เรามั่นใจว่าทุกท่านที่เล่นอินเทอร์เน็ตจะต้องเคยเห็น สิ่งที่เรียกว่า Meme (อ่านออกเสียง มีม ไม่ใช่ เมะเมะ นะ) แน่นอน บางคนชอบ Meme เพราะความหลากหลายของมันที่สามารถมาเล่นได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางคนก็อาจจะเบื่อเพราะเล่นกันซ้ำบ่อยเหลือเกิ๊น พอทีเถอะ หรือบางคนก็หากินกับมันแถมได้เงินเป็นกอบเป็นกำจากของแบบนี้ และบางคนก็เกลียดมัน เนื่องจากมันทำลายชีวิตของพวกเขา
Meme เป็นอะไรที่มากกว่ามุกตลกเรียกยอด Like ไปวันๆ หรือไม่ มีผู้แปลนิยามของ Meme ไว้ในวิกิพีเดียภาษาไทยว่า
Meme เป็นรูปแบบของ ความคิดทางวัฒนธรรม สัญลักษณ์ หรือการปฏิบัติ ที่สามารถส่งผ่านจากจิตใจคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ผ่านการเขียน การพูด ท่าทาง พิธีกรรม หรือปรากฏการณ์ลอกเลียนแบบอื่นๆ คำว่า meme ในภาษาอังกฤษ มาจากการผสมของคำว่า ‘gene’ และคำภาษากรีกว่า μιμητισμός ([mɪmetɪsmos] หรือ การเลียนแบบบางอย่าง)
จากความหมายข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า Meme บนโลกอินเทอร์เน็ต หรือ Internet Meme มีความหมายที่ใกล้เคียงกันมาก เพราะหลายๆ มุกเล่นกันแล้วเข้าใจกันเป็นสากล อย่างภาพแมวที่แทบทุกชาติเห็นแล้วต้องร้อง ‘อ๋อ’ แทบจะทันที
กระนั้นก็ไม่ได้แปลว่าทุกๆ Meme บนโลกจะโด่งดัง ก็เหมือนกับที่บุคลากรในวงการบันเทิงหลายท่านเคยกล่าวไว้ว่า ‘เรื่องตลก’ นี่ล่ะ ที่ทำให้มันดังข้ามประเทศ ข้ามเผ่าพันธุ์ยากที่สุด มิหนำซ้ำนักวิชาการบางท่านยังเชื่อว่าปัจจัยที่จะทำให้ Meme ตัวไหนดังนั้นแทบจะคำนวณไม่ได้เลย (เหมือนกับกรณีของ VDO Viral) แต่เราจะพยายามวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้กัน
อะไรที่ทำให้ Meme ป็อป
ต้องยอมรับว่า หลายเรื่องที่โด่งดังในโลกมีการลงทุนลงแรงเพื่อให้ได้ความดังมา กระนั้นในส่วนของ Meme หลายๆ ตัว กลับแทบจะไม่ได้ลงทุนอะไรเลย ปัจจัยที่ทำให้ Meme ดังนั้น ก็อาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
เป็นเรื่องใกล้ตัว
Meme ตามรากศัพท์พอแปลได้ว่าเป็นเรื่องที่สามารถส่งผ่านไปสู่คนหมู่มากได้ หลาย Meme ที่โด่งดัง อย่าง ‘คาราโอเกะชั้นใต้ดิน’ ก็จับเอาคาราโอเกะที่หลายคนคุ้นเคย มาผสมกับเพลงที่ฮิต จนทำให้คนแชร์กันเป็นจำนวนมาก หรือถ้าในระดับโลก แมวก็สามารถเป็น Meme ได้จากทุกอิริยาบทของมัน…สมแล้วที่เป็นสัตว์ที่คิดจะครองโลก
คำพูดโดนใจ
