คุณคงเคยเห็น คุณปอร์เช่เจ้าของรองเท้า YEEZY 5 คู่, น้องทาเล็บ—ฌชกรนฐและผู้จัดการส่วนตัวของเธอ, ตามด้วยน้องแหม่ม—อาชญาล่า และปินน่า ฮาย่า ที่ตั้งใจจะเปิดคาเฟ่สำหรับคนจนที่อยากดูรวย หรือบรรดาบทสัมภาษณ์ไฮโซที่โลกต้องงงว่าเฮ้ยมันมียังงี้จริงดิ อาจเคยเห็นรีวิวโฆษณาที่วีเจวุ้นเส้นเอามารีวิวในอินสตาแกรมอีกที, เอาแพรี่ พาย มาสอนกรีดแมสสีพอายส์ไลเนอร์, รวมคอมเมนต์เสื่อมๆ ที่แสดงตัวตนของสังคมอินเทอร์เน็ตจากเรื่องแต่งงานของวู้ดดี้, เปรียบเทียบสตรีทแฟชั่นกับเสื้อผ้าของคนจรจัด และคอลัมน์อีกมากมายที่ตามมาด้วยความงุนงงสงสัย ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร จริงหรือแต่ง แต่งทำไม พร้อมๆ กับเสียงของสังคมที่ชอบใจอย่างยิ่งเพราะเป็นคอนเทนต์ที่น้อยคนที่จะเลือกทำ
พวกเขาเรียกตัวเองว่า ‘Third World’ เว็บไซต์ที่นำเสนอคอนเทนต์เพี้ยนบ้าท่าทีเอาจริงเอาจังกับงาน Parody อะไรที่ทำให้ Dudesweet กลุ่มนักทำปาร์ตี้และนักออกแบบงานที่เท่ เก๋ และดูแล้วไม่เข้ากับคอนเทนต์ที่ว่าไปในข้างต้นเลยลุกมาเขียนงานกึ่งจริงกึ่งแต่งจนคนเหวอแดกแชร์กันแทบไม่ทัน แล้วพวกเขาทำยังไงกับสังคมไทยที่ยังตามคอนเทนต์หัวสมัยใหม่ไม่ทัน
The MATTER ชวน เบ๊น—ธนชาติ ศิริภัทราชัย ผู้กำกับและครีเอทีฟแห่ง Salmon House ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นนักทำ Parody เช่นกัน มาคุยกับ โน้ต—พงษ์สรวง คุณประสพ อาร์ตไดเร็กเตอร์ผู้ก่อตั้ง Dudesweet และแน่นอน ต้นคิด Third World Magazine ขอเชิญอ่านได้บัดนี้
อ้าวไหน 100 ล้านไลค์? อ๋อ ลืมดอกจัน
* บทสัมภาษณ์นี้ไม่มีเรื่องแต่งเลย ยกเว้นหัวเรื่องจ้า
“เราไม่ได้หวังว่าเว็บเราจะเป็นเว็บที่คนมาเชื่อถือข้อมูลอะไร เราแค่พูดถึงประเด็นที่เราอยากจะพูด สิ่งหนึ่งที่มันจะมีอยู่เสมอไม่ว่ามันจะจริงหรือลวง คือประเด็นที่เราพูดมันเกิดขึ้นจริง”
“คนเราอ่านข่าวสั้นๆ กันประมาณสิบกว่าข่าว ข้อมูลถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง แต่ส่วนใหญ่มันจะถูกไง ถูกแบบว่าไม่ลงดีเทลนะ คนก็คิดว่าทุกอย่างในอินเทอร์เน็ตมันเชื่อได้”
The MATTER : อะไรทำให้ปาร์ตี้ครีเอเตอร์อย่าง Dudesweet ลุกขึ้นมาทำ Third World
