จักรวาลมีดาวแสนล้านดวงและเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง (Universe Within) คือชื่อละครเวทีที่เขียนบทโดย ภาณิศา ภูวภิรมย์ขวัญ นักเขียนบทละครร่วมสมัย (เคยได้รับรางวัลบทละครยอดเยี่ยมจากเวทีสดใสอวอร์ด) และกำกับการแสดงโดย ดังกมล ณ ป้อมเพชร อาจารย์ประจำภาควิชาศิลปการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทั้งสองคนยังเป็นนักแสดงของละครเรื่องนี้ด้วย
ตามกำหนดการ ละครเวทีจะแสดงปลายเดือนนี้จนถึงต้นเดือนหน้า จากข้อมูลประชาสัมพันธ์ที่ได้รับ ผมเผลอเข้าใจไปว่า เนื้อหาของละครเกี่ยวข้องโดยตรงกับคนเป็น ‘โรคซึมเศร้า’ แต่พอสอบถามไปยังคนเขียนบท คำตอบคือทั้งใช่และไม่ใช่
ใช่ – เพราะครั้งหนึ่ง ภาณิศาถูกวินิจฉัยว่าเป็น ‘โรคซึมเศร้าเรื้อรัง’ (Dysthymia) ก่อนจะใช้เวลารักษาอยู่ระยะหนึ่งจนหาย นั่นแปลว่าบางส่วนของตัวละครย่อมปรากฏร่องรอยอารมณ์ที่เชื่อมโยงกับความป่วยไข้ของผู้ประพันธ์ แต่ไม่ใช่ – เพราะเป้าหมายหลักคือการนำเสนอโลกภายในของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคุณจะป่วยหรือไม่ก็ตาม อีกทั้งจุดเริ่มต้นของบทละครนี้เกิดขึ้นราวสิบปีก่อน (เธอถูกวินิจฉัยว่าป่วยราวต้นปี 2559) เป็นการจัดรูปร่างของวาบความคิดให้กลายเป็นไดอะล็อกของชายหญิงคู่หนึ่ง บันทึกเก็บไว้ทีละเล็กละน้อย จนกระทั่งกลายเป็นบทละครฉบับสมบูรณ์
“ละครเรื่องนี้ไม่ใช่ตัวแทนของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า เพราะมันมีอะไรมากกว่านั้น” เธอออกตัวชัดเจน เมื่อถามว่าใช่ละครเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าหรือเปล่า “เราตั้งใจใส่อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของมนุษย์ ความเศร้า ความสับสน ความโกรธ ความเกลียด ซึ่งทุกคนมีสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้แปลว่าคนไม่เป็นโรคซึมเศร้าแล้วไม่มี”
หลังเรียนจบจากคณะอักษรศาสตร์ (เอกภาษาไทย โทการละคร) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาณิศาประกอบอาชีพอยู่ในแวดวงละคร ทั้งในฐานะคนเขียนบท โปรดิวเซอร์ และนักแสดง ทั้งละครโทรทัศน์และละครเวที หมวกของโปรดิวเซอร์คือการประนีประนอมเพื่อให้งานลุล่วง ขณะที่หมวกของคนเขียนบทละครเวที เธอถ่ายทอดความเชื่อและมุมมองของตัวเองในเรื่องต่างๆ อย่างเต็มที่…หนึ่งในนั้นบรรจุอยู่ในละครเรื่องนี้
เรานัดกันที่โรงละครของเธอ Creative Industries ณ วันที่เวทีและนักแสดงกำลังเตรียมพร้อม ก่อนที่ ‘จักรวาลมีดาวแสนล้านดวงและเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง’ จะเปิดให้ผู้ชมเดินทางเข้าไป เราสนทนากันถึงจักรวาลของคนเขียนบทและหนึ่งในนักแสดง