ถึงภาพเด็ดๆ จะเป็นส่วนเด่นของ Meme แต่อีกประการหนึ่งที่สำคัญมากๆ คือคำพูด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนของ Meme ที่คำพูดมีผลอย่างมากก็คือรายการ The Face Thailand งงใช่ไหมครับ ? ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเห็นพี่ลูกเกดทำหน้านิ่งๆ ดีดนิ้ว คนคงไม่รู้สึกว่าภาพนี้เด็ดดวงตรงไหน แต่เมื่อใส่ “ตื่นค่ะ” เข้าไปเท่านั้นล่ะ ภาพนี้ดูทรงพลังขึ้นมาทันที หรือในระดับโลก ภาพตัวละคร Mr. Bean ทำหน้ากรุ้มกริ่มในหนังก็ตลกอยู่ แต่พอมีคำพูดใส่เข้าไปว่า If you know what I mean ก็ทำให้เกิด Meme ที่คิดถึงเรื่องลามกใต้สะดือทันใด
จังหวะเวลาที่เหมาะสม
บางมุกก็เหมาะสมกับบางเวลา อย่างในช่วงแข่งฟุตบอลโลก ก็มี Meme ล้อเลียนนักฟุตบอลที่มีวีรกรรมดังๆ กันก่อนหน้านั้นออกมาเล่นกัน ขณะเดียวกันปัจจัยนี้ก็ถือว่าคุมได้ยากเย็นตัวหนึ่ง เพราะบางมุกก็ต้องรอจังหวะเวลาที่จะป็อปขึ้นมา อย่างเพจคาราโอเกะชั้นใต้ดินที่ดังมากในปีนี้ ก็เปิดเพจมาตั้งแต่ปี 2014 โน่นเลย
อะไรที่ทำให้ Meme แป้ก
เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า Meme เองก็มีมากมายมหาศาลอ แถมยังเกิดใหม่ได้แทบทุกวัน เป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกตัวจะโด่งดังเป็นพลุแตกไปหมด ในทางกลับกัน Meme ที่ดังๆ อยู่ก็สามารถแป้กได้ในเวลาไม่นานเหมือนกัน
เล่นกันรัวๆ
ต่อให้มุกเจ๋งที่สุดในสามโลก แต่ถ้าเจอมันทุกวันก็เบื่อใช่ปะ หลาย Meme ที่เกิดและตายไวก็ด้วยเหตุผลนี้เช่นกัน อย่างล่าสุด “จงบรรยาย xxx ที่ชื่นชอบโดยไม่ต้องบอกชื่อ” แม้ไอเดียเริ่มต้นจะดีมากๆ เพราะให้เราย้อนกลับไปยังความรู้สึกแรกชอบกับสิ่งนั้นๆ แต่พอหลายเพจเล่นมุกนี้กันรัวๆ มันก็เริ่มน่าเบื่อ สุดท้าย Meme นี้ก็เกิดกระแสพลิกกลับว่าเลิกเล่นซะทีเนอะ
เฉพาะทางเกิ๊น
มุกตลกที่ดีควรจะเข้าใจง่ายๆ มุกที่แป้กอย่างนึงก็คือมุกที่เล่นแล้วมีแต่คนวงในรู้เรื่อง ตัวอย่างเช่น ถ้าสมมติอยู่ๆ ผู้เขียนแปะรูปชายหนุ่มยืนอยู่พร้อมคำว่า “มันแชมป์มาก” หลายคนก็คงจะงงว่า เฮ้ย สรุปเอ็งหมายถึงอะไรกัน แกกำลังพูดถึง แชมป์ พีรพลที่อ่านข่าวกีฬาเหรอ หรือแกกำลังต่อว่าการเล่นบอร์ดเกมของ แชมป์ ทีปกร ที่ไม่ปราณีคนในก๊วนเดียวกัน หรือนี่กำลังพูดถึงทีมฟุตบอลสักทีม? เห็นมะ จากประโยคที่อาจจะเป็นมุกได้กลายเป็นเรื่องที่เล่าไม่รู้เรื่องทันที ดังนั้นจะเล่น Meme ใดๆ ก็ช่วยคิดถึงคนอื่นๆ ด้วยว่าจะรู้เรื่องมั้ย
เหตุผลหลักที่ Meme แป้กก็คงประมาณนี้แหละ แต่ถ้าไม่เข้าเหตุผลทั้งสองข้อ ก็เป็นไปได้ว่ามุกที่คิดมายังไม่ฮาพอ
Meme สร้างรายได้
