ลืมภาพสาวสวยในอินสตาแกรมไปก่อน เพราะนั่นเป็นเพียงมิติเดียวของ ‘ผ้าป่าน’—สิริมา ไชยปรีชาวิทย์ และอย่างที่ทุกคนรู้ ว่าคนเรามีหลายด้าน สาวเก่งคนนี้ก็ยังมีแง่มุมอื่นๆ ให้เรารู้จัก อย่างเช่นด้านที่ถึก ทน พลังล้น บ้ามิชชั่น พร้อมจะเข้มข้นไปกับทุกงานให้มันเป็นไปตามเป้าหมาย
หลายคนรู้จักผ้าป่านในฐานะบรรณาธิการนิตยสาร The Jam Factory ผู้จัดการแกลเลอรี และหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดงาน Art Ground บางคนอาจจะรู้จักเธอในฐานะช่างภาพมุมมองเจ๋ง หรือใครบางคนอาจจะรู้จักในฐานะอดีตพิธีกรสาวแห่ง Strawberry Cheesecake—ได้ทั้งนั้น เธอไม่นำพาหากใครจะแปะป้ายว่ารู้จักตัวเธอแบบไหน ตราบใดที่เธอยังได้ทำงานที่ชอบและได้ทำตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเธอทำมันได้ดีเสมอมา
ดูเหมือนผ้าป่านกำลังไปได้สวย กับหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว แต่น่าประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อสิ่งที่เธอบอกกับเราคือ เธอกำลังวางแผนความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอนาคต นี่จึงเป็นอีกประเด็นที่เราไม่พลาดพูดคุย และสิ่งนั้นคืออะไร คำตอบอยู่ในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้เอง
Life MATTERs : อะไรที่ทำให้เลือกที่จะพักหรือพอสสิ่งที่ทำอยู่
ผ้าป่าน : เออ นั่นดิ เราว่าเราเป็นคนที่ตั้งคำถามกับตัวเองในทุกช่วงเลยมั้ง จริงๆ มันเป็นคุณสมบัติที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในเรื่องการทำงานนะ อย่างคนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องการทำงานเขาก็จะบอกว่าภาพมันชัดมากว่าอีก 5 ปีจะเป็นยังไง อีก 10 ปี คุณจะเป็นใคร แล้วก็ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น แต่เรายังรางเลือนอยู่เลย
เราเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่แรก พอมีอะไรที่เป็นโอกาสเข้ามา ก็จะลองทำสิ่งนั้น แล้วก็พบว่า โห มันสนุกว่ะ เราก็ลองทำกับมันเต็มที่แล้วมันก็ให้ผลลัพธ์บางอย่างที่ต่อเนื่องไปถึงสิ่งอื่น ดังนั้น เหมือนว่ามันไม่ได้มาจากข้างในของเราตั้งแต่แรกน่ะ แต่มันมาจากการที่คนมองเห็นเราว่า เฮ้ย เธอน่าจะทำได้นะ เธอมีพลังงานบางอยางที่สามารถคอนเนกต์กับสิ่งนี้ได้ พอได้ยินแบบนั้น เราก็ เหรอ เอาสิ ลองดู แล้วก็ทำมันมาจนถึงตอนนี้
ทีนี้ก็เลยมีขั้นตอนในระหว่างนั้นตลอด ที่เราจะเริ่มกลับมารีเช็คกับตัวเองว่านั่นใช่เราจริงๆ หรือเปล่า หรือในอีก 5 ปี เรายังเห็นตัวเองทำสิ่งนี้อยู่ไหม แล้วหลายครั้งมันก็จะได้คำตอบว่ามันยังไม่เห็นชัดขนาดนั้น เพียงแต่ปัจจุบันมันสนุกก็เลยยังทำอยู่ ส่วนที่วางแผนไว้ก็คืออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ค่ะ
Life MATTERs : อะไรเป็นจุดที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองต้องคิดถึงสเต็ปต่อไปได้แล้ว
