“Love was desirable in marriage, but labour and property were essential.” ข้อความนี้ปรากฏในหนังสือประวัติศาสตร์ว่าด้วยชีวิตการทำงานของคนธรรมดาในสวีเดนระหว่างปี 1550-1799 ที่มีชื่อว่า Making a living, Making a Difference: Gender and Work in Early Modern European Society (2017) โดยผู้เขียนคิดว่าข้อความนี้สรุปใจความของหนังสือเล่มนี้ได้ดี นั่นคือ ‘ความเป็นอยู่’ มาเหนือ ‘อารมณ์ความรู้สึก’
ไม่ได้หมายความว่าคนในอดีตไม่มีหัวจิตหัวใจใฝ่รัก แต่จุดประสงค์ของหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่การพูดถึงชีวิตคู่หลังการแต่งงานผ่านแว่นตาของ modern love หรือความรักสมัยใหม่ที่นำพามาซึ่งความสุขล้นในหัวใจและการเป็นกำลังใจให้กันในยามยาก แต่คือการเผยให้เห็นแง่มุมทางเศรษฐกิจและสังคมของชีวิตคนสวีดิชทั่วไปในอดีตทั้งหญิงและชาย ตลบหลังความเข้าใจผิดที่ลอยเกลื่อนอยู่ในสังคมว่าสถาบันครอบครัวในอดีตกับปัจจุบันนั้นมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน รวมทั้งเพศหญิง-เพศชาย และ/หรือ สามี-ภรรยา มีภาระหน้าที่ที่แยกขาดกันอย่างชัดเจน หนังสือเล่มนี้ให้ความหมายใหม่และเล่าให้เราฟังถึงเศษเสี้ยวของประวัติศาสตร์ชุดนี้ที่จะทำให้เราเข้าใจชีวิตคู่ที่ผูกติดกับชีวิตการทำงานอย่างถึงแก่น
Making a living, Making a Difference เปิดเล่มด้วยบทนำโดย มาเรีย ออเกรน ผู้นำการวิจัยโปรเจกต์ Gender and Work ของภาคประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุปซอลา ประเทศสวีเดน โดยโปรเจกต์นี้ใช้วิธีวิจัยที่เรียกว่า verb-oriented method ในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ big data ในฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของโปรเจกต์ที่ประกอบไปด้วยเรื่องราวของคนธรรมดาจากเอกสารประวัติศาสตร์ของสวีเดนอย่างบันทึกการพิจารณาคดีของศาล จดหมาย และไดอารี่ หลักการคือนักวิจัยจะค้นหาคำกริยาจากฐานข้อมูลและนำมาตีความ ผลที่ได้คือบางคำถูกใช้เฉพาะกับผู้หญิง บางคำถูกใช้เฉพาะกับผู้ชาย และบางคำถูกใช้กับทั้งสองเพศ หรือบางทีก็ใช้คำกริยาคนละคำกับแต่ละเพศในการอธิบายการกระทำเดียวกันที่ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน
กรณีนี้หนังสือเสนอว่าการใช้คำกริยาตีความข้อมูลไม่ได้เผยให้เห็นแค่ความไม่เท่าเทียมระหว่างสองเพศหรือชนชั้นทางสังคมอย่างที่เข้าใจได้ในแวบแรก แต่ยังชี้ให้เราศึกษามันในแง่มุมอื่นอย่างอายุ ตำแหน่งแห่งที่ในครัวเรือน และสถานะทางสังคม ชีวิตแต่งงานเป็นส่วนสำคัญที่จะชี้ให้เห็นว่าสถานะของผู้หญิงในสังคมสวีเดนยุค early modern เป็นอย่างไร อย่างเช่นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและมีลูกมีแนวโน้มที่จะมีรายได้ที่สูงกว่า มีคนเคารพยกย่องมากกว่า และได้รับสวัสดิการมากกว่าผู้หญิงโสดและไร้บุตรธิดา และสำคัญมากว่าข้อสังเกตนี้ก็ใช้กับผู้ชายได้เช่นกัน
ในปัจจุบันเราอาจจะรับรู้และเข้าใจว่าในชีวิตแต่งงานนั้นผู้หญิงมักจะมีสถานะที่ต่ำกว่า แต่ในยุคนั้นการแต่งงานและเข้าไปอยู่ในสถาบันครอบครัวเอื้อให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสหาเงินเลี้ยงชีพได้มากกว่าคนโสด
