สำหรับคุณ อะไรคือสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้?
หลายคนอาจบอกว่า เวลา อายุ ความคิด หรือกระทั่งสุขภาพ ท่ามกลางโลกที่หมุนไปทุกวัน วันเวลาล่วงเลยผ่านไป อายุของผู้คนผลัดเปลี่ยน ความคิดในการต่อยอดสิ่งต่างๆ ให้ทันโลกก็มากขึ้น หรือกระทั่งสุขภาพก็กลายเป็นเรื่องที่ใครหลายคนหันมาให้ความใส่ใจ
ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนแลกมาด้วยพลังทางความคิด น้ำพักน้ำแรงจากการลงมือทำ อาจผ่านผู้คน ผ่านเทคโนโลยีที่เข้ามาทำความฝัน หรือความตั้งใจที่จะอยาก ‘เปลี่ยน’ ของใครหลายคนให้กลายเป็นจริง แต่แล้วเราจะทำอย่างไรให้พลังของการริเริ่มนั้นยังคงอยู่ ไปพร้อมๆ กับการโอบกอดพื้นที่สีเขียวฟ้าของโลกใบนี้ไปด้วย?
ความยั่งยืน (Sustainability) นับเป็นหนึ่งในสิ่งประเมินค่าไม่ได้ที่คนจากทุกแวดวงทั่วโลกกำลังหันมาให้ความสนใจ เช่นเดียวกับ RED CLUB x Cartier ความร่วมมือระหว่างเรดคลับกับคาร์เทียร์ที่ก็ได้ตระหนักถึงปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนอนาคตที่ดีให้คนรุ่นถัดไป
‘Tech for a Sustainable Future’ จึงกลายเป็นธีมสำคัญของ Young Leader Award 2024 หรือรางวัลสำหรับผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ กิจกรรมที่ทางคาร์เทียร์และเรดคลับนั้นจัดขึ้น เพื่อมอบรางวัลให้แก่นักธุรกิจรุ่นใหม่ ซึ่งนำวิธีการแก้ปัญหาใหม่ๆ หรือการสร้างผลกระทบที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ผ่านเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่คิดค้น คำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ เพื่อสร้างอนาคตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

Suresh Cuganesan, Suraj Nandakumar, Lu Zhang, Didi Gan, Cyrille Vigneron, Yanina Novitskaya, Jumana Zahalka และ Richard Li
หลายคนอาจยังสงสัยว่า คาร์เทียร์ในภาพจำของใครหลายคนคือเครื่องประดับสุดหรูนั้น เกี่ยวข้องกับการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพื่อสังคมได้อย่างไร? ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ แล้วคาร์เทียร์เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนธุรกิจเพื่อส่งเสริมสังคมมากมาย อย่างเมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 ที่ผ่านมา คาร์เทียร์ก็มีการจัด Cartier Women’s Initiative (CWI) โครงการส่งเสริมการทำธุรกิจเพื่อสังคมของผู้หญิงทั่วโลกเช่นกัน
มาถึงช่วงปลายปี 2024 ก็มีอีกหนึ่งโครงการที่คาร์เทียร์สนับสนุนธุรกิจเพื่อสังคม โดยจับมือกับเรดคลับซึ่งเป็นชุมชนที่รวมกลุ่มนักธุรกิจและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ อายุ 20-40 ปีที่มีแนวคิดและมีพลังอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคม ภายใต้การประกาศรางวัล Young Leader Award 2024 ณ หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ (National Gallery Singapore) ประเทศสิงคโปร์ ในวันที่ 15 ตุลาคม 2024 มีผู้เข้าร่วมตั้งแต่ Cyrille Vigneron กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารคาร์เทียร์ Giada ZHANG ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Mulan Group และผู้ก่อตั้งคอมมูนิตี้เรดคลับ Richard LI และ Kheng Lian HO ประธานและสมาชิกเรดคลับ Yanina Novitskaya ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของคาร์เทียร์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย Suresh Cuganesan และ Jumana Zahalka พาร์ตเนอร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore – NUS) และที่ขาดไม่ได้เลยคือ ผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้งหมด 4 คน ได้แก่
- Didi Gan ผู้ก่อตั้ง N&E Innovations ในปี 2020 ด้วยการพัฒนาสารต้านจุลชีพที่รับประทานได้จากขยะอาหาร ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนเพราะทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อยกว่ายาต้านจุลชีพแบบดั้งเดิม
- Suraj Nandakumar ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Recity Network ด้วยการจัดการพลาสติกแบบหมุนเวียนที่มอบคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ โดยมุ่งเสนอแหล่งที่มาอย่างมีจริยธรรม ตรวจสอบย้อนกลับได้ และมีคุณภาพสูงสำหรับสินเชื่อและพลาสติกรีไซเคิลของผู้บริโภค
- Enrico Di Oto ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OACP ซึ่งก่อตั้งขึ้นช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กับการผลิตสารเคมีที่ทันสมัยและปลอดภัย ผ่านแนวทางการแก้ปัญหาด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อการวินิจฉัยและกำจัดมะเร็งได้อย่างรวดเร็ว
- AasawariI Kane สมาชิกผู้ก่อตั้งและประธาน PadCare Labs บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการรีไซเคิลผ้าอนามัยให้กลายเป็นเยื่อไม้และพลาสติก ทั้งนี้ยังให้บริการในด้านบริหารจัดการสุขอนามัยประจำเดือน
เนื่องจากผู้ประกอบการที่เข้ารอบชิงชนะเลิศนั้นล้วนมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจ และยังสร้างแรงบันดาลใจให้สังคมได้อย่างยอดเยี่ยม Cyrille Vigneron จึงประกาศว่า Young Leader Award 2024 ภายใต้ธีม Tech for a Sustainable Future นี้มีผู้ชนะ 2 คน ได้แก่ Didi Gan และ Suraj Nandakumar ซึ่งผู้ชนะจะได้รับรางวัลมูลค่า 50,000 ยูโร และจะได้รับการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อนานาชาติ ส่วนผู้เข้ารอบคนสุดท้ายอย่าง Enrico Di Ot และ AasawariI Kane จะได้รับรางวัล 10,000 ยูโร

AasawariI Kane, Suraj Nandakumar, Didi Gan และ Enrico Di Oto
อย่างไรก็ตาม Young Leader Award งานประกาศรางวัลที่คาร์เทียร์ทำร่วมกับเรดคลับนั้นก็ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อผู้ชนะเลิศ Young Leader Award 2023 อย่าง Dr.Bea Bakshi ก็มาร่วมงานในปีนี้ที่สิงคโปร์ด้วยเช่นกัน The MATTER จึงมีโอกาสพูดคุยกับ Bea Bakshi โดยเธอได้กล่าวถึงความรู้สึกว่า “ฉันรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ ทุกคนน่าจะเห็นได้ชัดว่าฉันชนะ และฉันเองก็มีความสุขมากที่ชนะในปีที่แล้ว แต่ผู้เข้ารอบสุดท้ายคนอื่นๆ ก็ได้รับรางวัลสำหรับธุรกิจที่ยอดเยี่ยมต่อการแก้ปัญหาที่ยอดเยี่ยมในประเทศและสาขาของตัวเองเช่นกัน”