The MATTER : คุณเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอาจจะป่วยตอนไหน
ภาณิศา : เราเป็นคนเจ้าอารมณ์และเซนซิทีฟ โดยมาชัดเจนในช่วง 3-4 ปีที่มีลูก เราเครียดมากขึ้น คนธรรมดาโกรธ 1…2…3…4 แต่เราสามารถโกรธ 1…2 แล้วพุ่งไป 10 ได้เลย ขณะเดียวกัน เวลามีเรื่องมากระทบใจ เราเศร้ามาก กราฟมันสวิง พอเป็นแบบนั้นบ่อยๆ เราเหนื่อย รู้สึกว่าไม่ดีต่อตัวเองและคนรอบข้าง เลยตัดสินใจไปปรึกษาจิตแพทย์ตอนต้นปี 2559 หมอบอกว่า สิ่งที่เราเป็นคือ ‘โรคซึมเศร้าเรื้อรัง’ (Dysthymia) เส้นกราฟอารมณ์จะสูงกว่าคนทั่วไปนิดนึง แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า เราเหมือนกับคนทั่วไปแหละ เรียนหนังสือได้ ทำงานได้ มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างเหมือนเป็นคนร่าเริงปกติ ตัวเองเลยทำงานได้มาตลอด ศัพท์ง่ายๆ คือ เป็นไข้อ่อนๆ ยังดูแลตัวเองได้ แต่ลึกๆ จะมีภาวะความเจ็บป่วยทางอารมณ์อยู่ บางคนโชคดีเป็นอยู่แค่นี้ แต่บางคนก็แย่ลงจนดิ่งไปเป็นโรคซึมเศร้า
The MATTER : วินาทีที่หมอบอกว่า “คุณเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง” รู้สึกยังไง
ภาณิศา : ไม่แปลกใจนะ (หัวเราะ) เราทำงานเขียนบทละครมา ศึกษาเรื่องจิตวิทยามาพอสมควร แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญมากหรอก โอเค เป็นก็เป็น เข้าสู่กระบวนการรักษา อย่างที่บอกว่าเราเหมือนเป็นไข้อ่อนๆ เลยกินยาตัวอ่อนๆ ซึ่งบางคนอาจไม่ต้องกินยาด้วยซ้ำ แค่เช็ดตัวก็หาย ตอนนั้นสิ่งที่ช่วยมากๆ คือการพูดคุยกับหมอ ค่อยๆ คุย ค่อยๆ ปรับทัศนคติตัวเราเอง เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ขณะเดียวกัน เราจะหวังพึ่งหมออย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำความเข้าใจตัวเองไปด้วย
พูดแบบพุทธๆ มันคือคำว่า ‘รู้เท่าทันตัวเอง’ รู้ว่าตัวเองโกรธ แล้วโกรธอะไร ทำไมต้องโกรธขนาดนี้ พยายามไล่จับอารมณ์ให้ทัน เราเลยอยู่กับมันได้ แต่ไม่ใช่ว่าหายจากหลังตีนเป็นหน้ามือนะ (หัวเราะ) เราไม่ได้กลายเป็นคนร่าเริง เป็นไปไม่ได้หรอก นิสัยคนเราเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่เราไม่ฟูมฟายเท่าเมื่อก่อน
The MATTER : คิดว่าผลมาจากยาหรือการทำจิตบำบัด
ภาณิศา : ควบคู่กัน คนมีอาการแบบนี้เหมือนคนตกบ่อโคลน รู้ว่าต้องปีนขึ้นไป ต้องตะกาย บางทีมีคนโยนเชือกมาให้ด้วย แต่ไม่อยากจับ การกินยาจะช่วยให้เรารู้ตัวว่า ต้องจับเชือก แต่แรงที่จะดึงเชือกต้องมาจากเรา
ตอนนั้นสิ่งที่ช่วยมากๆ คือการพูดคุยกับหมอ ค่อยๆ คุย ค่อยๆ ปรับทัศนคติตัวเราเอง เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ขณะเดียวกัน เราจะหวังพึ่งหมออย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำความเข้าใจตัวเองไปด้วย