ผ้าป่าน : มันไม่ได้เหมือนกับมีคนดีดนิ้วแล้วคิดขึ้นมาได้นะ เราว่าเราเจอหลายๆ เหตุการณ์ที่ค่อยๆ สั่งสมมา จนทำให้เราตั้งคำถามมากขึ้น เราคิดว่าสิ่งที่จะยั่งยืนในความรู้สึก คือเวลาได้ทำงานที่เป็นตัวเอง แล้วสนุกจากข้างใน ไม่ใช่แค่การตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ ซึ่งตอนนี้มันจะยังมีบางช่วงที่รู้สึกว่าใช่ไหมวะ? พอบ่อยเข้า ก็เริ่มต้องจริงจังแล้วนะว่าจะเอากับสิ่งนี้จริงๆ ไหม แล้วสิ่งที่เราเคยอยากทำ ได้ทำหรือยัง เราคิดเสมอว่าเราได้ทำอะไรที่จะทำให้ตัวเองในอนาคตไม่โอเคหรือเปล่า
เราว่าเป็นเรื่องเวลาและอายุมั้ง เราโตขึ้นด้วยแหละ เราแก่แล้ว พอพูดคำว่าแก่คนที่โตกว่าเราก็จะพูดว่ามึงยังไม่แก่ แต่เรารู้สึกว่าเราก็อายุประมาณหนึ่งที่ต้องเริ่มรับผิดชอบตัวเองแล้ว ต้องเริ่มคิดในแง่ของความเป็นผู้หญิงด้วย ว่ามันมีข้อจำกัด ทั้งที่คนบอกว่ามันไม่ได้จำกัดนะ แต่ เฮ้ย ยอมรับเหอะ ว่าสังขารเรามันจำกัด หนีไม่พ้นนะ อายุเท่านี้แล้ว ถามตัวเองก่อนว่าจะมีครอบครัวไหม จะมีลูกไหม โอเค ถ้าจะมีลูกต้องมีอายุเท่าไหร่
เราเคยคิดว่าจะไม่มีลูกเด็ดขาด แต่ โอเคถ้ามันเป็นชอยส์ที่เราต้องมีล่ะ ก็นั่งถามตัวเอง หาข้อมูล คนเราควรมีลูกไม่เกินเท่าไหร่ อ้อ ต้องมีไม่เกิน 34 ปี เพราะมันจะไม่อันตรายต่อเขาและต่อเรา ถ้าไม่เกิน 34 ปี เราก็ทำไทม์ไลน์ย้อนกลับมาว่า ปีนี้เรา 29 ปีหน้า 30 แล้วเราควรจะแต่งงานตอนอายุเท่าไหร่ หรือมีความสัมพันธ์ที่จริงจัง แล้ววางแผนจริงๆ กับมันในส่วนที่ส่งผลต่อชีวิตด้านอื่นๆ ของเราอย่างไร นี่เป็นแค่ด้านหนึ่งที่เราลองคิดน่ะนะ เพราะเรายังมีสิ่งอื่นที่อยากทำ
Life MATTERs : เหมือนว่าคุณเองได้ทำมาตั้งหลายอย่างแล้ว สิ่งที่อยากทำในอนาคตคือเรื่องอะไร
ผ้าป่าน : เราอยากไปเรียนมาก ตั้งแต่เด็กแล้ว ย้อนกลับไปตอนนั้นเราอยากไปอยู่เมืองนอกมาก ตอนที่เพื่อนเราทุกคนไป Work and Travel กัน เราก็เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ไป เพราะแม่พูดว่า ตอนนี้ก็ทำงานที่นี่อยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปทำงานที่นู่นเพื่อจะได้เที่ยว ทำไมไม่ทำงานที่นี่ เธอก็ทำเงินได้ เแล้วก็เอาเงินไปเที่ยวสิ เราก็โอเค แบบนั้นก็ได้ มันก็สมเหตุสมผล
พออย่างนั้น เราเคยออกไปเที่ยวหนึ่งเดือนเต็มๆ ไม่ทำงานเลย แต่มันไม่เหมือนกันแฮะ การไปเที่ยวเมืองนอกกับการไปทำงานแล้วใช้ชีวิตในอีกแบบหนึ่ง มันต้องให้บทเรียนที่ต่างกันแน่นอน จะได้หรือไม่ได้ประโยชน์เราไม่รู้นะ แต่เราคิดว่าอยากผ่านกระบวนการนั้น อันนี้คือสำหรับเราคนเดียวนะ เราไม่ได้พูดถึงคนอื่น เพราะโอกาสในการที่จะทำสิ่งต่างๆ ของคนเรามันต่างกัน
สำหรับเรา ก้อนนี้เป็นก้อนที่เรารู้สึกว่าอยากทำ ซึ่งเวลาผ่านก็เริ่มมองเห็นมากขึ้นว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่แค่การไปเรียน แต่คือการไปอยู่ การไปอยู่ที่ว่าอาจจะเป็นเวิร์กช็อปก็ได้ หรือเราไปทำโปรเจ็กต์ระยะยาวของเราเลยก็ได้ ยังไงก็ได้แต่ต้องทำ เพราะถ้านานไปกว่านี้แล้วเราไม่ได้ทำแน่ๆ วันหนึ่งฉันต้องถามตัวเองแน่เลยว่าทำไมตอนที่ไปได้ ถึงไม่ไป เรารู้สึกว่าไม่อยากเสียดายกับตัวเองแบบนั้น คือจะไประยะสั้นก็ได้ 6 เดือน หรือ 8 เดือน นี่ก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ซึ่งมันก็จะกระทบกับงานทั้งหมดที่ทำอยู่แน่นอน
Life MATTERs : กลัวบ้างไหม เพราะภาพข้างหน้าก็ยังค่อนข้างไม่ชัดเจน