ทั้งนี้ Bea Baksh ยังเสริมต่อว่า เราควรจะทำให้องค์กร ธุรกิจ หรือกระทั่งผู้ประกอบการต่างๆ ได้รับแรงบันดาลใจจากคาร์เทียร์กันมากขึ้น เพื่อสร้างรางวัลเพิ่มเติม หรือเพื่อระดมทุนสำหรับผลกระทบทางสังคม และสิ่งที่ดีต่อสังคม ดีต่อสุขภาพ และความสุขของมนุษยชาติ
เธอเริ่มต้นจากการมองเห็นผู้คนในสังคมถึงเรื่องคุณค่าของสุขภาพที่ดี ซึ่งเธอมองว่า “เมื่อเรามีระบบการดูแลสุขภาพที่ดีนั้น มันจะเกี่ยวโยงโดยตรงกับสังคมประชาธิปไตยที่ดีขึ้น จะเชื่อมโยงกับสังคมที่มีการผลิตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เชื่อมโยงกับสังคมที่มีอายุขัยยืนยาว และอายุการทำงานที่ยาวนาน”
ดังนั้น เทคโนโลยีของ C the Signs จึงเป็นการนำเอไอ (AI) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยี ด้วยการใช้วิเคราะห์ข้อมูลในระบบบันทึกทางการแพทย์แบบอิเล็กทรอนิกส์ และข้อมูลที่ผู้ป่วยรายงานไว้ เพื่อตรวจสอบและคาดการณ์ว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อมะเร็งหรือไม่ ความคิดริเริ่มมาจากการที่เธอมองว่าปัญหาใหญ่ที่สุดในการแก้ปัญหาของเรื่องนี้คือ เรามักตรวจพบมะเร็งในระยะท้ายๆ ครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยในระยะท้ายๆ และผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งจึงรอดชีวิตเพียง 20% เท่านั้น ซึ่งถ้าวินิจฉัยได้เร็ว ผู้ป่วยจะรอดชีวิตได้ถึง 80% ระยะเวลาในการวินิจฉัยจึงเป็นความแตกต่างระหว่างการมีชีวิตกับความตายของผู้ป่วยมะเร็ง
ผ่านมาแล้ว 1 ปีหลังจากได้รับรางวัล Bea Bakshi ก็เห็นว่าเธออยากขยายสิ่งที่เธอทำไปทั่วโลก เพราะมะเร็งเป็นปัญหาระดับโลก และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของโลก ดังนั้น ประชากร 1 ใน 6 คนทั่วโลกมักจะป่วยเป็นมะเร็ง “นี่เป็นหนึ่งในปัญหาที่เราตระหนักดีว่า แต่ละประเทศและแต่ละสังคมได้รับผลกระทบจากมะเร็งแตกต่างกัน เราจึงต้องคิดอย่างจริงจังว่าจะปรับใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่ให้บริการได้อย่างไร เราตื่นเต้นมากที่สามารถวินิจฉัยมะเร็งระยะเริ่มต้นในภูมิทัศน์ระดับโลกได้ รวมถึงการนำข้อมูลที่เรามีและสิ่งที่เห็นจากระบบไปใช้กับประเทศอื่นๆ”

Dr.Bea Bakshi ผู้ชนะ Young Leader Award 2023
จากเทคโนโลยีเพื่อความเท่าเทียมในการมีสุขภาพที่ดี สู่เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนในอนาคต The MATTER เองก็มีโอกาสได้คุยกับทั้ง DiDi Gan หนึ่งในผู้ชนะ Young Leader Award 2024 และ Aasawari Kane ผู้เข้ารอบสุดท้าย ซึ่งต่างก็ล้วนมีจุดเริ่มต้นและตระหนักถึงปัญหาในด้านสุขภาพอนามัยเช่นเดียวกัน แถมยังมองไปไกลถึงสิ่งแวดล้อมและปัญหาการจัดการกับขยะที่นับวันก็ยิ่งมากขึ้นของโลกใบนี้ด้วย