The MATTER : นานแค่ไหนถึงมีแรงดึงเชือก
ภาณิศา : ประมาณครึ่งปีที่หาหมออย่างสม่ำเสมอ เราหาหมอด้วยความรู้สึกว่าอยากหาย อยากดูแลอารมณ์ตัวเองให้ได้ บางคนอาจยังไม่เห็นหนทางชัดเจนว่าการรักษาจะช่วยยังไง เป็นสิ่งที่ต้องหาให้เจอด้วยตัวเองเหมือนกัน บางคนหาหมอแล้วไม่ดี แต่ไปทางศิลปะบำบัดแล้วดีขึ้น
The MATTER : ต้องมุ่งมั่น ตั้งใจ และอยากรักษาให้หาย
ภาณิศา : ใช้คำว่ามีความหวังดีกว่า
The MATTER : ช่วงเวลาหกเดือนนั้น ยากแค่ไหน
ภาณิศา : (เงียบคิด) ยากไหม คงยากแหละ แต่มันค่อยๆ ไม่ใช่กินยาแล้วรู้สึกดีขึ้นทันที เหมือนเราหยิบทรายใส่ขวดทีละนิด หยิบสิบครั้งยังไม่รู้สึกว่าในขวดมีทราย แต่เวลาผ่านไป หันมามองอีกที ครึ่งขวดแล้ว พูดเป็นศัพท์ง่ายๆ คือคำว่า ‘ทำใจ’ เราจะทำใจยังไง จะรับมือกับสิ่งต่างๆ ยังไง เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝน บางคนอาจโชคดี เกิดมาเป็นคนมองโลกในแง่บวก ไม่คิดมาก แต่สภาพสังคมปัจจุบันที่เครียดขึ้น คนมีแนวโน้มจะหมกมุ่นกับตัวเองมากขึ้น เราต้องระวังความรู้สึกตัวเอง แล้วเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครสอน
The MATTER : ณ วันนี้คุณหายป่วยแล้ว อยากรู้ว่าคุณคนก่อนรักษากับหลังรักษาต่างกันยังไง
ภาณิศา : ยังเป็นคนเดิมแหละ (หัวเราะ) แต่ปัจจุบันมีสติมากขึ้น ใช้คำว่า ‘สติ’ ในแง่ตระหนักรู้ ไม่ใช่ความหมายในเชิงศาสนาอะไรหรอก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของมนุษย์ แต่ไม่ได้ชะล่าใจ เหมือนเป็นไข้หวัดน่ะ ถึงหายแล้วแต่ก็มีสิทธิติดหวัดได้อีก
The MATTER : คิดว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้เราหายได้
ภาณิศา : (เงียบคิด) น่าจะเป็นลูก เราอยากเป็นแม่ที่มีความมั่นคงทางอารมณ์ แน่นอนอยู่แล้ว เรารักลูก แต่ถ้าไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ เราจะดูแลอารมณ์ของลูกได้ยังไง
The MATTER : ช่วยเล่าถึงบทละครเรื่อง จักรวาลมีดาวแสนล้านดวงและเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
ภาณิศา : เราใส่หมวกหลายใบ เวลาทำงานบริหารจัดการจะประนีประนอม ทุกอย่างต้องราบรื่น จัดการให้งานดำเนินไปได้ นั่นคือหน้าที่ เป็นตัวเองนะ ไม่ได้เฟค แต่เป็นตัวเองในหมวกของโปรดิวเซอร์ แต่เวลาใส่หมวกคนทำงานศิลปะเราไม่ประนีประนอม อยากทำอะไรก็ทำ เลยมีความส่วนตัวสูง ไม่ได้อยากเรียกตัวเองว่าเป็นศิลปินมันดูยิ่งใหญ่เกินไป เรียกว่าคนเขียนบทละกัน เราทำบทของตัวเองอยากเล่าอะไรก็เล่า นึกอะไรออกก็เขียนไว้ จดในกระดาษบ้าง จดในไดอารี่บ้าง
