เรารู้จัก เต้—ภาวิต พิเชียรรังสรรค์ ครั้งแรกอย่างเรียบง่ายจากตัวการ์ตูนลายเส้นดิบ บนแขนของเพื่อน
เป็นเรื่องน่าชื่นใจที่ศิลปินสักคนจะมีคนชื่นชมงานจนเอาไปทำรอยสักซึ่งจะปรากฏเป็นส่วนหนึ่งบนร่างกายของเขาไปตลอด และน่าชื่นใจกว่าที่นอกเหนือจากเพื่อนของเรา ยังมีอีกหลายคนที่ใช้ร่างกายเป็นแกลเลอรีให้งานของเขาอย่างเต็มอกเต็มใจ
รอยสักเหล่านั้นพาเราไปรู้จักกับงานอื่นของเต้ที่ล้วนทำให้เราตกหลุมรัก ทั้งการ์ตูนลายเส้นดิบที่บางครั้งก็ถึงกับยุ่งเหยิง งานเพนติ้งสาดสีสันแต่ยังไม่พ้นความสดและดิบจากเม็ดสีที่ไหลย้อยลงเป็นทาง คอมิกแบบไม่เน้นเรื่องราว งานสกรีนพริ้นต์หน้าตาสดใส หรือ zine หลายเล่มของเขาที่วางขายที่ Bangkok Art Book Fair และ Art Book Fair ในดินแดนอื่นๆ อย่างญี่ปุ่น และไต้หวัน งานของเต้และโปรไฟล์ของเขายังปรากฏอยู่บนเว็บไซต์เกี่ยวกับศิลปะ it’s nice that ช่วยยืนยันว่าตัวเขาได้รับการยอมรับในระดับอินเตอร์ฯ ไปเรียบร้อย
ผลงานส่วนมากของเต้ล้วนดูคล้ายเด็กวาดรูปเล่น หลายคนจึงบอกว่างานของเขามีทั้งความใสซื่อ (naive) แต่ซุกความนัยไว้มากมายภายใต้ลายเส้นเหล่านั้น ก่อนเราจะค้นพบจากการคุยกับเขาว่าภายใต้งานศิลปะที่คนวิเคราะห์ตีความกันอย่างหลากหลาย นั้นพลุ่งพล่านไปด้วยความสนุกในการได้สร้างงาน และสำรวจโลกศิลปะแบบไม่รู้จบ
ที่สำคัญ แม้จะไปเรียนและใช้ชีวิตที่นิวซีแลนด์และออสเตรเลียอยู่ถึง 7 ปี แต่เต้ย้ำกับเราเสมอว่างานศิลปะ ทำที่ไหนก็เหมือนกัน แค่เพียงตั้งใจทำงานแล้วจะมีคนเห็นเอง เราฟังแล้วได้แต่พยักหน้าตามด้วยเชื่อว่า ไม่ว่าเต้จะไปสร้างงานอยู่ที่ดินแดนแห่งไหน งานของเขาก็ยังจะมีสเน่ห์ดึงดูดจนเราต้องชวนเขามานั่งคุยกันยาวๆ อยู่ดี
Life MATTERs : จุดเริ่มต้นในการทำงานศิลปะของคุณคืออะไร
เต้ : ชอบครับ จริงๆ เราเรียนกราฟิกดีไซน์ แต่ว่าเป็นคนชอบศิลปะอยู่แล้ว แต่ก็ไปเลือกเรียนดีไซน์ไม่ได้เรียนไฟน์อาร์ต พอเรียนก็รู้สึกว่าไม่ค่อยชอบงานดีไซน์เท่าไหร่ ช่วงเรียนก็เลยเริ่มทำงานศิลปะ
เรื่องส่วนใหญ่มันจะเกิดตอนเรียนที่เมลเบิร์นช่วงประมาณปีสอง เรารู้สึกหดหู่ ท้อถอยกับมหาลัยมาก แล้วเรามีกลุ่มเพื่อนที่ทำพวกสตรีทอาร์ต กราฟิตี้ ก็เลยไปเพนต์สตรีทอาร์ต เพนต์กำแพงที่เมลเบิร์น จริงๆ ช่วงนั้นขอแม่เลยว่าไม่เรียนแล้วได้มั้ย จะเปลี่ยนไปเรียนไฟน์อาร์ตได้มั้ย แม่ก็เลยบอกว่าเรียนให้จบๆ ไปก่อนเพราะมันมาครึ่งทางแล้ว แล้วอยากเรียนอะไรต่อก็ค่อยว่ากัน