ผ้าป่าน : ไม่กลัวเลย เพราะเรารู้จักตัวเองประมาณหนึ่ง เรารู้ว่าเราถึก เราอดทนได้ดีมาก แล้วด้วยคุณสมบัตินี้ เราไม่มีวันอดตาย พอถึงเวลาที่ไม่มีโอกาสดีๆ เข้ามา เราจะเป็นคนที่โคตรขวนขวาย ใช้เงินน้อยได้ กินน้อยมากได้ ถ้าเราจะเอาอะไรจริงๆ งานไหนที่ได้เงินน้อย เราก็สามารถทำได้ งานที่ไม่ได้เงินเราก็ทำได้ งานที่ลงแรงเยอะๆ ก็ทำได้ คือสุดท้ายแล้ว ถ้าเราไม่ได้มีโอกาสที่ดีเหมือนตอนนี้ เราก็รู้ว่า เราสามารถอดทนที่จะฝ่าฟันมันได้ เพราะฉะนั้นความกลัวมันเลยไม่มีขนาดนั้น
แต่ไม่ใช่ว่าเราไปโดยไม่มีแผนสำรองอะไรไว้เลยนะ อันนั้นคือคนโง่ โอเค ถ้าเราวางแผนแล้ว แล้วมันไม่เป็นไปตามแพลน A แพลน B หรือแพลน C เราว่าเราก็ยังยอมรับผลที่เกิดขึ้นได้ว่ะ เป็นแบบนั้นมากกว่า มันไม่ใช่ว่าฉันจะไปเสี่ยงโชคแล้วแล้วฉันพร้อมจะเสี่ยงหรือยอมรับทุกอย่าง อันนั้นเราว่ามันไม่ใช่การวางแผนชีวิตที่ดี
คือวางแผนไปเลย วางแผนในแบบที่จะเป็นไปได้ ถ้ามันเป็นไปได้มันเป็นอย่างอื่นได้ไหม ถ้าเกิดมันเป็นไปไม่ได้หมด ก็ถามตัวเองว่าจริงๆ แล้ว คนอย่างเราที่มีคุณสมบัติอย่างเรา ถ้าทำไปแล้วไม่มีอะไรเลย รับได้มั้ย ถ้ายังตอบว่ารับไม่ได้งั้นอย่าทำ ถ้ารับได้ก็ทำไปเถอะ ซึ่งตัวเรารู้สึกว่าเรารับได้ ถ้ามันจะไม่เป็นไปตามแพลนทุกอย่างของ เพราะเราว่าเราถึก นั่นน่าจะเป็นคุณสมบัติที่เป็นเราที่สุด
Life MATTERs : เวลาจะทำอะไรสักอย่างเคยมอง worse case ไหม
ผ้าป่าน : เราโคตรมอง worse case เลย ในขณะที่เจ้านายเรา (ด้วง—ดวงฤทธิ์ บุนนาค) เขาจะมองอีกแบบ เขาโคตรจะมองโลกในแง่ดี แต่เขาคือคนวางแผนที่ดีด้วยนะ อย่างเราเนี่ย ทุกคำถามที่ถามขึ้นมาทำให้รู้สึกว่า ทำไมมึงมองโลกในแง่ร้ายได้ขนาดนี้ จนเขาต้องเบรกเราว่า การมองโลกในแง่ร้ายบางครั้ง อาจจะไม่ได้สร้างสิ่งที่นอกเหนือไปกว่านี้ได้ เราก็เรียนรู้ตรงนี้นะ แต่เรายังมอง worse case อยู่ดี
เราถึงบอกว่าเราคิดไว้เลย ถ้า A B C เราไม่ได้ เรารับได้ไหม เราไม่เคยมองว่ายังไงแผน A ก็ได้แน่นอน ไม่ แต่เรามองแย่สุดจนถึง C ด้วยซ้ำ มันต้องไปถึงไม่มีอะไรเลยแล้วรับได้ไหม ไม่มีกินเราอยู่ได้ไหม กินแต่น้ำเราอยู่ได้ไหม (หัวเราะ) คือมันไม่ได้กินแต่น้ำเลยขนาดนั้นหรอก แต่คือเราไม่ใช้จ่ายเลยได้ คือจริงๆ แล้วเราเป็นคนน่าเบื่อประมาณหนึ่งนะ
Life MATTERs : ดูเหมือนคนจะไม่ค่อยเห็นภาพนี้ของคุณ
ผ้าป่าน : ใช่ คนจะไม่ค่อยเห็นภาพนี้ จริงๆ คนเรามีหลากมิติมากๆ อยู่ที่ว่าจะเลือกให้คนอื่นรู้จักเราในมุมไหน เวลาคนเห็นรูปเราก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ตอนสัมภาษณ์ก็เห็นอีกด้าน เพราะมันคือการคุยกันเรื่องแนวคิด เราเคยเจอคนส่งข้อความมาหาว่า พี่ป่าน วันๆ ทำงานหรือเปล่า เพราะเห็นลงรูปไปเช็กอินที่นั่นที่นี่ ซึ่งเราแบบ เดี๋ยวนะ นี่ติดภาพอะไรมา เราเป็นคนไม่ค่อยเช็กอินอะไรที่ไหนเลย เราไม่ค่อยลงภาพอะไรแบบนั้น
แต่เรารู้ว่าเฟซบุ๊กเราจะฉายภาพแบบหนึ่ง งานภาพถ่ายเป็นอีกด้านของเรา การที่เราสื่อสารกับคนในชีวิตประจำวันก็เป็นอีกด้านหนึ่งของเรา คนก็จะรู้สึกว่าเราโคตรมีความร่าเริง extrovert มากๆ แต่คนที่โคตรรู้จักเราก็จะบอกว่า เฮ้ย ทำไมมึงมีมุมนี้วะ ซึ่งเราว่าทุกคนมีพาร์ตนั้นในตัวหมดแหละ แค่เป็นเปอร์เซ็นต์ที่ต่างกัน เปอร์เซ็นต์คนที่เป็น introvert แบบเยอะมากๆ มันก็มี แต่ในมุมที่เขาสบายใจแล้วเขาจะแสดงออกแบบมากๆ โคตรๆ กับคนคนหนึ่งเลยก็มี