มันเริ่มจากเวลาเราไปเซเว่นฯ ตอนกลางคืน เวลาเราเวฟข้าวเราจะชอบยืนอ่านพวกหนังสือในเซเว่น ก็จะอ่านพวกสัมภาษณ์ไฮโซต่างๆ ก็ เออ ทำไมเขายังทำสัมภาษณ์แบบนี้กันอยู่อีก มันคือสัมภาษณ์คนที่ไม่มีอะไรให้สัมภาษณ์อะ (หัวเราะ) เหมือนขอแค่เป็นคนรวยก็สามารถลงหนังสือได้แล้ว แต่พออ่านก็แบบ…ไม่เห็นทำอะไรสักอย่างเลยนี่ แล้วชีวิตของเขาพวกนี้นอกจากรวยแล้วยังน่าสนใจตรงไหนอีกบ้าง ซึ่งเราคิดว่า ในขณะที่ปัจจุบันเนี่ยมีคนที่มีความสามารถมากขึ้นกว่าสิบปีก่อนเยอะเลย มันมีคนที่ควรจะถูกโปรโมตและถูกพูดถึงเพื่อเป็นแรงบันดาลใจจริงๆ เยอะกว่านี้อะ แต่แม็กกาซีนไทยก็ยังวนเวียนอยู่กับคนกลุ่มนี้ซึ่งมันไม่เยอะมาก แล้วก็สัมภาษณ์เรื่องธุรกิจใหม่ของเขา ซึ่งเขาเริ่มได้ง่ายมากเพราะเขารวยอยู่แล้ว แต่ในขณะที่เรามีคนมากมายที่รวยใหม่ๆ อาจจะไม่รวยมากแต่ว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจกลับตกหล่นไป ต้องไปอยู่ใต้พวกหนังสือที่พูดถึงอินเทอร์เน็ตอะไรเฉยๆ ซึ่งจริงๆ ก็เป็นธุรกิจที่เราควรจะพูดถึงบ้าง นั่นแหละครับ ก็คือจะเป็นการพูดกระแนะกระแหนพวกหนังสือไลฟ์สไตล์อะไรต่างๆ
The MATTER : แต่เป็นการเสียดสีที่มีการหาข้อมูลมาและรีเสิร์ชพอสมควรเลย
ใช่ คือตัวละครต่างๆ ไม่ได้ขึ้นมาลอยๆ มันจะมีไอเดียมาก่อน แล้วก็จริงๆ ไอ้รูปเพื่อนที่เอามาใช้เนี่ยมาสุดท้ายเลย คือเขียนเรื่องเสร็จแล้วค่อยไปขอรูปเพื่อนกันมาลง มันจะเป็นเรื่องคัดท็อปปิกมาพูดแล้วค่อยมาคิดว่าพูดยังไงให้มันตลก ซึ่งเราจะไม่เอาเรื่องตลกทั่วไป ที่แบบว่าเอาขำเข้าว่าอย่างเดียวอะครับ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสังคมเรา แล้วเราเอามาเสียดสี
The MATTER : กับคอนเทนต์เสียดสีแบบนี้ คุณถึงขั้นต้องมีทีมงานเลยไหม
ตอนนี้เขียนเองอยู่ กำลังหาคนที่เขียนอะไรอย่างนี้อยู่เหมือนกัน มีคนที่สมัครเข้ามาเขียนด้วยนะ เราก็รับสมัครนักเขียนอยู่ แล้วก็คนที่เขียนสัมภาษณ์แบบไฮโซปลอมๆ แต่ส่วนใหญ่เขาก็ไม่เข้าใจว่าที่เราเขียนขึ้นมาว่าเราไม่ได้เขียนเพราะอยากตลกอย่างเดียว แต่ว่ามันมีเมนไอเดียอยู่ในนั้นด้วย
The MATTER : คิดยังไงกับคนที่อ่านแล้วคิดว่าเป็นบทสัมภาษณ์จริง แล้วก็ออกมาโวยวายใหญ่