สำหรับ DiDi Gan เธอเติบโตมากับการเห็นโรงงานถั่วของคุณปู่ที่มีการแปรรูปจนกลายเป็นขยะหลายตันอยู่ทุกวัน เศษอาหารซึ่งกลายเป็นขยะเหล่านั้นจะถูกนำไปเผาหรือฝังกลบ จนกลายเป็นก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้น นั่นเลยเป็นไอเดียที่เธอมีขึ้นและทำร่วมกับพาร์ตเนอร์ และกลายเป็นเทคโนโลยีที่นำเศษอาหารมาแปรรูปใหม่ในชื่อ ‘VIKANG99’ ซึ่ง VIKANG นี้เป็นยาต้านจุลชีพ (ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัส) ตามธรรมชาติชนิดรับประทานได้ชนิดแรกของโลก โดยผลิตภัณฑ์มีตั้งแต่เจลทำความสะอาดมือ สบู่ สเปรย์ฆ่าเชื้อ ไปจนถึงน้ำยาล้างจาน และทั้งหมดนี้ล้วนปลอดสารเคมีและยังสามารถรับประทานได้อีกด้วย
ทั้งนี้เมื่อต้นปี 2024, N&E Innovations ยังมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ การตระหนักถึงสารเติมแต่ง สิ่งที่ลงมือทำจึงเป็นการนำขยะอาหารมาเปลี่ยนเป็นผง และแปรรูปจนกลายเป็นฟิล์มแรปอาหารชิ้นแรกของโลกที่ทำจากเศษอาหารภายใต้ชื่อ ‘The Orange Clean Wrap’ และแรปสีส้มนี้ยังเป็นสีธรรมชาติที่เกิดจากเศษอาหารโดยไม่ได้ปรุงแต่งใดๆ
เช่นเดียวกับ Aasawari Kane ที่ได้ไอเดียก่อตั้ง Padcare Labs มาจากการต่อยอดเพราะมองเห็นปัญหาเรื่องผ้าอนามัยในอินเดีย ซึ่งผ้าอนามัยนั้นมักจะถูกทำลายด้วยการเผาในเตาเผาขยะที่อุณหภูมิกว่า 800 องศาเซลเซียส หากนึกภาพการเผาบางอย่างเช่นพลาสติกแล้ว โดยพื้นฐานอุณหภูมิที่สูงขนาดนี้จะปล่อยสารพิษออกมาจำนวนมากในรูปแบบของฟิวแรน/ไดออกซิน (Furan/Dioxin) ซึ่งก่อให้เกิดมะเร็งปอด แถมยังเป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่นำไปสู่ภาวะโลกร้อนด้วย เธอจึงได้หาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วก็พบอีกว่า ผ้าอนามัยเพียงแผ่นเดียวนั้นใช้เวลาย่อยสลายถึง 800 ปีเลยทีเดียว และ 98% ของขยะเหล่านั้นมักถูกนำไปกำจัดด้วยวิธีที่ไม่ยั่งยืน และก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
Padcare Labs จึงเห็นว่าจะต้องมีวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ ด้วยกระบวนการรีไซเคิลให้ผ้าอนามัยเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของถุงและกระดาษสำหรับใช้งานใหม่ได้ และเมื่อได้ทำการวิเคราะห์แล้วก็พบว่า กระบวนการของเทคโนโลยีที่เธอและพาร์ตเนอร์ร่วมกันทำนั้น ดีกว่าการฝังกลบขยะ 58% และดีกว่าการเผาถึง 68% เลยทีเดียว

สเปรย์ฆ่าเชื้อจาก N&E Innovations ภาพจาก vi-kang.com
แม้ฉากหน้าเราจะได้เห็นถึงแนวคิดริเริ่ม และเทคโนโลยีใหม่ๆ ของผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลชนะเลิศและผู้เข้ารอบคนสุดท้ายแล้ว แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้อย่างราบรื่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เพราะพวกเขาต่างก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่เข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว
N&E Innovations เริ่มต้นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 และในฐานะผู้หญิงจึงทำให้เธอต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือในช่วงเริ่มต้น ด้วยคำถามต่างๆ มากมาย เช่น เศษอาหารจะกลายมาเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อได้อย่างไร? DiDi Gan จึงใช้คำถามเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันเทคโนโลยีของตัวเอง เพื่อให้ทุกคนมองเห็นถึงความตั้งใจ