มนุษย์เราซับซ้อนเกินกว่าจะแปะป้ายเขาว่าเขาเป็นอะไรแค่ด้านเดียว การจะรู้จักหรือเข้าใจใครสักคนต้องใช้เวลามากๆ แต่ตอนนี้สังคมมองจากการเลือกนำเสนอ การอีดิตสิ่งที่จะโพสต์ เราทุกคนเป็น editor ในการพรีเซนต์ภาพลักษณ์กันหมดเลย อยู่ที่ว่าคุณจะพรีเซนต์ด้านไหนออกมาล่ะ คุณจะสื่อสารกับใคร อยากได้อะไรจากสิ่งนั้น
เราคิดว่าไม่ค่อยมีใครพูดแบบนี้ออกมาตรงๆ นะ เพราะมันดูเป็นการทำโปรดักต์ไปหน่อย แต่จริงๆ แล้วตัวเราเองก็คือโปรดักต์นั่นแหละ แล้วเราจะนำเสนอตัวเองกับลูกค้าแบบไหนล่ะ สำหรับเราแล้ว ลูกค้าในที่นี้คือลูกค้าจริงๆ รวมถึงคนทั่วไปที่เป็นลูกค้าในชีวิต พอมองแบบนี้แล้วมันโคตรการตลาดเลยเนอะ แต่ทุกคนทำแบบนั้นอยู่ ทุกคนอีดิตชีวิตตัวเอง คุณเห็นเท่านี้พอ เหมือนที่เราตั้ง privacy เวลาโพสต์อันนี้ friend เห็น อันนี้แค่กรุ๊ปนี้ที่เห็น อันนี้ only me ด้วยซ้ำ มันจะมีบางแท็กที่เราเก็บไว้ดูคนเดียว เพราะทุกคนคือ editor
Life MATTERs : คุณเองก็ถูกแปะป้ายมาในระดับหนึ่ง อยู่กับสิ่งนี้อย่างไร
ผ้าป่าน : ไม่ใช่แค่เราที่โดนแปะป้ายหรอก เราว่าทุกคนโดนแปะป้ายอยู่แล้ว ก็มีบางอันที่รู้สึกสะเทือนใจนิดนึง แต่เราก็พยายามบอกตัวเองอยู่เสมอว่า ไม่มีใครสนใจเรื่องของใครไปมากกว่าตัวเองหรอก สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องของเราว่าเราจะเอายังไงกับตัวเอง เราจะภูมิใจกับมันได้ไหม เราจะมาเสียใจทีหลังกับสิ่งที่ทำไปหรือเปล่า
พูดแบบนี้ก็ดูเหมือนคนที่เข้าใจทุกอย่างแล้วนะ แต่ว่าตอนปฏิบัติจริงๆ มันไม่ง่ายไง ก็มีอารมณ์ขึ้นเหมือนกัน แต่พอขึ้นเสร็จแล้วข้างในก็ตีกันแบบว่า อย่าขึ้นๆ อีกเสียงก็ เราจะขึ้นๆ มันทำงานแบบนั้นตลอด อยู่ที่ว่าใครจะรู้ตัวเร็ว รู้ตัวช้า อาจจะรู้ตัวหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าทำได้หรือเปล่า ถ้าเรารู้ตัวและฝึกฝนมันก็คงจะนิ่งได้มากขึ้นเรื่อยๆ เวลามีใครมาแปะป้ายหรือตีตรามั้ง คิดว่าเป็นแบบนั้นนะ
Life MATTERs : ตั้งแต่แรก คิดว่าคนอื่นมองเห็นอะไรในตัว ที่ทำให้เขาเชื่อใจว่าคุณจะทำได้แน่นอน
ผ้าป่าน : นั่นดิ เขาเห็นอะไรวะ เรานี่หน้าตาไม่น่าไว้วางใจอย่างรุนแรงเลย อันนี้เราพูดถึงแค่คนเดียวก่อน คือพี่ด้วง เขาเป็นคนที่เห็นคุณสมบัตินี้ในตัวเราที่ตอนนั้นเราก็มองไม่เห็นเหมือนกัน คือเริ่มต้นจากการที่เราออกจาก Strawberry Chessecake จากนั้นก็ให้เวลากับตัวเองไปเที่ยวนิวยอร์กเดือนหนึ่ง เดินถ่ายรูปทุกวัน พอกลับมาเราก็จัดนิทรรศการ ซึ่งพี่ด้วงก็ได้มาดูงาน ได้เจอกันตามงานบ้าง คุยกันเรื่องแนวคิด เรื่องของศิลปะ คือเราก็ไม่ได้รู้เยอะมากนะ สังเกตได้จากแกลเลอรี่ของ The Jam Factory ที่มันก็ไม่ได้แกลเลอรี่จ๋ามาก
หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นได้ มันก็มาจากตัวเราและเขาชอบสิ่งนี้ เขารู้ว่าเราสนุก คือเราเป็นคนที่ใครถามความเห็นเราจะพูดเยอะโคตร ขี้คอมเมนต์ พี่ด้วงรู้คุณสมบัติหลักๆ เราสองอันคือเราถึกและเราคาดหวังว่ามันจะดีมากกว่าที่คนอื่นคาดหวังแล้วเราจะทำให้เป็นอย่างนั้น