คิดว่าเป็นสิ่งปกติมากเลย เหมือนกับตอนนี้รอบตัวเรามีข้อมูลสั้นๆ ให้อ่านกันเยอะมาก เราคิดว่าสิ่งนี้ถ้าเกิดเกิดขึ้นสักประมาณ 15 ปีก่อนจะไม่มีปัญหา เพราะว่าตอนนั้นคนเรายังอ่านอะไรยาวได้มากกว่านี้ คนจะคิดวิเคราะห์แยกแยะมากกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้ทุกข่าวในอินเทอร์เน็ตจะเป็นข่าวสั้นๆ หมดเลย ซึ่งความสั้นของข่าวอินเทอร์เน็ตก็เป็นสิ่งที่เราล้อเลียนอยู่เหมือนกัน แล้วพอสั้นบางทีเราก็เชื่อเร็ว เพราะวันๆ คนเราอ่านข่าวสั้นๆ กันประมาณสิบกว่าข่าว ข้อมูลถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง แต่ส่วนใหญ่มันจะถูกไง ถูกแบบว่าไม่ลงดีเทลนะ คนก็คิดว่าทุกอย่างในอินเทอร์เน็ตมันเชื่อได้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะคิดอย่างงั้น ก็ช่วยไม่ได้นะครับ (หัวเราะ)
The MATTER : ถือว่าไม่มีวิจารณญาณเองหรือเปล่า
ใช่ครับ เป็นเรื่องของผู้อ่าน แต่เอาจริงๆ ช่วงหลังมันเกิดขึ้นบ่อยมาก จนมีอยู่ช่วงนึงที่เราต้องย้ายหมวด คือตอนแรกเรากะว่าไอ้เรื่องปลอมๆ พวกนี้มันก็กระจายๆ กันอยู่ หมวดวิทยาศาสตร์ก็มี อะไรก็มี เราคิดว่าสักพักคนคงเก็ตกันแล้ว เข้าใจกันเองว่าอันไหนจริง อันไหนปลอม แต่เวลาผ่านไปมันก็ยังไม่เข้าใจกันอยู่ ก็เลยต้องเอาไว้หมวดสตัฟฟ์อันเดียว บางอันก็ต้องเขียนบอกไปเลยว่า ‘เรื่องแต่งนะจ๊ะ’
The MATTER : เห็นว่าทำเรื่องท็อปปิกจริงจังด้วย พอเรื่องจริงกับเรื่องแต่งอยู่ในแหล่งเดียวกัน ไม่กลัวว่าคนอ่านจะสับสนหรือลดความเชื่อถือลงเหรอ
เราไม่ได้หวังว่าเว็บเราจะเป็นเว็บที่คนมาเชื่อถือข้อมูลอะไร เราแค่พูดถึงประเด็นที่เราอยากจะพูด สิ่งหนึ่งที่มันจะมีอยู่เสมอไม่ว่ามันจะจริงหรือลวง คือประเด็นที่เราพูดมันเกิดขึ้นจริง บางเรื่องก็สวิตช์มาพูดเหมือนว่ามันไม่เกิดขึ้นจริง แต่บางเรื่องก็บอกกันตรงๆ ไปเลย ขึ้นอยู่กับผู้อ่าน พิจารณากันเอาเอง
The MATTER : งั้นที่เป็นสัมภาษณ์ปลอมๆ นอกจากความมัน ความสนุกที่มีอยู่ คุณยังอยากให้คนอ่านได้อะไร
อย่างแรกคืออยากให้เห็นประเด็นที่จะสื่อก่อน แล้วก็มองมันด้วยความขบขัน คือถ้าเกิดเรามองปัญหาในแง่ลบมันก็จะไม่ได้แง่บวกสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดเรามองมันในแง่บวก เราก็คงคิดหาทางทำให้มันดีขึ้นได้มากกว่า คือถ้าเรามองลบ มองมันด้วยความหงุดหงิด มองไปบ่นไป ซึ่งการบ่นมันไม่ได้ทำให้ดีขึ้น คือถ้าเขามองว่า เอ้อ ก็จริงเว้ย มันก็แบบมีคนทำลายป่าอย่างนี้จริงๆ เป็นการวิจารณ์ในบรรยากาศอื่นบ้างไงครับ ไม่ใช่บรรยากาศโกรธเกรี้ยวกันอย่างเดียว
The MATTER : ก็คือแปลงเรื่องลบให้มันสนุกเพื่อให้กลายเป็นเรื่องตลกแทนยังงั้นหรือ?