แต่เราก็รู้สึกว่าเราเสียค่าเทอมไปเยอะ ไม่อยากเสียเวลาไปเปล่าๆ ก็เลยตั้งใจทำงานศิลปะตั้งแต่ตอนนั้น จะวาดรูปเยอะๆ แล้วก็โพสต์ลงอินสตาแกรมเป็นพอร์ตให้คนเห็น เหมือนตอนนั้นคิดไปเองว่านี่จะเป็นทางให้คนเห็นว่าเราทำอะไรอยู่ ให้คนรู้ว่าเราทำอะไร แล้วก็ทำสตรีทอาร์ตคู่ไปด้วย
Life MATTERs : งานของคุณมีสไตล์อย่างทุกวันนี้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยมั้ย
เต้ : ไม่เชิงนะ มันมีการพัฒนาไปเยอะมากเหมือนกัน แต่เหมือนจะมีคาแรคเตอร์ตัวนี้ที่เราใช้เป็นเหมือนโลโก้ เป็นลายเซ็นของตัวเอง ช่วงนั้นเราชอบแนวสตรีทมากเลย แล้วเวลาคนทำสตรีทอาร์ตเขาจะมีลายเซ็นของตัวเอง พอเพนต์ปุ๊บจะรู้ว่าเป็นงานของคนนี้ ทุกคนจะมีคาแรคเตอร์เฉพาะตัว เราก็เลยทำคาแรคเตอร์นี้ขึ้นมา
เราโชคดีที่ได้เจอเพื่อนในกลุ่มเป็นเด็กรุ่นเดียวกันที่อยากจะเป็นศิลปินหรืออยากทำงานศิลปะ เราเลยมีแรงผลักดันจากคนรอบข้างตลอด ส่งแรงผลักดันต่อกันไปเรื่อยๆ ทุกคนก็ทำแบรนด์เสื้อผ้า ทำ exhibition เล็กๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่มาก ทำด้วยกันสนุกๆ
Life MATTERs :อย่างที่บอกว่าคุณสร้างอินสตาแกรมขึ้นมาเป็นพอร์ตเก็บผลงาน คุณได้งานจากอินสตาแกรมเป็นชิ้นไหน
เต้ : ก็มีแบรนด์เล็กๆ ทักมาชวนไปร่วมงาน อย่างมีแบรนด์ patch สำหรับแปะเสื้อ ช่วงนั้นเขาทำโปรเจกต์ collaborate กับศิลปินหลายๆ คนในเมลเบิร์น เขาก็เลือกเรา เราก็ได้ทำ patch ออกมา เหมือนเป็นงานชิ้นแรกที่เป็นชิ้นเป็นอัน พอปล่อยออกมาก็เริ่มมีคนรู้จักในกลุ่มเล็กๆ
Life MATTERs : การได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันออกมาสร้างความมั่นใจให้คนที่ไม่ได้เรียนไฟน์อาร์ตอย่างคุณหรือเปล่า
เต้ : มันก็ตื่นเต้นนะตอนนั้น คือตอนทำก็กลัวแหละว่าจะมีคนซื้อมั้ย ปรากฏว่ามันก็ขายหมดเราเลยรู้สึกมั่นใจขึ้น ได้เงินนิดๆ หน่อยแต่รู้สึกว่ามันมีคนเอาเงินมาซื้องานเราอะ! ถึงแม้ว่ามันจะนิดๆ หน่อยๆ ไม่แพงมาก แต่เราก็มั่นใจว่าเราจะทำอะไรแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
จากนั้นก็มีวงดนตรีเป็นแรปเปอร์เด็กๆ อายุ 17-18 ทักมาบอกว่าออกแบบปกอัลบั้มให้หน่อย จะให้เงินประมาณ 4000-5000 บาท เป็นงานฟรีแลนซ์แรกที่มีคนมาจ้าง เขาทักมาทางอินสตาแกรมนี่แหละ เราก็ออกแบบปกให้วงไปสามวง
Life MATTERs : ตั้งแต่เริ่มทำงานมา จุดไหนที่คุณรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มากๆ
เต้ : ก็น่าจะเป็นตอนได้ลง It’s nice that (หัวเราะ) คือเราติดตามเว็บนี้อยู่แล้ว แล้วเราก็ชอบงานที่เขาเอามาโพสต์มาก เขาดูยิ่งใหญ่ พอตอนนั้นเขาอีเมลมาเราก็ดีใจมากเลย ก็ไม่คิดด้วยว่าเขาจะอีเมลมา คือเขาเห็นในอินสตาแกรมแหละ โลกออนไลน์ก็คงมีประโยชน์ตรงนี้ (หัวเราะ)