โปรเจกต์นี้เสนอให้เราใช้ two-supporter model ในการอ่านประวัติศาสตร์ชุดนี้ โดยออเกรนกล่าวในหนังสือว่าโมเดลนี้ถูกคิดขึ้นมาเพื่อ “ส่งสัญญาณว่าทั้งสามีและภรรยาสนับสนุนสภาพเศรษฐกิจของครัวเรือนในหลายทาง โดยไม่จำเป็นจะต้องมีเพียงการสนับสนุนทางการเงินเสมอไป” ในชีวิตการแต่งงานนั้น ที่ยืนของผู้หญิงและผู้ชายนั้นทับซ้อนกัน เพราะทั้งสองฝ่ายทำงานเคียงกันและในบางกรณีก็ทำงานเดียวกัน หนังสือเล่มนี้เผยให้เห็นความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ที่ผิดเพี้ยน เติมช่องว่างให้กับการศึกษาชีวิตการทำงานของปุถุชนคนธรรมดาทั้งในอดีตและปัจจุบัน และขีดเส้นใต้ว่ามีความคล้ายซ่อนอยู่ในความต่างระหว่างผู้ชายและผู้หญิง
หลังจากอ่านจบผู้เขียนคิดว่าหนังสือเล่มนี้มีสามหลักใหญ่ใจความ ใจความแรกคือหนังสือพยายามจะแสดงให้เห็นว่าชีวิตแต่งงานและชีวิตคู่ของคนสวีดิชและคนยุโรปในยุค early modern นั้นควรถูกศึกษาในแง่มุมทางเศรษฐกิจ เพราะมันเอื้อให้เราตีความมันได้ในหลากมิติ โดย two-supporter model นั้นตีกลับความเชื่อที่ว่าสังคมในยุค early modern เป็นสังคมสามีหาเลี้ยงครอบครัว (male-breadwinner model) ส่วนภรรยาก็อยู่บ้าน ทำงานบ้าน เลี้ยงลูก แต่ที่จริงแล้วทั้งสามีและภรรยาช่วยกันหาเลี้ยงครอบครัวและช่วยกันใส่ใจความเป็นอยู่ของครัวเรือน โดยไม่มีใครเอาเปรียบใครแต่อยู่ในสถานะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายอาจจะไม่ได้ทำงานที่เดียวกัน แต่ที่แน่นอนคือทั้งสองคนต่างก็ทำงาน นอกจากนั้นทั้งสามีและภรรยาต่างก็ไปปรากฏตัวและให้การในศาลแทนกันอยู่เสมอ และต่อให้ทั้งสองฝ่ายต้องทำงาน แต่มันก็ดีกว่าการต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำงานแต่ฝ่ายเดียวหรือที่เรียกว่า sole-provider ซึ่งเป็นคำที่เมื่อแปลเป็นภาษาสวีดิชแล้วมีความหมายที่ติดลบมากๆ (ensörjande เมื่อแยกออกมาแล้วจะกลายเป็น en sörjande หรือ the grieving one)
ใจความที่สองคือความแตกต่างระหว่างผู้หญิงโสดและผู้หญิงที่แต่งงานแล้วหรือเคยแต่งงาน ฝ่ายหลังนั้นมีข้อได้เปรียบฝ่ายแรกอยู่หลายประการ จากการใช้ verb-oriented method นักวิจัยเห็นว่าคำกริยาที่ใช้กับฝ่ายหลังได้แก่ ‘ซื้อ’ ‘ขาย’ ‘เช่า’ และ ‘จ่าย’ ส่วนคำกริยาที่ใช้กับฝ่ายแรกได้แก่ ‘เสิร์ฟ’ ‘ทำงาน’ ‘ดายหญ้า’ และ ‘แบก’ เห็นได้ชัดว่าการแต่งงานเอื้อให้เกิดการทำงานและค่าจ้างที่สูงกว่าการอยู่เป็นโสด หนังสือยังกล่าวอีกว่า ผลลัพธ์นี้เน้นย้ำว่า “การแต่งงานสร้างลำดับชั้นทางสังคมระหว่างผู้หญิงด้วยกันเอง” เพราะบางอาชีพจำกัดไว้สำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเท่านั้น และผู้หญิงเหล่านี้ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้นำ (govern) ครัวเรือน
ใจความสุดท้ายซ่อนอยู่ในบทสุดท้ายของหนังสือที่ชื่อว่า Gender, Work, and the Fiscal-Military State โดยหนังสืออธิบายว่าช่วง state formation ของสวีเดนในยุค early modern นั้น two-supporter model อยู่ภายใต้การควบคุมและการสนับสนุนของรัฐ โดยเฉพาะในกรณีของพลทหาร เจ้าหน้าที่ระดับล่าง และไลฟ์การ์ด (ทหารจ้างที่ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดของกษัตริย์) เพราะรัฐใช้โมเดลนี้เป็นเสาเอกของระบบจัดเก็บภาษีในยุคสงคราม