จริงๆ วิธีการแก้ปัญหาเราคือต้องตั้งสติแล้วเห็นปัญหาก่อนใช่ไหมครับ เป็นเบสิคของการแก้ปัญหาเลย ซึ่งผมคิดว่าถ้าเกิดเราเขียนปัญหาที่มันเกิดขึ้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเนี่ย คนอ่านก็คงฉุนเฉียวตาม จะกลับมาตั้งสติได้ยาก พูดง่ายๆ ไอเดียมันคือเป็นการเขียนถึงประเด็นและปัญหาต่างๆ ในบรรยากาศที่ต่างไป บรรยากาศในที่นี้คือบรรยากาศสบายๆ บรรยากาศตลกขบขัน การ Parody เป็นตัวเคลือบให้ย่อยประเด็น หรือให้คนกลืนประเด็นได้ง่ายขึ้น
The MATTER : ทำไมต้องชื่อ Third World
เรามองว่าเป็นคำที่แบ่งแยกชนชั้นระดับ Global เลย เป็นคำที่เราไม่ได้บัญญัติขึ้นมาเองด้วย แต่พวกเราถูกประเทศที่เจริญแล้วให้มาใช่ไหมครับ ซึ่งเป็นการแบ่งกลุ่มประเทศตามเศรษฐกิจตามฐานะนั่นแหละ ซึ่งมันก็เกิดหลังสงครามโลกที่แบ่งว่าใครรวยใครจน ทีนี้เราคงไม่อยากให้ใครมาเรียกเราว่า ‘ไอ้ไพร่’ อะไรแบบนี้ใช่ไหม แต่นี่มันเป็นระดับ Global เลย คือเรียกกันทั้งประเทศเลย สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็ทำให้เรารู้สึกว่าต้องพัฒนาตนให้เท่ากับ First World หรือพวกตะวันตกอะไรแบบนี้ เรากลับคิดว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนจริงๆ เนี่ย มันควรจะหาทางไปแบบที่ตัวเราเป็นตัวเรา คือไม่ใช่พยายามจะเป็นประเทศตะวันตก แต่ควรจะเป็นประเทศไทยที่เจริญขึ้นมากกว่า
The MATTER : ถ้ามีคนอื่นเขาทำตามคุณเยอะๆ กลัวไหมครับว่าพอถึงจุดหนึ่งมันจะทำให้คนอ่านข่าวกลายเป็นแทบไม่เชื่ออะไรเลย
ก็ดีนะ ถ้าเกิดเขาเริ่มอ่านแล้วไม่เชื่อ แสดงว่าเขาต้องคิดให้รอบคอบขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลอะไร คือเดี๋ยวนี้เด็กสิบหกก็เขียนข่าวกันได้แล้วใช่ไหมครับ ลงแล้วก็ถูกแชร์ บางทีเขียนเรื่องที่แปลมาถูกบ้างผิดบ้าง แล้วเราก็เชื่อๆ กันไป ส่งต่อกันไป เหมือนตอนมะนาวโซดารักษาโรคมะเร็งได้อย่างเนี้ย คนยังเชื่อกันได้ มันก็เป็นลักษณะแบบนั้นมากกว่า ผมว่าก็มีเยอะๆ ก็ดี จะได้เกิดการอ่านรูปแบบนี้กันบ้าง แล้วคนก็จะไม่ไว้ใจสิ่งที่ใครไม่รู้มาบอก
The MATTER : เหมือนสร้างภูมิคุ้มกัน