Life MATTERs : แล้วอย่างที่มีคนเอางานของคุณไปสัก คุณรู้สึกยังไง
เต้ : โห ตอนแรกไม่อยากจะเชื่อว่างานเราจะไปอยู่บนเนื้อใครสักคนที่ชอบงานเรามาก แปลกดี (หัวเราะ) แบบ เฮ้ย มีคนเอางานเราไปอยู่บนเนื้อเขาตลอดชีวิต บางคนก็เป็นรอยแรกของเขา ไม่อยากจะคิดมากเกินไปว่าสักวันหนึ่งถ้าเขาเกลียดเราขึ้นมาแล้วจะทำยังไง แต่ก็ช่างมัน เราไม่ค่อยคิดถึงอนาคตสักเท่าไหร่ คิดถึงปัจจุบันมากกว่า
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่จัด exhibition ที่ Speedy Grandma แล้วมีพี่คนหนึ่งที่รู้จักกันเขาเป็นช่างสัก พี่ลี (อัญชลี อนันตวัฒน์ แห่ง Speedy Grandma) ก็บอกว่าอีเวนต์เรามาทำอะไรสนุกๆ กันดีมั้ย มีเพื่อนเป็นช่างสักพอดี จะได้มีอะไรทำในงาน พอประกาศว่ามีสักปุ๊บ เออ มีคนมาสักว่ะ (หัวเราะ)
Life MATTERs : ในกระบวนการทำงานของคุณ ส่วนมากคุณมักได้แรงบันดาลใจจากอะไร
เต้ : น่าจะหลายอย่าง อย่างงานชิ้นนั้นเราก็ฟังเพลง เราชอบฟังเพลงอยู่แล้วก็เอาเรฟเฟอเรนซ์มาจากเพลง เนื้อเพลง หรือว่ามู้ดของเพลง บางทีเหมือนเราฟังแล้วเราก็จินตนาการ แล้วก็วาดออกมาเป็นภาพ ถ้าเป็นสมัยก่อนจะชอบทำแบบนั้น เดี๋ยวนี้ก็สเก็ตช์อะไรมั่วๆ ขึ้นมาแล้วก็เอามาคอลลาจกันบ้าง แต่ว่าส่วนใหญ่ก็เป็นเพลง หรือไม่ก็เปิดหนังสือ เห็นประโยคสักประโยคบางทีมันก็คลิก เป็นประโยคเล็กๆ เหมือนเนื้อเพลง
นอกจากเพลงก็มี หนัง อะไรอย่างนี้ ทุกอย่างเลย ทุกอย่างจริงๆ นั่งคุยกัน ขับรถ เห็นคนทะเลาะกัน ทุกอย่างจริงๆ เราเปิดกว้าง ได้หมดทุกอย่างรอบตัว บางทีเราไปดูหนังมาแล้วก็รู้สึกอยากทำงาน อยากกลับบ้านไปทำงาน ตื่นเต้น ก็ทำๆๆๆ เลย จะออกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ถ้านั่งอยู่บ้านแล้วคิดว่าวันนี้เราจะทำอะไรดีวะมันจะไม่ค่อยเกิดไอเดียอะไรเท่าไหร่ จะ stuck มาก ต้องออกไปนอกบ้านดูนั่นดูนี่ คันไม้คันมือกลับมา
Life MATTERs : แล้วอย่าง zine ที่ทำไปขายในงาน Bangkok Art Book Fair เล่มนี้คุณมีแรงบันดาลใจจากอะไร
เต้ : เล่มนี้เราใช้เวลาคืนเดียวทำทั้งเล่มเลย ไอเดียของเราคือเราจะวาดรูปให้เยอะที่สุดภายในเวลาจำกัด เราจะได้เห็นว่าไอเดียของเราจะแตกต่างไปขนาดไหนตั้งแต่ตอนเริ่มวาดจนถึงตอนจบ ซึ่งเราก็ไปนั่งเล่นกับเพื่อนๆ ในสามที่แล้วก็ document สิ่งที่มันเกิดขึ้น และวาดเป็นรูปออกมา มันเป็นไอเดียของหนังสือเราที่จะวาดเยอะๆ ภายในหนึ่งวัน ตอนหลังๆ เราเริ่มง่วง เส้นก็จะมั่วซั่วขึ้น
