีเออเกริส, โอเอกรัส) หรือบางตำนานก็จะกล่าวว่าเขาเป็นบุตรของ Calliope กับ Apollo ผู้เป็นเทพแห่งดนตรี
ไม่ว่า Orpheus จะมีพ่อเป็นใคร เขาก็ถือเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น ด้วยทักษะทางกวีและดนตรีขั้นเทพ (ก็ลูกครึ่งเทพนี่นะ) เครื่องดนตรีประจำกายของชายหนุ่มผู้นี้คือ พิณ (Lyre) ที่ตำนานฉบับหนึ่งกล่าวว่าได้มาจากเทพ Hermes หรืออีกตำนานก็กล่าวว่าเทพ Apollo เป็นคนมอบพิณประจำกายให้กับเขา ไม่ว่าพิณจะเป็นของใครก็ตามตำนานเทพเวอร์ชั่นกล่าวว่า เพลงพิณที่ถูกดีดโดย Orpheus สามารถสะกด นก ปลาและสัตว์น้ำ หรือทำให้ก้อนหินกับต้นไม้ต้องร่ายรำ แม้แต่กระทั่งทำให้การไหลของแม่น้ำต้องเปลี่ยนทางไป ด้วยทักษะทางดนตรีที่เทพซะขนาดนี้ Orpheus จึงถูกชักชวนให้เข้าไปร่วมขบวนการตามหาขนแกะทองคำกับกับ เหล่า Argonaut (ลูกเรืออาร์โก) โคตรทีมฮีโร่ของเทพปกรณัมกรีกอีกด้วย
ฝ่ายหญิงอย่าง Eurydice (ยูไรดิซ, ยูริดิซี่) ก็ไม่ใช่สาวธรรมดาๆ เธอเป็นนางไม้ (Wood Nymph) ที่เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงของฝ่ายชายจนต้องยอมปรากฎตัวจากแมกไม้ แม้พื้นเพของสาวเจ้าจะขี้อายแต่ก็มีความงามยิ่ง การพบกันของชายหนุ่มและหญิงสาวจึงกลายเป็นรักแรกพบ ไม่ยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งห่างจากตัวไปไกล และสุดท้ายทั้งสองก็ได้แต่งงานกันในที่สุด
ความรักของทั้งสองย่อมไม่ต้องตาชาวนก โดยเฉพาะ Aristaeus เทพชั้นรอง ผู้ที่หวังจะครอบครองฝ่ายหญิงทำการไล่ล่าสาวเจ้า (บางตำนานก็ว่าเป็น Satry มนุษย์กึ่งแพะไล่ล่า) จน Eurydice ไปเหยียบโดนรังของงูพิษที่กัดเจ้าหล่อนตามสัญชาตญาน ส่งผลให้นางไม้สาวเสียชีวิตแทบจะทันที ส่วนผู้ก่อเหตุเมื่อเห็นความตายเกิดขึ้นตรงหน้าก็ได้หนีไปตามระเบียบ (บางตำนานว่า Eurydice ตายเพราะเต้นรำในวันแต่งงานจนเผลอเหยียบงูก็มีนะ)
นอกจากความเป็นกวีขั้นเทพของ Orpheus เขายังเป็นผู้ชายหัวใจรักเมียถึงขั้นสุด เมื่อทราบว่าดวงใจของตนไม่มีชีวิตอยู่ ก็ได้เล่นเพลงแสนศร้าจนเหล่านางไม้และทวยเทพองค์อื่นต้องร่ำไห้ แล้วชี้ทางให้ไปยังยมโลก (บางตำนานก็ว่า Apollo เป็นคนแนะนำ) ต่อมา Orpheus ก็ขับกล่อมทั้ง เทพ Hades (เฮดีส, ฮาเดส) และ เทพี Persephone (เพอร์เซโฟนี่, เพอร์เซโฟน) ผู้ครองยมโลกนั้นใจอ่อนยอมคืนชีวิตให้กับ Eurydice โดยมีข้อแม้ว่า Orpheus ต้องเดินนำหน้าภรรยาแต่ห้ามหันมามองนางก่อนจะถึงโลกเบื้องบน และนางจะกลับไปแบบครบ 32 แน่นอน ซึ่ง Orpheus ก็ทำตามได้แต่ก็พลาดพลั้งหันไปมองหญิงสาวสุดที่รักในจังหวะที่เขาเป็นปากถ้ำสู่โลกเบื้องบน จนทำให้ภรรยาของเขาต้องจากเขาไปอีกครั้งอย่างไม่มีวันกลับมา
เมื่อพลาดพลั้งในการคืนชีวิตให้ภรรยา Orpheus จึงร่อนเร่พเนจรจนได้พบกลุ่มหญิงสาวชาว Cicones (ซีคเคอนิส, ไซโกนิส) ที่บูชาเทพเจ้า Dionysus (ไดอะไนซัส, ไดอะนีซัส) เห็นว่าชายหนุ่มคนนี้เอาแต่เศร้าโศก สาวเจ้าจึงทำการกระฉากร่าง Orpheus จนกระเด็นเป็นหลายชิ้น (โหด!) ในส่วนนี้ Ovid นักกวีชาวโรมันได้เพิ่มเติมไว้อีกแง่มุมหนึ่งว่า หลังจากเสียภรรยารักไป Orpheus ก็ไปเปิดใจรักกับเด็กหนุ่ม จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้สาวๆ มาทำร้ายเขา เพราะรู้สึกเหมือนถูก Orpheus ปฏิเสธนั่นเอง (โหดกว่าตะกี้อีก!)