Life MATTERs : คุณสร้างพลังงานดีๆ ให้ตัวเองอย่างไรบ้าง
ผ้าป่าน : มันเป็นการฟังก์ชั่นเพื่อให้ทุกอย่างออกมาดีมากกว่า สมมติว่าเราจะทำงานอะไรสักอย่าง แล้วเราอยากให้มันออกมาดีมากๆ มันต้องอาศัยอะไรบ้างล่ะ เราก็เลยฟังก์ชั่นตัวเองแบบนั้น จริงๆ เราไม่รู้ว่าพลังงานดีๆ ที่ทุกคนสัมผัสได้จากเรามันคืออะไร
อย่างเช่นงาน Art Ground ฟีดแบ็คที่เราได้คือเขาบอกว่าเขาได้พลังงานที่ดีมากๆ จากเรา แต่เรารู้ว่ากระบวนการข้างในของเราคืออยากบริการทุกคน อยากให้มันราบรื่น อยากดูแลเขาให้เต็มที่ ไม่อยากให้มีอะไรสะดุด อยากให้ทุกคนที่มาที่นี่วินกันหมด ทั้งคนดู ทั้งคนจัด ทั้งคนที่มาแสดงงาน เราอยากให้ทุกคนแฮปปี้ แค่นั้นเลย เราก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ไปถึงตรงนั้น เราเลยไม่รู้ว่าที่ออกมามันคือพลังงานที่ดี คือสำหรับเรามันจะดูลุกลี้ลุกลนประมาณหนึ่งนะ
เราไม่ใช่คนที่ เฮ้ย ฉันต้องส่งพลังบวก แต่มันมาจากจุดมุ่งหมายว่าคุณจะเอาอะไร คุณจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้ยังไง ถ้าเกิดเราอยากให้งานราบรื่น ให้ทุกคนแฮปปี้ เราไม่สามารถมานั่งเครียดได้ เพราะอันนั้นไม่ได้ให้อะไรกับใครเลย แต่ว่าลับหลังก็จะไปเครียดกับตัวเองน่ะนะ ยอมรับเลยว่าวิตกจริตค่ะ รู้แหละว่ามันไม่ดี ก็พยายามแก้อยู่
Life MATTERs : เคยมีจุดที่รู้สึกว่าจัดการไม่ไหวหรือเปล่า
ผ้าป่าน : บ่อยมาก คือเราเป็นประเภทกดดันตัวเองจนสุด เราจะย้ำคิดย้ำทำ ลิสต์ทุกอย่าง ว่ามันใช่หรือยัง คิดครบถ้วนหรือยัง จนเราแก้ปัญหาทุกอย่าง คิดแผนสำรองต่างๆ เรียบร้อย ถ้าพลาดก็น่าจะเป็นฟ้าผ่าต้นไม้ล้ม หรืออะไรที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริงๆ แล้วเราถึงปล่อยวางมันได้ พอวันงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นเราอุดไว้หมดแล้ว แต่ถ้ามันจะไม่เป็นไปตามแผนก็แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ซึ่งเราว่าเรื่องนี้เราแก้ไขได้แบบไม่แย่มาก มันก็เลยจะโอเค เพียงแต่เราไม่ไว้ใจตรงนั้นขอตัวเองสักเท่าไหร่ เราเลยจะกดดันตัวเองแบบมากๆ น่ากลัวเนอะ
คืออันนี้เป็นคุณสมบัติที่ไม่ดีนะคะ เรารู้ว่ามันมาจากการที่พาร์ตนึงเราเป็นคนค่อนข้างวิตกจริต เราคิดว่าทั้งหมดนี้มันสามารถทำได้แบบที่ไม่ต้องกดดันตัวเองก็ทำได้ดีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอันนี้คือสิ่งที่เรากำลังพัฒนาตัวเองข้างใน
ซึ่งตรงนี้ก็จะลิงก์ไปกับอีกเรื่องหนึ่งที่มันใหญ่ขึ้น คือเราใช้ชีวิตในแต่ละช่วงวัย เพื่อแก้ไขคุณสมบัติที่ไม่ดีของตัวเองไปเรื่อยๆ พอยิ่งโต ยิ่งผ่านเหตุการณ์ เราก็เห็นทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีในตัวเอง ที่ไม่ดีก็แก้ไขมัน นี่คือแนวคิดในการใช้ชีวิตของเราเลยแหละ กับการที่อยู่เพื่อแก้ปัญหาข้างใน เพื่อให้มันไม่ทุกข์ทั้งกับคนอื่นและกับตัวเอง
Life MATTERs : คิดว่าผู้เสพ appreciate กับงานต่างๆ ที่คุณทำมากพอไหม