อย่างรูปนี้ (รูปหนึ่งในเล่ม) เรานั่งกันอยู่ในห้องแล้วเพื่อนเราคนหนึ่งมันบอกว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า พอคุยกันเรื่องคอนโด มันก็พูดขึ้นมาว่ากูคงอยู่คอนโดไม่ได้ ถ้าอยู่กูคงโดดตึกตายก็เลยวาดเป็นรูปนี้ขึ้นมาเป็นรูปคนนั่งอยู่บนตึกสูง บางอันมันก็มาจาก เราเห็นคนใส่หมวกก็วาดที่แขวนหมวก หรือมีคนมาจับหัว หรืออันนี้เพื่อนเรามันชอบมาสะกิดข้างๆ เราก็วาด มันมาจากทุกอย่างเลย เราพยายามจะเปิดรับทุกอย่าง อย่างรูปนี้เป็นตอนนั่งมองที่จอดรถอยู่ เพื่อนเราดูดบุหรี่มั้ง เราเห็นแล้วเราก็จินตนาการเพิ่มไปอีก
Life MATTERs : การเป็นศิลปินในไทยที่อยู่ได้ด้วยการขายงานมันยากหรือเปล่า
เต้ : ครั้งแรกที่เราได้ลองขายเพนติ้งจริงๆ คือที่ Hotel Art Fair ซึ่งงานนั้นมันไม่ค่อยใช่ exhibition ด้วย มันออกแนวให้ศิลปินเอางานวาดเล่นๆ ไปขายเราก็เลยลองวาดแล้วเอาไปขายดู ปรากฏว่ามันก็ขายดี
เราว่าคนไทยก็ซื้องานกันนะ ที่ผ่านมามันก็โอเคสำหรับเรา คือเราเคยจัด exhibition แรกที่เราขายของด้วยที่ Jam cafe เราวาดรูปแผ่นเล็กๆ แล้วก็เอาไปแปะบนกำแพงเยอะมาก ราคาชิ้นละ 300-3000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ค่อนข้างถูก คนก็เลยซื้อเยอะในราคาที่ถูก ช่วงนั้นก็เลยได้เงิน ระหว่างนั้นก็มีงานฟรีแลนซ์เข้ามา เออ มันก็ขายได้ (หัวเราะ) ถ้าตอบว่ายากมั้ย ก็คงไม่ยากหรอกมั้ง ถ้าเราตั้งใจทำงานจริงๆ
คนดูงานกับคนซื้องานเราว่าเป็นคนละประเภทกันเลย คนซื้อก็จะเป็นแบบหนึ่ง เป็นนักสะสม แต่ตอนที่ขายราคา 300-3000 นั่นจะเป็นอีกกลุ่ม เป็นกลุ่มทั่วไป คือภายในเวลาหนึ่งปีเรารู้สึกว่าเราข้ามเสต็ปเร็วเหมือนกันจนเราก็ไม่ได้ตั้งตัวว่ามันจะเร็วขนาดนี้ โดนสัมภาษณ์อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) เหมือนเราเพิ่งเริ่มทำงานมาสองสามปี เราไม่ได้คาดหวังเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราทำงานเยอะหรือเปล่า หรือเราตั้งใจทำงานจริงๆ ตอนแรกก็กะว่าสักสิบปีมั้งกว่าจะมีคนซื้องาน เราก็พัฒนาไปเรื่อยๆ แต่มันก็มีคนมาสนใจ เห็นเราตั้งแต่ตอนนี้เลย ก็ไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไร
Life MATTERs : พอไม่ได้คาดหวังเรื่องชื่อเสียง เวลาทำงานคุณคาดหวังอะไร