แม้นว่า Orpheus จะถูกแยกส่วนจนเหลือเพียงแค่ศีรษะกับพิณ เขาก็ยังส่งเสียงเพลงอันโศกเศร้าและลอยไปตามแม่น้ำ จนสุดท้ายเหล่า Muse ก็รวบรวมร่างของ Orpheus มาฝังอย่างเหมาะสม (บางตำนานก็กล่าวว่า Zeus ทรงเป็นคนสังหารเขาเองเนื่องจากเผยความลับของยมโลก) ส่วนพิณประจำกายนั้นสุดท้ายเหล่า Muse ก็ได้นำไปประดับเป็นกลุ่มดาวพิณ และว่ากันว่า Orpheus กับ Eurydice ก็ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งในแดนยมโลกและครั้งนี้จะไม่มีอะไรพรากพวกเขาจากกัน
Diarmuid Ua Duibhne กับ Gráinne
ปกรณัมของชาวไอริช อาจจะเป็นที่รู้จักน้อยกว่าปกรณัมอีกหลายๆ เจ้าที่ถูกสร้างเป็นสื่อบันเทิงอื่นๆ บ่อยครั้งกว่า รวมถึงว่าทวยเทพของฝั่งไอริชก็ดูไม่ค่อยทรงพลังเท่าใด แต่ก็ใช่ว่าเรื่องรักในตำนานของชาวไอริชจะไม่มีเรื่องรักแล้วลำบากเลยแม้แต่น้อย อย่างในกรณีของเรื่องการศึกกับความรักนั้นก็ถือว่ามีความดุเดือดไม่แพ้เทพปกรณัมของชาติอื่นเลย
ฝ่ายชายที่เรานำเสนอในครั้งนี้คือ Diarmuid Ua Duibhne หรือ Diarmuid O’Dyna (เดียมุท โอดีนา, ดีร์มุด โอเดียนา) หนึ่งในนักรบที่มีเรื่องราวอยู่ในตำนานเฟเนียน (Fenian Cycle) หนึ่งในตำนานย่อยของฝั่งไอริช Diarmuid ถือเป็นหนึ่งในนักรบที่เก่งกาจที่สุดของ Fionn mac Cumhail หรือ Finn MacCool (ฟินน์ แมคคูล์) นักรับและนักล่าผู้ยิ่งใหญ่ ที่ชาวไอริชเชื่อว่าเป็นผู้สร้าง Giant’s Causeway หรือ “คันถนนยักษ์เดิน” ที่หลายคนน่าจะคุ้นตาจากการถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากในซีรี่ส์ Game of Thrones
Diarmuid มีอาวุธวิเศษหลายชิ้นสมเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง ทั้งดาบ Móralltach (โมรัลทัช – โกรธาใหญ่) กับ Begallta (เบกัลตา – โกรธาเล็ก) และหอกคู่ Gáe Dearg (เก เดียก – หอกสีแดง) กับ Gáe Buide (เก โบ – หอกสีเหลือง) นอกจากนี้เขายังมี แต้มรัก (Love Spot บางการตีความเชื่อว่าเป็นไฝเสน่ห์) อยู่บนหน้าผาก ที่เขาได้รับมาจากเทพีแห่งความเยาว์ซึ่งมีผลทำให้หญิงสาวตกอยู่ในภวังค์รักหากถูกชายผู้นี้สบตา
ฝ่ายหญิงที่ตกหลุมรักนักรบผู้นี้ก็คือ Gráinne (เกรนเน่, โกรเน่) เจ้าหญิงผู้งดงามและเป็นบุตรีของ Cormac Mac Airt (คอร์แมค แมค อาร์ต) จอมกษัตริย์แห่งไอร์แลนด์ ณ ช่วงนั้น เดิมทีเจ้าหญิงองค์นี้ถูกกำหนดให้แต่งงานกับ Finn และตัวเจ้าหญิงก็เต็มใจที่จะแต่งงานด้วย จนกระทั่งในคืนก่อนวันแต่งงานไม่นานนัก เจ้าหญิงก็ได้พบกับนักรบหนุ่ม อาจจะเพราะความหนุ่มแน่นหรืออาจจะเพราะพลังของแต้มรักทำให้หญิงสาวตกหลุมรัก Diarmuid แทบจะทันควัน