ประมาณนั้น แต่ที่กลัวมากกว่าคือ กลัวพอเขียนไปเรื่อยๆ แล้วตัวเองจะไม่ตลกกับมันแล้ว ตอนนี้คนเริ่มมาทำไมมานู่นมานี่มาจุกจิก มีคนที่มีอาการพอรู้ว่าโดนหลอกแล้วเสียหน้า เออ ของเราที่เป็นเรื่องตลกอ่านแล้ว อ้าว เฮ้ย อำกันนี่หว่า บางคนก็จะขำๆ แต่บางคนก็จะไม่ชอบที่เขารู้สึกว่าโดนดัก แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเราจะโทนดาวน์ตัวเองลงมา อย่างหลังๆ ก็พยายามคิดเยอะๆ หน่อยเพื่อป้องกัน เอาให้ชื่อแม่งเวอร์เข้าไปอีก บางชื่อแม่งก็เป็นการปาดคีย์บอร์ด ได้อันไหนก็อันนั้น แต่คนก็ยังเชื่ออีก สรุปคือกลัวการประนีประนอม แต่ตอนนี้โชคดีที่เว็บมันกำลังปรับปรุงหลังบ้านอยู่ ก็เลยลงเรื่องมากไม่ได้ ก็พักไปก่อน จนมานั่งคิดว่า เดี๋ยวเปิดใหม่ก็ไม่ต้องมานั่งประนีประนอมกันก็ได้ เอาเวอร์ชั่นเดิมเลยละกัน
อย่างแรกๆ มันมีข่าวชมพู่ไปเมืองคานส์ แล้วก็มาที่คุณน้ำตาล ลูกไฮโซ แล้วก็มีคุณปอร์เช่ที่สะสมยีสซี่ สามอันนี้ที่ไม่เข้าใจว่า ทำไมคนไม่เข้าใจกันว่ามันเป็นตัวปลอม
The MATTER : เพราะคนไทยไม่คุ้นกับงานแนวนี้หรือเปล่า มาเป็นบทสัมภาษณ์ก็ต้องคิดว่าเป็นเรื่องจริงเสมอ
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมใส่ใจมาก พวกวรรณกรรมเก่าๆ ต่างๆ ของคนไทย บทความที่เขาเรียกว่าเสียดสีหรือท้าทายมีเยอะมาก อย่างคุณมุกหอม วงษ์เทศ ก็แบบว่าเก๋าๆ เลย แล้วมันก็มีเรื่องราวขำขันในแวดวงวรรณกรรมไทยเนอะ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นคุณยาขอบ ไล่มาถึงคุณกุลา คุณสุวรรณี แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นจนตอนนี้มันหายไป อาจเพราะว่าคนไทยอยากเป็นนักเขียนกันน้อยลง ทำให้การเขียนจำกัดอยู่ในไม่กี่โทน อย่างตอนนี้นักเขียนนิยายดังๆ เราก็เริ่มนึกไม่ออกแล้ว
The MATTER : แสดงว่ามันเคยมีวรรณกรรมกวนๆ แบบนี้อยู่แล้ว
ใช่ เยอะมากด้วย โดยเฉพาะรุ่นประมาณปี 60 หรือ 50 ของไทย รุ่นตั้งแต่ ‘สามเกลอ’ นู่น ตอนแรกเฟื่องฟูมากนะพวกงานอารมณ์ขันเนี่ย แล้วก็กลับมาเป็นปัจจุบันที่ผมมองว่ามันเป็นรุ่นแบบวรรณกรรมที่เขานิยมกัน อย่างวรรณกรรมแนะนำการใช้ชีวิต attitude อาจจะไม่คำที่ถูกต้องด้วยซ้ำ คือเขามีคำของเขาเองอะ ประมาณว่าชี้ทางชีวิต ควรคิดยังไง positive กับชีวิตยังไง ไม่ใช่ความเชื่อที่ว่าใครจะต้องมาใช้ชีวิตยังไง