“ภายในปีแรก เราก็ได้รับแรงผลักดันและได้รับความน่าเชื่อถือ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้รับเงินทุนก้อนแรกจนทำให้ธุรกิจของเราเติบโต และเพราะนวัตกรรมถือเป็นกุญแจสำคัญของเรา เราจึงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์หลักของเราในตอนนี้”
เธอยังเห็นอีกว่าความท้าทายสำคัญที่เจอนั้น คือการได้รับการยอมรับจากตลาดและผู้บริโภคมากขึ้น “เรามีผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม แต่เราจำเป็นต้องทำให้ผู้คนยอมรับผลิตภัณฑ์เหล่านั้น เราต้องการให้พวกเขายอมรับนวัตกรรมใหม่อย่างถูกกฎหมาย และฉันคิดว่านั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญ พวกเขาคิดเสมอว่าความยั่งยืนเป็นเรื่องรอง แต่พวกเขาจำเป็นต้องเปลี่ยนกรอบความคิดนั้นและคำนึงถึงความยั่งยืนเป็นอันดับแรก เพราะทุกคนต้องมีบทบาทเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น”
สำหรับ Aasawari Kane เธอบอกว่าความยากลำบากบางประการในช่วงแรกๆ ที่เธอต้องเผชิญนั้น คือการวิจัยตลาด เพราะเรื่องประจำเดือนและผ้าอนามัยในอินเดียนั้นมีข้อห้ามมากมาย “เป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะพูดคุยกับผู้ใช้ในหลายพื้นที่ เราเชื่อเสมอในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง เพราะไม่งั้นมันจะไม่ถูกนำมาใช้ เราเลยต้องการพูดคุยกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ใช้ที่เป็นผู้หญิงในวัยมีประจำเดือน เจ้าหน้าที่สุขาภิบาลบางคน หรือพนักงานของบริษัท ในตอนแรกจึงค่อนข้างยาก เพราะผู้คนรู้สึกเขินอายมากที่จะพูดถึงเรื่องนี้” ส่วนเหตุผลต่อมาคือการไม่มีเงินทุนเนื่องด้วยเป็นบริษัทสตาร์ทอัป แต่ท้ายที่สุด เธอและพาร์ตเนอร์ก็สามารถก้าวผ่านมาได้ด้วยการระดมทุนและได้เงินช่วยเหลือ
ในอนาคต เธอก็ยังอยากขยาย Padcare Labs จากอินเดียไปทั่วโลก โดยจะมุ่งเน้นไปที่เอเชียใต้ “เราไม่ต้องการจำกัดตัวเองอยู่แค่เพียงตลาดในอินเดีย แต่เราต้องการที่จะไปทั่วโลก เพราะตลาดของเรามีอยู่ทุกที่ในผู้หญิงมีประจำเดือน เป้าหมายที่ใหญ่กว่าคือ เราไม่ต้องการให้ผ้าอนามัยเหล่านี้ถูกฝังกลบหรืออยู่ในเตาเผาขยะ แต่เราต้องการให้พวกเขารีไซเคิล” ดังนั้น เธอจึงกำลังสำรวจตลาดและพัฒนาโมเดล ปรับใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้กับที่อยู่อาศัย ชุมชน และชุมชนชายขอบ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจของ Padcare Labs กับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมโดยคำนึงถึงความยั่งยืนเป็นหลัก
สำหรับ Didi Gan ในฐานะผู้ชนะ Young Leader Award 2024 ภายใต้ธีม Tech for a Sustainable Future เธอมองว่าความตั้งใจที่ทำออกมาผ่านผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ภูมิใจนำเสนอนั้นจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ เธอยังมองหาการขยายธุรกิจไปยังพื้นที่ต่างๆ ที่ไม่ใช่แค่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เกาหลี สหรัฐอเมริกา และยุโรป ด้วยการนำเสนอการใช้พลาสติก (ฟิล์มแรปห่ออาหาร) ที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