รัฐสนับสนุนให้ภรรยาของทหารและเจ้าหน้าที่รัฐทำงานค้าขาย และอนุญาตให้ผู้หญิงเหล่านี้เปิดร้านขายขนมปังหรือเนื้อสัตว์ได้ (โดยในฐานข้อมูลของโปรเจกต์เองก็มีสถิติว่าผู้หญิงสวีดิชในยุคดังกล่าวทำอาชีพค้าขายมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งเมื่อเทียบกับกลุ่มอาชีพอื่นคือ 22% ส่วนผู้ชายทำอาชีพค้าขายเพียง 11%) เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วแต่ละครอบครัวก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีกำลังที่จะจ่ายภาษีให้รัฐเอาไปรบ ส่วนตัวภรรยาเองก็จะมีอยู่มีกินในกรณีที่รัฐไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนของสามี
เหล่านักวิจัยให้คำจำกัดความและให้ความหมายของศัพท์เฉพาะต่างๆ ไว้อย่างชัดเจนและชัดแจ้งตลอดทั้งเล่ม เช่น ความแตกต่างระหว่าง ‘ครัวเรือน’ (household) กับ ‘ครอบครัว’ (family) และเล่าส่วนเสี้ยวของชีวิตของคนสวีดิชทั้งชนชั้นแรงงานและชนชั้นขุนนางเพื่อย้ำความสำคัญของศัพท์เฉพาะเหล่านั้น นอกจากนั้นหนังสือยังวิเคราะห์พลวัตทางสังคมของสวีเดนในยุค early modern ได้อย่างเฉียบขาด แต่ก็เข้าใจและเข้าถึงง่ายอย่างถึงที่สุด ทั้งความรุ่งเรืองและการร่วงหล่นของชนชั้นขุนนาง จุดจบของสวีเดนในฐานะประเทศมหาอำนาจทางยุโรปเหนือ การเกิดขึ้นของระบบราชการ และการมาถึงของ commercialization
เรื่องราวจากฐานข้อมูลที่อ่านสนุกและน่าตื่นเต้นคือเรื่องของคนงานกลุ่มหนึ่งในเขตหลอมเหล็ก เรื่องของผู้หญิงชนชั้นสูงคนหนึ่ง และเรื่องของชายธรรมดาอีกคน ทั้งสามเรื่องนี้เมื่อถูกร้อยเรียงกันทำให้เราเห็นว่ามีความคล้ายในความต่างมากกว่าที่เราคิดไว้ในตอนแรก นักวิจัยย้ำว่า ความเหมือนอย่างหนึ่งคือทุกคนที่พวกเขาศึกษามีงานมากกว่าหนึ่งอย่างและช่วยกันทำงานเหล่านั้น แทนที่จะต่างคนต่างทำงานของตัวเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรเอ่ยถึงคือไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างชีวิตการทำงานของผู้หญิงและผู้ชาย เพราะความรับผิดชอบของทั้งสองฝ่ายทับซ้อนกัน รวมทั้งขอบเขตของงานการเกษตรและงาน proto-industrial (หลังเกษตรกรรมแต่ยังไม่เข้าอุตสาหกรรม) ก็ไม่ได้ถูกแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้แค่วิเคราะห์งานและชีวิตการทำงานของชาวสวีเดนในอดีตในระดับปัจเจก นั่นคือไม่ได้เจาะจงว่าคนหนึ่งคนหาเลี้ยงชีพยังไง แต่เผยให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลในครัวเรือน (household) กลุ่มการทำงาน (working group) ชุมชน (community) และองค์กร (organization) รวมทั้งให้คำใบ้กับคนอ่านว่า ‘สังคม’ ในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์นั้นมีกลไกอย่างไร ผ่าน ‘เรื่องจริง’ เกี่ยวกับงาน ชีวิตหลังการแต่งงาน และชีวิตในตัวของมันเอง
อ้างข้อมูลอิงจาก
Ågren, Maria. (ed.) Making a Living, Making a Difference: Gender and Work in Early Modern European Society. New York, NY: Oxford University Press, 2017.
หมายเหตุ : แปลจากบทความของผู้เขียนในชื่อ Marriage and Work, Ain’t No Modern Love: A Review of ‘Making a Living, Making a Difference’ เผยแพร่ครั้งแรกที่ genderandwork.wordpress.com