เต้ : เวลาเราทำงานเราจะทำด้วยความสนุก อยากจะเอนจอยกับมันให้มากที่สุด คาดหวังแค่ว่าเราจะต้องแฮปปี้กับมัน กับชิ้นนี้ที่กำลังทำ เราคิดว่าพอมันเสร็จปุ๊บ คนที่ judge ก็น่าจะเป็นคนอื่นแล้วไม่ใช่เรา ตอนแรกๆ ที่วาดรูป เรายังเด็กไม่รู้อะไร ก็วาดไปตามที่ตัวเองพอใจ ไม่ต้องสนว่าวาดเพื่อให้ใครชอบหรืออะไร วาดให้ตัวเองสนุก ช่วงนั้นมันก็เป็นเหมือนกิจกรรมนี่แหละ ชอบวาดก็วาดเยอะๆ แล้วก็โชว์ให้คนเห็น แค่คนเห็นเยอะๆ ก็ดีใจแล้ว
Life MATTERs : คุณทำงานด้วยความสนุกแล้วเคยจบด้วยการไม่ชอบงานของตัวเองหรือเปล่า
เต้ : ไม่มี เราคิดว่ามันเป็นความคิดด้านลบ เราคิดว่าเราทำงานออกไปเราไม่ควรจะไป judge มัน ปล่อยให้คนอื่น judge ดีกว่า คือเราตัดสินใจเราไปตอนแรกแล้วว่าเราจะทำ แล้วชั่วขณะที่เราทำเราก็ judge มันเรื่อยๆ ว่าจะออกมาดีหรือไม่ดี หลังจากนั้นเราก็ปล่อยไป อยู่ที่คนอื่นมอง ถ้าเสร็จแล้วสำหรับเราก็ช่างมัน ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละให้คนมาดู ไม่อยากจะไปหมกมุ่นกับงานที่ตัวเองทำแล้วผ่านไปแล้ว ทำงานใหม่ขึ้นมาดีกว่า
Life MATTERs : ทำงานมาสักระยะ คุณได้รับฟีดแบ็กเกี่ยวกับงานของตัวเองยังไงบ้าง
เต้ : คนมักจะบอกว่าดิบ บางคนก็จะพูดแนวจิตวิทยานิดหนึ่งว่ามันสื่อความหมายได้ มีความอินโนเซนส์ จะะมีอยู่สองประเภทนี่แหละคือที่ดูลึกเรื่องจิตวิทยา กับคนที่ดูแค่ความดิบของลายเส้น แบบเรากล้าทำได้ยังไงวะ
Life MATTERs : ซึ่งจริงๆ แล้วงานของคุณแฝงความหมายไว้จริงมั้ย
เต้ : เราไม่รู้เว้ย ตอนแรกเราไม่รู้เรื่องเลยจนมีคนพูดเราก็บอกว่า เฮ้ย เราไม่เคยคิดถึงตรงนั้นเลย อย่างง่ายๆ เรื่องดอกไม้ มีคนทักเราบ่อยมากว่าทำไมถึงชอบวาดดอกไม้ เมื่อก่อนเราก็จะบอกว่าเราไม่รู้ ก็แค่ชอบ จนกระทั่งมีพี่คนหนึ่งมาบ้านเราแล้วสังเกตว่าดอกไม้เต็มบ้านเลย เราก็มอง เฮ้ย เออว่ะ บ้านเรามีดอกไม้เต็มบ้านไปหมดเลยจริงๆ ด้วย ซึ่งตอนแรกก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงวาดดอกไม้วะจนมีคนมาดู ซึ่งแต่ละคนก็ตีความแตกต่างกันออกไป เราก็คิดว่าอยู่ที่คนดูมั้ง คิดว่าแต่ละคนก็ดูไม่เหมือนกันหรอก ศิลปินแต่ละคนก็ทำงาน ก็คิดไม่เหมือนกัน คงไม่มีอะไรที่มันตายตัวจริงๆ ว่าจะต้องดูยังไงหรือแปลความยังไง
Life MATTERs : อย่างนี้เวลาสร้างงานแต่ละครั้งคุณคิดถึงอะไรบ้าง
เต้ : เรื่องเทคนิคก็มี แบบช่วงนี้อยากวาดแคนวาสว่ะ แต่ถ้าเกิดคิดเป็นโปรเจกต์ก็คงมีเรฟเฟอเรนซ์ด้วย แบบเห็นอะไรมาแล้วอยากทำ เช่น คนนี้วาดบนกระดาษเราก็อยากวาดลงกระดาษ มีคนเอากล่องลังกระดาษมาต่อกัน เราลองทำอะไรคล้ายๆ อย่างนั้นบ้างดีมั้ย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเห็นรูปคนเอาลังกระดาษมาต่อๆ กันแล้วเราไปก๊อปมาเลย