บทละครเรื่องนี้เกิดจากเรารับรู้เรื่องอะไรแล้วกระทบใจ เขียนเก็บไว้ เป็นความคิดเห็นที่เรารู้สึกว่าตัวละครน่าจะพูด หรือบางทีเรามีความสับสน เจ็บปวด เขียนเก็บไว้ พอนำมารวมร่าง บทละครมีตัวละคร 2 ตัว ผู้หญิงกับผู้ชาย ไม่มีชื่อ โดยรวมๆ เป็นมุมมองของผู้หญิงคนนึงที่มีต่อโลก มีการพูดถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศ แต่ไม่ใช่ละครเฟมินิสต์นะ (หัวเราะ) เราเขียนไว้ในคำนำของสูจิบัตรว่า ‘น่ามหัศจรรย์มาก’ บทละครที่เขียนไว้ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย พิมพ์ไว้ในคอมไฟล์นั้นไฟล์นี้ไม่เคยหายเลย เพราะเราไม่อยากให้หาย ไม่ว่าจะเปลี่ยนคอมหรือย้ายโต๊ะทำงานยังไง สุดท้ายเราก็หอบตามมาด้วย
เราอยากเป็นแม่ที่มีความมั่นคงทางอารมณ์ แน่นอนอยู่แล้ว เรารักลูก แต่ถ้าไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ เราจะดูแลอารมณ์ของลูกได้ยังไง
The MATTER : คุณจดความคิดเป็นไดอะล็อกเลยเหรอ
ภาณิศา : ใช่ เขียนเป็นไดอะล็อก โครงเรื่องขึ้นว่า ‘ตัวละครผู้หญิง-ตัวละครผู้ชายมาเจอกัน แลกเปลี่ยนทัศนคติบางอย่าง’ เวลาเขียนบท อันนี้ผู้หญิง แล้วยาวเป็นหน้า อันนี้ผู้ชาย แล้วยาวเป็นหน้า พอถึงวันที่มีโรงละครเป็นของตัวเอง (Creative Industriesชั้น 2 ตึกโรงละคร M Theatre) ก็พร้อมแล้วที่จะทำมันขึ้นมา เลยจับทุกอย่างมารวมร่างร้อยเรียงให้เป็นบทละครที่สมบูรณ์
The MATTER : จากวันแรกจนเสร็จสมบูรณ์ ใช้เวลานานแค่ไหน
ภาณิศา : เป็นสิบปีเลยมั้ง (หัวเราะ) มันเป็นงานส่วนตัวที่ค่อยๆ ทำไป
The MATTER : แล้วคุณเริ่มใส่เนื้อหาเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเข้าไปตอนไหน
ภาณิศา : สิ่งที่อยากทำความเข้าใจคือ ละครเรื่องนี้ไม่ใช่ตัวแทนของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า เพราะมันมีอะไรมากกว่านั้น สิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีเหมือนกันไม่ว่าจะป่วยหรือไม่ป่วย ไม่ว่าจะใช้ชีวิตแบบเดียวกันหรือไม่ คือถึงจะเจ็บปวดในคนละเรื่อง แต่เป็นความเจ็บปวดเหมือนๆ กัน เช่น คุณโดนแก้วบาด แต่เราโดนมีดบาด ต้นเหตุคนละเรื่อง แต่เป็นความเจ็บเหมือนกัน
The MATTER : การป่วยทำให้คุณกลับมาทำความเข้าใจอารมณ์ตัวเองมากขึ้น ส่งผลต่อการพัฒนาบทไหม
ภาณิศา : อย่าเรียกว่าช่วยพัฒนาบทเลย ตอนเขียนก็ไม่ได้คิดว่าตัวละครนี้คือตัวแทนของคนเป็นโรคซึมเศร้า บางอย่างเราเขียนก่อนรู้ว่าตัวเองป่วย อาจเขียนมาจากความรู้สึกที่เราป่วยแต่ตอนนั้นยังไม่รู้ พอผ่านการรักษามา เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น ที่เรารู้สึกขนาดนี้ เจ็บปวดขนาดนี้ สับสนขนาดนี้ ส่วนหนึ่งอาจเพราะเราป่วย ละครเรื่องนี้เลยหาทางจบได้ในที่สุด (หัวเราะ) ถ้ายังป่วยอยู่ เราคงเขียนบทจนจบหรือทำการแสดงไม่ได้ ความสับสนแบบนี้อยู่ในหัวของใครหลายๆ คน เผอิญเขาไม่ได้มีทักษะการเขียนบท เลยไม่ได้ถ่ายทอดออกมา