ด้วยศักดิ์ศรีของนักรบอันทรงเกียรติ Diarmuid จึงทำการปฏิเสธคำบอกรักของ Gráinne ไปในตอนแรก กระนั้นเจ้าหญิงผู้นี้ไม่ยอมให้ฝ่ายชายปฏิเสธ เธอทำการเสก Geis (เกส, ไกส์ – คำสาปประเภทหนึ่งตามความเชื่อของตำนานไอริชหรือเคลติก) ใส่ Diamuid ส่งผลให้นักรบชายได้พาตัวเจ้าหญิงสาวหนีตามกันไปในที่สุด
หนุ่มสาว หนีตามกันไปทั้งๆ ที่รู้ดีกว่า Finn จะต้องส่งคนมาตามล่า พวกเขาจึงต้องหนีไปอาศัยอยู่ในป่า ย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ และได้รับความช่วยเหลือจากมิตรสหายหลายท่าน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่สงสารคู่รักทั้งสอง หรือรู้สึกไม่พอใจการกระทำของ Finn เอง กระนั้น Diamuid ก็ต้องประมือกับทหารจำนวนมากที่พยายามพาตัวทั้งสองคนกลับไป (บางเจ้าอ้างว่าจำนวนทหารที่ Diarmuid เคยสู้ด้วยนั้นเป็นจำนวนหลักพันเลยทีเดียว) คู่รักทั้งสองถูกไล่ล่าเป็นเวลายาวนานถึงสิบหกปี และในที่สุด Finn ก็ยกเลิกการตามล่า และตัวของ Diarmuid นั้นก็ยินดีจะกลับไปรับใช้ผู้เป็นนายตามเดิม
แม้ว่าในภายหลัง Finn จะแสดงความงอนที่เก็บไว้ในใจด้วยการไม่ตั้งใจช่วยเหลือชีวิต Diarmuid ที่ถูกหมูป่าขวิดจนบาดเจ็บสาหัส ซึ่งตรงกับ Geis ที่ Diarmuid เคยได้รับในวัยเด็กว่าเขาจะเสียชีวิตจากหมูป่า (Finn นั้นมีพลังพิเศษที่ทำให้ใครก็ตามที่ดื่มน้ำที่อยู่มือเขาหายจากอาการบาดเจ็บ แต่เจ้าตัวตั้งใจทำน้ำหกสองครั้งและตั้งใจจะป้อนให้ในครั้งที่สามแต่ Diarmuid เสียชีวิตไปก่อน) แต่ความรักที่เริ่มต้นจากสิ่งที่คล้ายๆ จะเป็น Puppy Love กลับกลายเป็นรักที่มั่นคง จนสร้างความประทับใจให้ผู้คน ทั้งยังมีความเชื่อกันว่าตำนานนี้เป็นพื้นเพให้ตำนานอื่นๆ ในหลายประเทศ เช่น เรื่องรักสามเส้าของกษัตริย์อาเธอร์ ราชินีกวินิเวียร์ และ เซอร์ลานเซลอต ที่หลายท่านคุ้นเคยกันดี
Osiris กับ Isis
เทพปกรณัมไอยคุปต์ เป็นตำนานเทพอีกกลุ่มหนึ่งที่หลายๆ ท่านคุ้นเคยกัน ทั้งยังถูกนำไปสร้างเป็นสื่อบันเทิงจำนวนมาก อย่างล่าสุดนี้ก็มีหนัง The Mummy ฉบับรีบูต หรือถ้าก่อนหน้านั้นก็มี God of Egypt กระนั้นเรื่องทุ่มเทเพื่อความรักของเหล่าทวยเทพแห่งอียิปต์นี้มักจะโดนมองข้ามอยู่บ่อยครั้ง
เรื่องราวที่น่าจะแสดงให้เห็นถึงความลำบากและทุ่มเทในความรักในมุมของเราก็คงเป็นเรื่องราวของ เทพี Isis (ไอซิส) กับ เทพ Osiris (โอไซริส, โอซิริส) ที่ได้ครองบัลลังก์อียิปต์ต่อจาก เทพ Geb (เกบ) ผู้เป็นบิดา ในช่วงที่ Osiris ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ยุคนั้นผู้คนในแผ่นดินไอยคุปต์ยังคงไร้อารยธรรม Osiris จึงมอบความรู้ความเข้าใจเรื่องการกินที่เหมาะสม การกสิกรรม และสอนการบูชาเทพเจ้าให้กับผู้คน ส่วน Isis ผู้เป็นภรรยาก็คอยสนับสนุนสามีก็ชำนาญการใช้เวทมนตร์ ทั้งยังมีความฉลาดปราดเปรื่องสร้างงูพิษขึ้นมาจนสามารถทำให้ เทพ Ra (รา) บอกนามอันแท้จริง ส่งผลให้เทพีทรงพลังมากกว่าเดิมอีกเข้าหนึ่ง