มันคือการเห็นคนเอา found object มาทำ เราก็ลองหา found object มาทำบ้าง อาจจะเป็นรองเท้าเก่า หรือของใช้ที่จะทิ้งแล้ว เหมือนมันเป็นอะไรที่ต่อยอดมาจากสิ่งที่เห็นอีกที หรือบางคนอาจจะวาดบนกระดาษสี งั้นเราก็วาดบนกระดาษลายอื่นๆ บ้าง หรือไปวาดบนกระดาษที่เป็นเส้นขีดสีน้ำเงินๆ บ้าง เป็นไอเดียที่ต่อยอดมาจากเรฟเฟอเรนซ์อีกทีหนึ่ง หรือว่าเห็นคนวาดบนเสื้อ วาดบนเสื้อยืดเลย เราก็แบบ เอองั้นเราวาดบนกระโปรงเลย หรือวาดบนกางเกง อะไรประมาณนั้นมั้ง สมมติว่าเราจะทำ exhibition ก็ลองคิดดูว่าเราอยากทำอะไรนะ
Life MATTERs : คนส่วนใหญ่มักพูดกันว่าถ้าอยากเป็นศิลปินอยู่เมืองนอกจะง่ายกว่า สำหรับคนที่ไปอยู่เมืองนอกมาถึง 7 ปีอย่างคุณคิดยังไง
เต้ : (คิดนาน) ไม่รู้สิ เราว่าถ้าอยู่ที่ไหนแล้วเราทำงานดีจริงๆ ตั้งใจทำงานมันก็เวิร์ก มันไม่น่าจะอยู่ที่ไหนหรอก มันน่าจะอยู่ที่ตัวคนทำมากกว่า
ในไทยไอ้ซีนพวกนี้อาจจะเล็กแต่เราคิดว่ามันกำลังเติบโตขึ้นมากช่วงนี้ แล้วถ้าพูดถึงคนรุ่นเดียวกัน เราว่ากำลังมีคนรุ่นใหม่ที่ทำอะไรแบบนี้เยอะขึ้นนะ คือสถานที่ก็อาจจะมีส่วนด้วยระดับหนึ่งแต่ว่าสุดท้ายแล้วมันน่าจะอยู่ที่ตัวคนทำเองแหละ จริงๆ ที่นี่มันก็อาจจะมีอะไรบางอย่างแต่เราอาจจะแอนตี้มันเองหรือเปล่า มันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องแห่ไปต่างประเทศกันหมด เด็กไทยอาจจะคิดว่าไปเมืองนอกแล้วจจะดีกว่า เราคิดว่ามันก็มีส่วนดีกว่า แต่เราคิดว่าอยู่ที่ไทยมันก็ทำได้เหมือนกันแหละ
Life MATTERs : แล้วศิลปินในไทยมีสเน่ห์อะไรที่พิเศษมั้ยสำหรับคุณ
เต้ : เสน่ห์เหรอ (คิดนาน) มันก็หลากหลายนะ เรารู้สึกว่าศิลปินแต่ละคนก็มีสเน่ห์ของตัวเอง ถ้าจะรวบทั้งหมดจากงานของศิลปินไทยเราก็ไม่รู้จะรวมเป็นคำว่าอะไร เท่าที่ดูๆ มา ทุกคนก็มีสไตล์เฉพาะของตัวเอง มันไม่ใช่ว่านี่คือกลุ่มคนไทย จะต้องมีสเน่ห์แบบนั้นแบบนี้ ทุกคนก็มีสเน่ห์ของตัวเองหมด นอกจากว่าเราจะไปพูดถึงพวกลายไทยที่เป็นสเน่ห์แบบ traditional
เราคิดคำจำกัดความรวมๆ ไม่ออก คิดว่าทุกคนก็มีสไตล์ของตัวเอง แต่พอทุกคนมาอยู่ในไทยก็โดนเหมารวมว่าเป็นศิลปินไทย ซึ่งจริงๆ มันก็คล้ายกับต่างประเทศเหมือนกันนะ ทั้งโลกเลยมากกว่า คือเราว่ามันไม่มีที่ไหนที่มีสเน่ห์แบบมองปุ๊บรู้ว่ามาจากประเทศนี้เลย หรือว่าเป็นคนประเทศนี้แน่ๆ เลย เราคิดว่างาน illustration หรืองาน photo มัน international มาก
Life MATTERs : จริงๆ พอพูดอย่างนี้ จะทำงานที่ไหนก็ดูไม่สำคัญเลยเนอะ