The MATTER : เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่า โรคซึมเศร้าคืออะไร ใช่ไหม
ภาณิศา : ละครเรื่องนี้ไม่ใช่กระบอกเสียงของผู้ป่วยจิตเวช ละครเรื่องนี้คือผลงานของคนเขียนบทที่ภาษาสวย กล้าพูดนะ (หัวเราะ) คือบทละครของนักเขียนบทละครเวทีไทยร่วมสมัย ‘ร่วมสมัย’ แปลว่า ฉันยังอยู่ ยังไม่ตาย ยังเดินพารากอน ยังรู้ว่าห้างเปิดใหม่ตรงไหน ยังอยู่ร่วมกับสังคมไทย แวดวงละครเวทีมีไม่มากที่จะทำงานจากบทของคนไทยด้วยกันเอง ส่วนใหญ่จะบทแปลงมากกว่า เรารู้สึกว่าอาชีพคนเขียนบทละครเวทีร่วมสมัยยังไม่ค่อยชัดเจน เราทำละครเรื่องนี้ เพราะอยากนำเสนอตัวเองในฐานะนักเขียนบทละครไทยร่วมสมัย ถึงแม้จะมีงานน้อย แต่ก็มีอยู่จริงๆ ถ้าในภาษาอังกฤษ ทุกคนรู้จักเชกสเปียร์ มันคือบทละคร ยังอ่าน เข้าร้านหนังสือยังมีให้อ่าน แต่ของไทยมันไม่มีเซ็กชั่นนี้ในร้านเลย
The MATTER : ถ้าคนถามว่า “ละครเกี่ยวกับคนเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า” คุณตอบว่าอะไร
ภาณิศา : ถ้าให้เล่าเรื่องย่อ คือ นักเขียนมือรางวัล หลังจากประสบความสำเร็จได้ทั้งเงินทั้งกล่อง ก็ปลีกตัวจากสังคมไปอยู่บนเกาะ ไม่พบปะกับใคร วันนึงมีผู้หญิงมาหา เป็นแฟนหนังสือตัวยงดั้นด้นมาจนเจอ เขาก็สงสัยว่าเธอจะมาหาทำไม ประมาณนี้ ตอบเหมือนกวนตีนนะ แต่อาจอยู่ที่คนดูก็ได้นะ ถ้าคนดู relate กับคำว่าโรคซึมเศร้า ตัวละครก็เป็น แต่ถ้าดูแล้วไม่ relate เลย ตัวละครก็ไม่เป็น (หัวเราะ) เราตั้งใจใส่อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของมนุษย์ ความเศร้า ความสับสน ความโกรธ ความเกลียด ซึ่งทุกคนมีสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้แปลว่าคนไม่เป็นโรคซึมเศร้าแล้วไม่มี
‘ร่วมสมัย’ แปลว่า ฉันยังอยู่ ยังไม่ตาย ยังเดินพารากอน ยังรู้ว่าห้างเปิดใหม่ตรงไหน ยังอยู่ร่วมกับสังคมไทย แวดวงละครเวทีมีไม่มากที่จะทำงานจากบทของคนไทยด้วยกันเอง…เรารู้สึกว่าอาชีพคนเขียนบทละครเวทีร่วมสมัยยังไม่ค่อยชัดเจน
The MATTER : ถ้าไม่มีพื้นฐานเรื่องโรคซึมเศร้ามาก่อน ก็ดูในฐานะภาวะทางอารมณ์ของมนุษย์ก็ได้
ภาณิศา : ใช่
The MATTER : ทำไมถึงค่อนข้างเลี่ยงพูดว่าละครเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
ภาณิศา : เราไม่อยากให้โฟกัสตรงนั้น ละครเรื่องนี้มีอะไรมากกว่านั้น โรคซึมเศร้ากำลังเป็นที่สนใจของคนในสังคม ถ้าอธิบายเปรี้ยงๆ ไป คนจะคาดหวังว่า นี่คือละครอธิบายเรื่องโรคซึมเศร้าหรือเปล่า ดูแล้วจะเข้าใจผู้ป่วยมากขึ้นไหม
The MATTER : ซึ่งทั้งใช่และไม่ใช่