ผ้าป่าน : ตัวแกลเลอรี่เอง จะถูกรันไปในแบบที่ไม่ใช่แกลเลอรี่จ๋า แต่เป็นเหมือน public space ให้คนมานั่งร้านกาแฟ ให้คนที่มากินข้าวได้สนิทกับศิลปะมากขึ้น ซึ่งพอเราทำในมุมนี้แล้วมันเปิดกว้างมาก สำหรับเรานะ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะเทรนด์ ไม่ว่าเขาจะมาเพราะเขาแค่อยากถ่ายรูปไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าอะไร เราแฮปปี้หมด เพราะสุดท้ายแล้วเขาสนิทกับศิลปะเพิ่มขึ้น ยิ่งเขาเซลฟี่กับงานศิลปะเพิ่มมากขึ้น คนเจนต่อๆ ไปเขาจะรู้สึกเลยนะว่าการมาแกลเลอรี่คือไลฟ์สไตล์
คือเบื้องต้น การจะไปว่าคนอื่นว่าเสพแต่เปลือก มันไม่ใช่นะ คือเสพไปเลย วิธีไหนก็ได้ คุณจะเข้าใจงานก็ได้ ไม่เข้าใจก็ได้ เพราะตัวเราเองก็ไม่ได้เข้าใจทุกงาน แต่ว่าอาจจะมีอะไรที่มันเชื่อมโยงกับเราได้แล้วเราชอบ หรือจะไม่ชอบก็ได้ มันไม่มีอะไรบังคับเลย คนอาจจะเข้ามาแบบว่า อ่อ นี่แกลเลอรี่นะ นี่งานของศิลปิน ศิลปินคนไหนไม่รู้หรอก ไม่ได้สนใจ เซลฟี่กันดีกว่า จบ แต่พอแชร์ภาพออกไป คนก็จะเห็นว่าที่นี่มันมีงานศิลปะ น่าไปว่ะ แล้วพอมาดูเขาอาจจะชอบมันขึ้นมาก็ได้
มันไม่ใช่ว่าอาร์ตคือของสูง ต้องเข้าใจ ต้องถึงแก่น ถึงจะซาบซึ้งกับมันได้ การจะมาแบ่งแยกสังคมมันห่วยนะ นั่นมันโลกโคตรเก่า มันไม่ต้องสูงส่งอะไรขนาดนั้นหรอก การที่ทุกคนเข้าถึงสิ่งนี้ได้มันพัฒนาวงการกว่าไหม
Life MATTERs : แล้วสำหรับงานอีเวนท์ต่างๆ อย่างเช่น Art Ground หรือ The Knack Market ล่ะ
ผ้าป่าน : The Knack Market กลุ่มเป้าหมายก็จะเป็นครอบครัวมาเลย ลูกๆ ก็เข้ามาดูงาน ซึ่งบางอันมันเป็นภาพแบบกึ่งโป๊ด้วย แม่เขาก็จะเข้าไปอธิบายได้แบบชิลล์มาก คือสถานที่ตรงนี้คนจะหลากหลายนะ ทัวร์จีนก็มาลง ปีนนู่นนี่นั่นถ่ายรูป คือเราขอแค่อย่าแตะต้องผลงาน นอกนั้นคุณจะพรีเซนต์อะไรยังไงก็เอาเลย เต็มที่
ส่วนอาร์ตกราวด์ คนเยอะค่ะ หลากหลายแบบ และจะมาด้วยอะไรก็ตาม แต่มันเป็นพลังงานที่โคตรดี อย่างศิลปินที่มาแสดงงานที่เราได้คุย เขาได้รับกลับไปมากกว่าที่เขาให้อีก ศิลปินรุ่นพี่กับรุ่นน้องก็ได้เชื่อมต่อกันไปเลย ศิลปินที่เป็นรุ่นเด็กเขาก็ได้เอางานไปปรึกษาศิลปินใหญ่ๆ ที่มาด้วย บางคนไปคุยกับพี่ปอม ชาน (Pomme Chan) ซึ่งพี่ปอมก็ให้คำแนะนำเต็มที่มาก เพราะพี่เขาอินกับศิลปินรุ่นใหม่ มันเป็นคอนเน็คชั่นที่ดี บางคนอาจจะร่วมงานกันหรือทำอะไรต่อเนื่องไปเลย
ศิลปินทุกคนน่ารักมาก พร้อมจะให้โคตรๆ ใครเข้ามานั่งคุย เขาพร้อมจะคุยมาก แล้วเขาได้ผลตอบรับที่มันไม่ใช่แค่เงินหรือการขาย มีศิลปินคนนึงจากอาร์ตกราวด์ครั้งแรก บอกเราว่าเขาไม่เคยขายงานเลย ทำงานคนเดียวอยู่เชียงใหม่ เราก็ชวนเขามา ปรากฎว่าเขาขายงานชิ้นแรกได้ว่ะ เป็นเฟรมผ้าใบ ราคาเป็นหมื่น จ่ายเงินสด พูดแล้วเขาขนลุก น้ำตาจะไหล
เขาบอกว่าเพิ่งรู้วันนี้แหละ ว่าเขาไม่ได้บ้าไปอยู่คนเดียว ไม่ได้หลงตัวเอง มีคนชอบงานเขา ทำให้เขาสามารถทำสิ่งนี้ต่อไปได้ บางคนก็มี collector เป็นของตัวเองไปเลย จากการมาตลาดนัด เราเลยเรียกเป็นภาษาไทยว่าตลาดนัดงานศิลปะ คือมันเป็นที่ที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ด้วยกันได้ ซึ่งอันนี้เราจะลิสต์ไว้ว่าเป็นความภูมิใจของสิริมา
Life MATTERs : แล้วจะเสียดายไหม เมื่อมาพบว่าวันหนึ่งอยากไปทำอย่างอื่น