The MATTER : นักเขียนรุ่นใหม่ที่คุณชอบ
นึกไม่ออก ไม่มีครับ แต่มีหนังสือเล่มล่าสุดที่ชอบ คือของบุญชิต ฟักมี หนังสือชื่อ ‘ข้อความต่างด้าว’ ก็หลายปีละนะ เป็นเล่มสุดท้ายที่ชอบ แต่ว่าหลังๆ ผมก็ได้อ่านนิยาย เรื่องสั้นก็อ่าน ชอบคุณคำผกา ชอบสำนวน ผมว่าเขาเป็นคนที่เขียนหนังสือได้เปรี้ยวดี คือมุมมองต่างๆ ก็ชอบ ไม่เกี่ยวว่าเขาจะเหลืองหรือแดงนะ ผมไม่ค่อยแบ่งแยกเรื่องการเมืองในวรรณกรรมเท่าไหร่ ถ้าเขาเสนอความคิดเราอ่านความคิดเขามากกว่า แล้วก็อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เมื่อก่อนก็เป็นแฟนประจำในมติชนสุดสัปดาห์ แต่อีกคนที่ชอบมากๆ เลย แล้วไม่รวมเล่มสักที คือคุณหลวงเมือง ที่เขียนเรื่อง ‘นาฏกรรมเมืองหลวง’ หรืออะไรสักอย่างในมติชนสุดสัปดาห์ เขาจะเขียนเรื่องอารมณ์ย้อนยุคหมดเลย แทนตัวว่าข้าพเจ้าเจอผีบ้าง บางทีก็เจอเหตุการณ์แปลกๆ บ้าง แล้วก็เป็นสั้นๆ แล้วก็อีกคนนึงเขียนเรื่องปลา คอลัมน์ ‘สะเทินน้ำ สะเทินบก’ ส่วนตัวผมไม่ตกปลาเลยนะ แต่ชอบอ่านคอลัมน์ของเขาแล้วรู้สึกมันเหลือเกิน ก็เลยไปรับคนมาเขียนเรื่องนกบ้าง เป็น inspire จากคนคนนี้
The MATTER : Dude Sweet นอกจากทำงานปาร์ตี้ และงานออกแบบที่เก๋ๆ คูลๆ พอมาทำ Blog ก็เลือกสัมภาษณ์ที่เป็นเรื่องบ้านๆ ทำไมถึงสนใจมุมนี้
ผมว่าพอคนเราโตขึ้น เราจะก็สนใจเรื่องที่มากกว่าตัวเอง อย่างผมตอนทำปาร์ตี้ก็สนใจแต่เรื่องว่าจะอยู่กับเพื่อน เราก็คิดว่ามันก็โอเคนะ ไม่ต้องสนใจอะไรเลย เราก็อยู่ของเรากันไปไม่ต้องสนใจคนอื่น มันก็หนีไม่ได้นะครับ เพราะพอเราโตขึ้น ภาระมันมากขึ้น ก็สนใจเรื่องรอบตัวไปเองโดยอัตโนมัติ ก็เริ่มไปหาไปเห็นความงี่เง่าของนักการเมือง ของเศรษฐกิจ แล้วก็เริ่มศึกษาหาความรู้เรื่องอื่นๆ ต่อไป สิ่งที่เราเคยคิดว่าสำคัญที่สุดของชีวิตในตอนนั้นของผมก็คือการปาร์ตี้ ก็เลยถูกลดอันดับลงมา แล้วก็พบว่าสิ่งที่เราทำได้ดีกว่าปาร์ตี้ มันก็ควรจะทำความคิดตัวเองให้ดี ก็พยายามทำสิ่งที่ดีกว่าที่เคยเป็นอยู่ เอาง่ายๆ ผมไม่อยากแก่แล้วโง่อะ มันมีคนแก่กะโหลกกะลาในสังคมนี้เยอะแล้วล่ะ
ติดตาม dudesweet และ Third World magazine ได้ที่ dudesweet.org