ภาณิศา : ใช้คำนั้นก็ได้ แต่มันไม่ใช่เลยที่มาดูแล้วจะเข้าใจโรคซึมเศร้า (เงียบคิด) มันต้องใช้ใจมาดู พูดเหมือนเป็นลัทธิเลย (หัวเราะ) โอเค มันไม่ใช่ความบันเทิงแบบที่คุ้นเคย ไม่ตลก ไม่ใช่ละครเพลง มันเป็นละครพูดในโรงเล็กๆ เป็นละครที่ต้องตั้งใจดูพอสมควร ถ้ามาแบบไม่ตั้งเป้าว่าต้องเกี่ยวกับอันนั้นอันนี้ มาด้วยใจว่างๆ เรามั่นใจว่าจะได้อะไรกลับไป
คนจะเขียนบทได้เขาต้องเข้าใจมนุษย์ก่อนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นไม่มีวัตถุดิบ
The MATTER : มองว่าอะไรเป็นความเข้าใจผิดต่อผู้ป่วยจิตเวชที่เห็นชัดๆ
ภาณิศา : เข้าใจผิดจริงๆ หรือเปล่าเราไม่รู้ แต่การแสดงออกที่กระทบใจมากน่าจะเป็นเรื่องของการให้คำจำกัดความที่เหมารวม พอไปหาหมอจิตเวช ‘มึงเป็นบ้าเหรอ’ คนพูดอาจไม่ได้คิดอะไร แต่พอโดนแบบนี้คนป่วยเลยไม่เปิดเผยตัวเอง ไม่ไปหาหมอ สิ่งที่จะทำได้ง่ายที่สุดคือเห็นอกเห็นใจกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา อาจยังไม่ต้องเข้าใจก็ได้ เพราะบางทีมันก็ยาก ถ้าไม่รู้จะพูดอะไร ห้ามปลอบ ห้ามบอกว่าไม่เป็นไรหรอก ห้ามบอกว่าอย่าคิดมาก นั่งฟังเฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องตัดสิน ไม่ตราหน้า เท่านั้นเอง เป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้เลย
The MATTER : ในทางการแพทย์นิยามผู้ป่วยทางจิตเวชว่า คือคนที่มีปัญหาเรื่องสารเคมีในสมอง ถ้าไม่อธิบายด้วยคำทางการแพทย์ คุณจะอธิบายถึงคนเหล่านี้ว่าคือใคร
ภาณิศา : คนเป็นไข้ทางใจน่ะ กายเป็นไข้ได้ ใจก็เป็นไข้ได้
The MATTER : การเป็นคนเขียนบทละคร ทำให้คุณเข้าใจมนุษย์มากขึ้นไหม
ภาณิศา : คนจะเขียนบทได้เขาต้องเข้าใจมนุษย์ก่อนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นไม่มีวัตถุดิบ เราจบจากคณะอักษรศาสตร์ คณะนี้อยู่ในสายมนุษยศาสตร์ การเรียนวรรณคดีคือการเรียนรู้มนุษย์ผ่านวรรณกรรม ผ่านการตีความตัวละคร ยุคนั้นเป็นยังไง ทำไมคนคิดแบบนี้ แต่งตัวแบบนี้ ทำแบบนี้ แต่พอเรามาเรียนละคร ทำงานตรงนี้ เราต้องเป็นคนช่างสังเกต คิดวิเคราะห์ ทำความเข้าใจคนอื่น ถูกหรือผิดไม่รู้ล่ะ แต่อย่างน้อยเราพยายามจะทำความเข้าใจ เวลาเขียนบท สิ่งที่พยายามทำความเข้าใจคือตัวละครที่สร้างขึ้นมา รายละเอียดอาจเหมือนหรือต่างจากเราก็ได้ เราอาจไม่เคยเป็นอย่างตัวละครนั้นๆ เลยก็ได้ แต่การเขียนบททำให้เราเข้าใจว่าคนๆ นี้คิดยังไง ถึงได้ทำแบบนั้นออกไป
The MATTER : ทำไมถึงตั้งชื่อละครเวทีเรื่องนี้ว่า ‘จักรวาลมีดาวแสนล้านดวงและเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง’