มันสร้างรายได้ด้วยเหรอ แค่ภาพตลกแถมบางทีก็ไม่ค่อยขำเนี่ยนะ โอ คุณผู้อ่าน เราจะพยายามบรรยายให้ฟังโดยไม่บอก… เอ่อ พยายามเล่ารายละเอียดให้ฟังกัน อย่าง Meme ที่ชื่อว่า Bad Luck Brian ซึ่งเอาภาพมาจากรูปจากหนังสือรุ่นของฝรั่งแล้วเป็นนักเรียนถ้าทางเด๋อด๋าซึ่งมาพร้อมกับคำพูดในลักษณะว่า ได้กระทำการใดการหนึ่งแต่กลับมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น ฟังดูแย่อยู่ไม่น้อย
แต่ในชีวิตจริง Kyle Kraven ตัวจริงจากรูป Bad Luck Brian ภาพนั้นทำให้หนุ่มวัย 26 ปี สร้างรายได้จากการขายเสื้อลิขสิทธิ์รูปของเขาเองเป็นมูลค่าประมาณ 15,000 – 20,000 ดอลลาร์สหรัฐในชั่วเวลา 3 ปี
ข้างต้นคือตัวอย่างผู้ที่หารายได้จาก Meme โดยตรง (เพราะเป็นรูปเขาเอง) ส่วนอีกแง่ที่ Meme สามารถทำรายได้ ก็คือการนำเอา Meme ปรับมาใช้ในการตลาดต่างๆ ตัวอย่างแบรนด์หนึ่งที่ทำเรื่องนี้ได้ดี เราขอยกให้ Hot Pot Buffet ที่จับประเด็นในโลกไซเบอร์อย่างทันท่วงที
Meme สร้างความเจ็บปวด
คุยเรื่องโปกฮากันมาเยอะแล้ว เราขอหยิบยกอีกมุมของ Meme ขึ้นมาพูดสักเล็กน้อย นั่นก็คือการที่ Meme สร้างความเจ็บปวดต่อผู้คนได้เหมือนกับหนัง หรือละครตลกที่เซนส์อารมณ์ขันของแต่ละประเทศไม่เหมือนกันไปซะหมด และด้วยความที่ Meme แพร่กระจายได้โดยง่ายทำให้บางครั้งมุกที่ออกมาจากความคะนองถูกแชร์ต่อโดยบุคคลที่ไม่ได้คิดอะไร แต่คนในภาพอาจไม่ได้สนุกกับเรื่องเหล่านั้น
อย่างข่าวไม่นานนี้ กรณีสาวคนหนึ่งนาม Tiziana Cantone ถ่ายคลิปตอนร่วมรักกับแฟนหนุ่มของเธอ สถานการณ์พลิกผันเพราะการคำพูดของเธอในคลิปนั้นกลายเป็นคำฮิตติดปากในโลกอินเทอร์เน็ตฝั่งฝรั่ง ถึงขั้นนักฟุตบอลอิตาลีสองคนยังเอามุกนี้ไปเล่นกัน Tiziana เองก็พยายามร้องเรียนตามขั้นตอนทางกฎหมายให้เฟซบุ๊กและกูเกิ้ลลบข้อมูลเกี่ยวกับตัวเธอออกไป แต่การแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของ Meme ที่เอาเรื่องของเธอไปล้อเล่น ทำให้เธอตัดสินใจลาออกจากงาน และจบชีวิตตัวเองลงไปในที่สุด
เหตุการณ์นี้ทำให้นักการเมืองอิตาลีเสนอให้ออกกฎหมายที่สามารถลงโทษผู้กระทำการ Cyber Bully ด้วยการนำคลิปลับมาหักหลังจนอาจจะกลายเป็น Meme ที่จบชีวิตคนได้อีกคน
ใกล้เคียงกับกรณีของ ฟ้า-จิลมิกา เฉลิมสุข ที่มีคลิปหลุดไป แม้ว่าในบ้านเราจะยังไม่มีคนทำ Meme ออกมา ‘ล้อเล่น’ แต่ก็มีการแสดงความคิดเห็นที่ชวนให้ตกใจว่า บางทีคนหมู่มากไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องของคนที่อยู่ในจอก็เป็นได้
ไม่ว่า Meme จะสร้างผลอะไรกับสังคม เราก็ต้องใช้ชีวิตอยู่กับ Meme เพราะมันได้ผันตัวจากเรื่องเล่นๆ กลายเป็นวัฒนธรรมหลักของโลกไซเบอร์ ในการส่งข้อความทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับสังคม
อ้างอิงข้อมูลจาก
University of Illinois Liberty
ข่าวสด