การได้รับรางวัลในครั้งนี้ก็ทำให้เธอภูมิใจมาก “ฉันคิดว่าคาร์เทียร์เป็นองค์กรระดับโลก พวกเขามีที่ปรึกษายอดเยี่ยม เช่น ผู้นำที่มีประสบการณ์ ซึ่งสามารถช่วยพัฒนาธุรกิจของเราไปสู่ระดับโลกได้ และเครือข่ายจากเรดคลับในองค์กรคาร์เทียร์ ก็ยังช่วยให้เราได้ติดต่อกับผู้ประกอบการรายอื่นที่สร้างแรงบันดาลใจ และติดต่อกับเครือข่ายอื่นๆ เพื่อยกระดับการเติบโตให้เราได้พัฒนาบริษัทไปสู่สากล เราจึงสามารถสร้างผลกระทบที่ดีต่อโลกมากขึ้นได้”
เห็นได้ว่า Young Leader Award รางวัลที่เรดคลับและคาร์เทียร์ทำร่วมกันนั้น นอกจากจะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการได้มีกำลังใจแล้ว ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้คนและสังคมรอบข้างขึ้นจริงๆ
จากปัญหาสุขภาพ สู่เทคโนโลยีที่ใช้เอไอเข้ามาวิเคราะห์และตรวจจับมะเร็งในระยะเริ่มต้น เพื่อสร้างโอกาสการรอดชีวิตของผู้คนให้มากขึ้น สู่การมองเห็นถึงปัญหาสุขอนามัยจากการจัดการผ้าอนามัยที่ใช้แล้ว ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม และกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยขยะอาหาร เพื่อโอบกอดชีวิต สุขภาพ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในวันข้างหน้า

Didi Gan หนึ่งในผู้ได้รางวัล Young Leader Award 2024
อนาคตที่ยั่งยืนอาจยังไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของเราในปัจจุบัน แต่คือการทำให้มั่นใจว่าสิ่งที่ทำในตอนนี้จะเป็นโลกอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับพวกเรา เหมือนหนึ่งในผู้ชนะของปีนี้อย่าง Didi Gan บอกกับเราว่า
“อย่าประนีประนอมกับคุณภาพชีวิตใน 30 ปีข้างหน้า การสร้างผลกระทบทางธุรกิจ คือการแสดงให้เห็นว่าคุณแตกต่างแค่ไหน และคุณสามารถทำให้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของทุกคนได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด เราต้องฝันให้ใหญ่ เมื่อคุณมีฝันที่ยิ่งใหญ่แล้ว คุณจะสร้างมันได้”
บางครั้งผู้ประกอบการ นักธุรกิจ หรือใครก็ตาม ไม่ได้จำเป็นต้องมีจุดเริ่มต้นมาจากปัญหาที่ยิ่งใหญ่ เพียงแค่เรามองเห็นและตระหนักรู้จากสิ่งที่พบเจอรอบตัวในชีวิตประจำวัน การสังเกตเรื่องราวเล็กๆ เหล่านั้น อาจเป็นก้าวสำคัญที่พาให้เราเริ่มคิดและลงมือทำ จนสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อสังคมและอนาคตอย่างยั่งยืนได้
ส่วน Young Leader Award ในปีถัดไปจะมาภายใต้ธีมอะไร เหล่าผู้ประกอบการจะมีไอเดียเจ๋งๆ อีกมากแค่ไหน ในช่วงปลายปี 2025 ‘RED CLUB x Cartier’ ก็ได้เชิญชวนและเปิดรับสมัครผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ หรือนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่มีวิสัยทัศน์อยากนำเสนอความคิดและพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคมไปด้วยกัน