เต้ : เราไม่เคยคิดถึงว่าเราอยู่ที่ไหนแล้วงานจะต้องเป็นอย่างนั้นเลย ด้วยความที่โลกออนไลน์มันเปิดกว้าง เราเชื่อว่าทุกคนที่ทำงานศิลปะก็ต้องเห็นงานของศิลปินทั่วโลกอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเราอยู่แต่ในกรอบประเทศไทย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดีนะถ้าเราอยู่แต่ในกรอบของประเทศไทยแล้วเราก็จับแต่อะไรที่เป็นสเน่ห์ของไทยมาใช้ บางทีเราก็คิดว่าเราดูโลกออนไลน์ ดูงานอินเตอร์ฯ มากเกินไป จริงๆ เราก็อยากให้งานมีสเน่ห์ความเป็นไทยเหมือนกันนะ อย่างศิลปินบางคนที่เอางานเสาไฟที่มันยุ่งๆ อย่างนี้มาทำ เราว่ามันก็ดี
Life MATTERs : จากที่ทำงานมาตลอด งานศิลปะมีความหมายยังไงสำหรับคุณ
เต้ : คิดว่าศิลปะมันเป็นอะไรที่ไม่น่าเบื่อ มันสนุกอะ คิดแค่อยากสนุก อยากเจออะไรแปลกใหม่ พอดูงานศิลปะมันทำให้เรารู้สึกไม่เน่าเฉา รู้สึกตื่นเต้น ก็คงเหมือนดูหนัง ฟังเพลงอย่างนี้แหละมั้ง คือมันก็เป็น object หนึ่งที่เอนเตอร์เทนเรา หรือชอปปิ้ง ดูเสื้อผ้า มันไม่ได้มีอะไรพิเศษมากเกินไปสำหรับเรา แค่มันเป็นอะไรที่เราทำได้ด้วย อย่างเราทำอาหารไม่ค่อยเก่งเราก็มีหน้าที่กินอย่างเดียว เราดูงานศิลปะเราก็มีหน้าที่ดู แต่เราสามารถทำได้ด้วยเราก็ทำ
เราจะสนใจในตัวศิลปินด้วยว่าคนนี้เขาใช้ชีวิตยังไง ทำอะไร ทำไมงานเขาถึงออกมาเป็นแบบนี้ เพราะอะไร คนๆ หนึ่งที่มันอยู่บนโลกนี้ทำไมทำอะไรแบบนี้ มันน่าสนใจมั้งที่เกิดมาบนโลกเดียวกันแต่แต่ละคนก็คิดไม่เหมือนกัน ทำไมมันทำอะไรแปลกๆ บ้าๆ ขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอัน เราสนใจว่าเขาจะพูดอะไร
Life MATTERs : สุดท้ายแล้ว ทุกวันนี้เป้าหมายในการเป็นศิลปินของคุณคืออะไร
เต้ : จริงๆ ก็มีหลายอย่างที่อยากจะทำเหมือนกัน อย่างอยากเปิดร้าน อะไรอย่างนี้ คืออยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบนั่นแหละ เราอาจจะถูกมองว่าเป็นศิลปินแต่จริงๆ เพราะเราชอบงานศิลปะก็เลยเป็นศิลปินมากกว่า เราก็อยากเปิดร้านขายเสื้อผ้ามือสอง ขายของเล่น (หัวเราะ) เปิดบาร์ ทำอะไรที่ชอบแล้วก็อยู่ได้ด้วยการทำสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่เหมือนตอนนี้ก็ทำงานศิลปะเป็นส่วนใหญ่เพราะยังไม่มีโอกาสเปิดอะไรเป็นของตัวเอง
เราคิดว่าอยากทำงานไปเรื่อยๆ ให้ตัวเองสามารถทำงานได้เรื่อยๆ ไม่จิตตก หรือประสาทแดกตายไปก่อนจนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว แค่อยากทำงานศิลปะไปเรื่อยๆ และสามารถอยู่ได้ด้วยการทำงานศิลปะ แค่นั้นเอง
Photos by Adidet Chaiwattanakul