ผ้าป่าน : ตอนนี้ก็รู้สึกแบบนั้นไง (หัวเราะ) หมายถึงว่าเราจะจัดอาร์ตกราวด์ครั้งที่ 3 ขึ้นอีกแหละ แต่ว่ามันก็จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและแฮปปี้แล้ว คือตอนนี้เราเล่าแล้วเราก็ยังแฮปปี้ แต่มันไม่ใช่อนาคตเราอยู่ดี เรายังรักการถ่ายรูปอยู่ ซึ่งพอเราทุ่มเทกับการจัดงาน กับการทำนิตยสาร กลายเป็นว่าเราไม่ได้ให้เวลากับการถ่ายรูป ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยตั้งคำถามกับมันเลย เราอยู่กับมันมา 4-5 ปีแล้ว แต่ไม่เคยรู้สึกเลยว่าการถ่ายรูปจะไม่ใช่เรา
แต่สุดท้ายมันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นเราก็ไม่รู้นะ มันก็อาจจะเปลี่ยนไปเลย เราเป็นคนทำอะไรก็ได้ สมมติให้เราทำอะไรสักอย่าง เช่นให้เราทำสปาเก็ตตี้ เจอกันอีกอาทิตย์นึงเราจะทำสปาเก็ตตี้ให้กินทุกแบบเลย แต่ในระหว่างนั้น เราจะไปทรมานตัวเองนะ เหมือนเป็นคนที่พอมีมิชชั่นจากคนอื่นแล้วจะต้องทำให้ได้มั้ง ไม่รู้เหมือนกัน
แต่พอมีมิชชั่นที่ตั้งให้กับตัวเองเลยต้องคิดเยอะ กรองเยอะหน่อย เราก็ยังเป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นอายุ 24-25 ที่ยังถามตัวเองอยู่ว่า ฉันอยากเป็นอะไรวะ เราคิดว่าตรงนี้น่าจะติดมาจากการที่เราเป็นเด็กไทยด้วยป่ะ? ไม่อยากโทษสิ่งนี้เลย แต่เรารู้สึกว่ามันแคบมากกับการที่โตไป ฉันต้องทำอาชีพนั้น อาชีพนี้เฉพาะไปเลย แต่โลกยุคนี้มันไม่ใช่แล้ว มันมีคนที่ทำหน้าที่กอดคนอื่นแล้วก็เป็นอาชีพได้ อยู่ดีๆ โลกเราก็มีอาชีพหลายอย่างผุดขึ้นมา แล้วเราก็ได้ค้นหามันจริงๆ ว่าข้างในเราอยากทำอะไร
สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นหนึ่งในกระบวนการตามหาสิ่งนั้นเพื่อที่จะรู้ว่าฉันอยากทำอะไร ณ ตอนนี้ เราว่าเราเป็นเป็ดว่ะ แต่เราหวังว่าวันหนึ่งจะสามารถรวมสกิลแต่ละอย่างเข้าด้วยกัน และเราจะอยู่กับสิ่งนั้นไปตลอดชีวิต เราไม่ได้ตามหาว่าเราจะเป็นอาชีพอะไร แต่เราตามหาว่าคุณสมบัติของเราทั้งหมดมันสามารถรวมกันแล้วกลายเป็นอะไรได้ ความเป็นเป็ดของเรามันต้องมีประโยชน์ดิวะ
Life MATTERs : สกิลจากการทำ Strawberry Cheesecake นั้นถูกหมายรวมด้วยใช่ไหม
ผ้าป่าน : ทำไมเราจะต้องเอาส่วนนั้นที่เป็นเรามาใช้ไม่ได้ คนอาจมองว่า ว้าย แบ๊ว สตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก แต่ไม่ เวลา 5 ปีนั้นที่คนอื่นเขาใช้ในการทำสิ่งอื่นจนเก่ง แล้วเอาสกิลนั้นมาใช้จนเกิดประโยชน์ ดังนั้น 5 ปีของเรา เราจะใช้ประโยชน์จากมัน เพราะนั่นคือเวลาที่เราเสียไป ทั้งหมดนั้นมันหล่อหลอมตัวเราหมดเลย จะปฏิเสธตัวตนได้ยังไง
เราบอกอยู่แล้วว่าคนเรามันมีหลายมิติ อยากเอาภาพไหนให้ใครดู อยากได้เป้าหมายอะไร อย่าปฏิเสธตัวเอง มีคนมาบอกว่าเราว่าก็แค่ใช้หน้าตา โอเค ขอบคุณค่ะ แล้วไงต่อ เขาจะไปตัดสินที่งานเราก็ได้ ที่หน้าตาเราก็ได้ แต่ตัวเราเอง เรารู้ดีว่าเราได้อะไร
Life MATTERs : คุณเคยคิดเรื่องความตายไหม
ผ้าป่าน : คิดสิ เราเคยคุยกับพี่ด้วงว่าถ้าทำงานไปถึงจุดนึงก็ต้องบวชนะ พี่ด้วงบอก เดี๋ยวๆ มึงยังไม่แก่ไม่ต้องปลง แต่คือมันไม่ใช่ปลงสำหรับเรา เราคิดกับชีวิตแบบนี้ไง เราถึงบอกว่าเราเป็นคนแก่ๆ ที่น่าเบื่อตั้งแต่ยังเด็ก เรามองว่าต้องตาย แต่การตายไปสำหรับเราคือต้องไม่เป็นภาระกับคนอื่น