ระหว่างที่ Osiris ออกเดินทางไปทั่วดินแดนเพื่อมอบความรู้ให้กับปวงชน และทิ้งให้ Isis ดูแลบัลลังก์เพียงลำพัง เทพ Seth (เซต) เทพเจ้าแห่งความแห้งแล้งและพายุ ได้วางแผนที่จะชิงบัลลังก์มาเป็นของตนเอง ซึ่ง Seth ได้ล่อหลอก Osiris ให้มานอนอยู่ในโลงที่ขนาดพอดีตัว และทำการสังหารราชาแห่งอียิปต์ได้สำเร็จ จากนั้น Seth ก็นำโลงให้ลอยไปในแม่น้ำไนล์
เทพี Isis ที่ปราดเปรื่องนั้นแม้จะรู้ว่า Seth ปองร้ายชีวิตของสามี แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการสังหารเอาไว้ได้ ทั้งยังถูก Seth โค่นลงจากบัลลังก์ เทพีไถ่ถามผู้คนไปทั่วอียิปต์เพื่อหาโลงที่ใส่ร่างของ Osiris หมายจะทำพิธีฝังศพที่เหมาะสมให้สามี แม้เธอจะพบโลงศพ แต่ Seth ก็ไม่รามือบุกเข้าไปหั่นศพของ Osiris เป็น 14 ส่วนแล้วไปซ่อนไว้ทั่วแผ่นดินอียิปต์
แม้จะต้องเสียน้ำตาอีกรอบกับการกระทำอันเลวร้ายของ Seth เทพี Isis ก็ลุกขึ้นและตามหาชิ้นส่วนของพระสวามีที่รักยิ่งของนางได้ถึง 13 ส่วน ขาดแค่ส่วนลึงค์ที่ถูกปลาในแม่น้ำไนล์กินไป ก่อนที่เทพีจะใช้เวทมนตร์ของประกอบร่างของ Osiris จนได้กลายเป็น เทพเจ้าแห่งชีวิตหลังความตาย (เทพแห่งความตาย, เทพแห่งชีวิต หรือเทพแห่งการคืนชีพ) ส่วนขั้นตอนที่อยู่ในโลงก็ได้กลายเป็นความเชื่อในการทำมัมมี่ในกาลต่อไป (และ Osiris ก็ได้รับลึงค์ทองคำมาใช้งานแทนอันที่เสียไป)
ระหว่างการเดินทางหาร่างของ Osiris อยู่นั้น ทางเทพี Isis ก็ได้คลอดบุตรชาย Horus ผู้ที่เติบโตจนกลายเป็นเทพที่สามารถสามารถเอาชนะ Seth และทำให้บัลลังก์ของราชาได้อยู่กับผู้ที่คู่ควร สุดท้ายแม้ครอบครัวจะได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าต่างจากคู่อื่ที่ได้กล่าวมาก่อนหน้า แต่ก็ต้องผ่านเส้นทางชีวิตคู่อันยากลำบาก ถึงขนาดตายไปครั้งนึงถึงจะได้เจอกันอีกครั้ง ยิ่งถ้าไม่มีพลังรักของ Isis ทั้งในฐานะเมียและแม่ เทพปกรณัมไอยคุปต์คงจะไม่สามารถเดินเรื่องมาถึงความสงบสุขแน่นอน
เนี่ย…ขนาดเทพยังต้องเจอเรื่องมากมายขนาดนี้กว่าจะใช้ชีวิตกับรักแท้ของพวกเขาอย่างสงบสุข เพราะงั้นก็คงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนสามัญแบบเราจะใช้เวลามากกว่าจะได้พบรักสักครั้งนั่นแหละ
อ้างอิงข้อมูลจาก