ภาณิศา : เมื่อเทียบกับโลกทั้งใบหรือทั้งจักรวาล มนุษย์เราเหมือนฝุ่นผงของจักรวาล แต่ฝุ่นผงนี้ไม่ได้ไม่มีความหมาย เราก็เป็นมนุษย์คนนึง เจ็บได้ ร้องไห้เป็น หัวเราะได้ พอเพ่งมองฝุ่นผงเหล่านั้น ทุกเม็ดมีเรื่องราวของมัน ผู้หญิงผู้ชายสองคนที่มาเจอกันก็เป็นแค่จุดๆ หนึ่งในจักรวาล พอมองไปบนฟ้าท่ามกลางดวงดาวเป็นล้านดวง ก็ละลานตา เหมือนกันไปหมด แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ถ้าเอากล้องดูดาวส่อง แต่ละดวงก็มีความแตกต่างกัน มันก็เหมือนคนเรา คนที่เบียดบนรถไฟฟ้า เย้วๆ แถวคอนเสิร์ต แย่งของเซลล์กันในห้าง ทุกคนมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง มีความสุขและความเจ็บปวดเป็นสมบัติส่วนตัวกันทั้งนั้น
เมื่อเทียบกับโลกทั้งใบหรือทั้งจักรวาล มนุษย์เราเหมือนฝุ่นผงของจักรวาล แต่ฝุ่นผงนี้ไม่ได้ไม่มีความหมาย เราก็เป็นมนุษย์คนนึง เจ็บได้ ร้องไห้เป็น หัวเราะได้
The MATTER : คุณคิดว่ามนุษย์เกิดมาทำไม
ภาณิศา : ถามเราทำไมเนี่ย (หัวเราะ) เป็นคำถามที่เราถามกันเองและถามตัวเองมาตลอด เราขอยกโควตของอาจารย์อิงอร (รองศาสตราจารย์อิงอร สุพันธุ์วณิช อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ที่ครูเขียนไว้ในเฟซบุ๊กนะ “ครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามที่ว่า คนเราเกิดมาทำไม คนมักจะตอบว่า เกิดมาใช้กรรม แต่ป้าอยากจะคิดว่า การมีชีวิตอยู่คือการทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะไม่มีวันไหนที่จะเหมือนเดิมเลย เหมือนดวงอาทิตย์ที่ต้องขึ้นและตกทุกวัน แต่ไม่มีวันไหนเลยที่จะเหมือนกัน ทุกวันมีลักษณะพิเศษเฉพาะวัน คนเราเกิดมาเพื่อที่จะทำสิ่ง (ที่คิดว่า) ดีๆ ทุกวัน” ง่าย เคลียร์ และสวยงามมาก
The MATTER : คาดหวังอะไรกับละครเรื่องนี้
ภาณิศา : คำนำในหนังสือบทละครบอกว่า “มนุษย์เราเหมือนฝุ่นผงไร้ค่า เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่และยาวนานของจักรวาลนี้ แต่ขณะที่เรามีดวงชีวิตจุดติดขึ้นมาเป็นคนแล้ว มันก็มีค่าเกินกว่าจะละเลยตัวเอง เป็นความรับผิดชอบของเราเองนี่แหละ ที่ต้องดูแลจักรวาลในใจให้ดี”
ตอบสวยๆ ก็อยากให้คนดูเข้าใจในเพื่อนมนุษย์นะ (หัวเราะ) ในอนาคตเราอาจไม่ต้องมานั่งคุยกันแบบนี้ อาจยิงโฮโลแกรมหากัน แต่มนุษย์ก็คือมนุษย์ ยังรัก โลภ โกรธ หลง เจ็บปวด ดีใจ ไม่ต่างจากเดิมหรอก ละครเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีทำความเข้าใจมนุษย์โดยไม่ต้องเล่นเองเจ็บเอง
จักรวาลมีดาวแสนล้านดวงและเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
31 มีนาคม – 2 เมษายน 2560 และ 7-9 เมษายน 2560 / แสดงวันละหนึ่งรอบ / ศุกร์และเสาร์เวลา 19.00 น. วันอาทิตย์เวลา 14.00 น / สถานที่: โรงละคร Creative Industries ชั้น2 อาคารเอ็มเธียเตอร์ ถนนเพชรบุรี (ระหว่างซอยเอกมัยและทองหล่อ)
จองบัตรและติดต่อสอบถามได้ที่ 0863002081 และ creativeindustriesbkk@gmail.com
Cover Illustration by Namsai Supavong