เช่นเราเป็นคนอารมณ์ร้อนใช่ไหม เราจะมีความเลวร้ายในพาร์ตนั้นของเรา สมมติเราทะเลาะกับคนนี้เราก็จะไม่ได้คุยกับเขาเลย มันจะมีบรรยากาศที่แปลกๆ ระหว่างกัน แต่วันดีคืนดีเราก็จะโทรไปหาเขา คือผู้ชายจะมีการลาบวช ขออโหสิกรรมใช่ไหม แต่ผู้หญิงไม่มีไง เราไม่รอบวชด้วย เราทำเลย ส่งไปเลยว่าขออโหสิกรรมให้กันและกันนะ
เราไม่ได้คิดว่าผิดหรือถูก แค่รู้สึกว่าเวลามันสั้นมาก ถ้าฉันตายไป ฉันจะยังลบกับเขาอยู่ใช่ไหม เราไม่อยากตายไปแบบนั้น คือเขาอาจจะยังโกรธเราอยู่ก็ได้ หรือเขาอาจจะรู้สึกว่าไม่น่าโกรธกันเลยก็ได้ แต่โอเค เขาไม่ทำอะไรก็ไม่เป็นไร เราทำเอง คือเราไม่อยากมีจุดอะไรในใจเรา ไม่ได้มีความแค้น ไม่ได้มีความโกรธ ไม่ได้มีอะไรกับใครและกับตัวเองเลย
Life MATTERs : เซอร์ไพรส์เหมือนกันนะที่คุณมีพาร์ตนี้
ผ้าป่าน : คือคุยเรื่องความตายแล้วอินมาก แต่ยังไม่ถึงขั้นเจริญอานาปานสตินะ แค่พยายามจัดการตัวเองในทุกวัน ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่มันจะโอเค เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่วนเวียนอยู่ในหัวเราตอนนี้มั้ง ความตาย การเป็นคนที่ดีขึ้น การที่รู้ว่าเป้าหมายจริงๆ คืออะไร
งานเป็นแค่ส่วนประกอบเดียวของเราที่ทำให้รู้สึกว่าเรามีคุณค่า แต่ยังมีวิธีอื่นอีกเยอะแยะมากมายที่จะทำให้รู้ว่าเรามีคุณค่า ซึ่งเราถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองเยอะมาก …ป่าน งานไม่ใช่อย่างเดียวที่แกรู้สึกแกเป็นประโยชน์นะเว้ย อย่างปีหนึ่งเราจะไปเที่ยวเดือนนึงเต็มๆ แล้วไม่ทำงานเลย มันก็จะมีช่วง 10 วันแรกที่จะรู้สึกเครียด แล้วก็นอยด์ พอไม่ได้ทำงานเรารู้สึกผิดไง แต่ก็จะมีอารมณ์แย้งตัวเองว่าไม่ได้ๆ กูจะพัก เหมือนเราไม่ค่อยให้โอกาสตัวเองในการรีแลกซ์มั้ง
คนอาจจะรู้สึกว่าคุณแม่งมีเงินอยู่แล้ว จะทำอะไรก็ง่าย แต่ขอโทษค่ะ ไม่ใช่นะ คือที่บ้านเราจะมีความกดดันมาก ว่าแม่ทุ่มเททำงานเพื่อเลี้ยงลูก ดังนั้นทุกคนจะต้องฟังก์ชั่นเป๊ะ เราเองทำงานมาตั้งแต่อายุ 14 จนแทบจะไม่มีเพื่อนเลย เสาร์-อาทิตย์ก็วิ่งแคสต์งาน ถ่ายงาน เราโตมากับการทำงานจริงๆ และไม่เคยหยุดเลยจนถึงตอนนี้
เพราะฉะนั้น ภาพที่คนอื่นเห็นคือส่วนหนึ่งที่เราอีดิตชีวิตตัวเอง แต่ว่าเบื้องหลัง ทุกคนนะ กว่าจะมายืนในจุดที่เป็นแรงบันดาลใจ เป็นไอดอล ทุกคนผ่านความยากลำบากมาทั้งนั้น ซึ่งเราอยากให้คนเห็นในด้านนี้ เพราะไม่งั้นทุกคนจะคิดว่าระหว่างทางมันง่าย จริงๆ มันไม่ง่าย มันทุกข์ ต้องฝ่าฟัน มันเจอสิ่งที่เลวร้าย เขาแค่ไม่ยอมแพ้
เราเคยอยู่ในจุดที่ปากกัดตีนถีบ บางคนคิดว่าบ้านรวยก็ต้องได้อยู่แล้ว ไม่ใช่เว้ย เขาแค่คิดว่าเขาต้องทำ เพื่อที่จะไปถึงตรงนั้น พอเราทำมาจนถึงจุดที่สามารถหยุดงานเดือนหนึ่งเพื่อไปเมืองนอก นั่นคือเงินเราทั้งหมดเลยนะ ไม่ได้หมายความพ่อแม่เราจ่ายให้ รถก็ซื้อเอง ตอนเรียนก็ได้ทุนแล้วก็ออกค่าเรียนที่เหลือเอง คือทุกอย่างมันมีสิ่งที่ต้องจ่าย ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ แค่ทุกคนเห็นภาพตอนจบแล้วและคิดว่ามันง่าย สบาย แต่ทุกคนควรรู้ว่าราคาที่เขาจ่ายไปมันคือเท่าไหร่ คุณเองอยากได้ของ คุณได้จ่ายหรือเปล่า
Photos by Adidet Chaiwattanakul