คุณมองพระอาทิตย์ขึ้น หรือตกดินครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? เราอยากชวนให้ลองนึก เพราะนี่คือความสุขใกล้ตัวที่สุด ที่หลายคนอาจจะละเลยไป อย่างที่ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ และ เคนจิ—วันสว่าง บุญพิพัฒนาพงศ์เคยเป็น ก่อนจะได้ลองตามหาดวงอาทิตย์ไปรอบโลก
จากเพื่อนรักสมัยมหาวิทยาลัยที่เริ่มสนิทจากการทำละครเวทีด้วยกัน กลายเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันที่นับวันยิ่งสนิทและเข้าหา ล่าสุดนี้พวกเขาทำรายการท่องเที่ยวแนวประหลาดอย่าง The Sun Hunter ที่มีคอนเซปต์คือไปตามหาซีนพระอาทิตย์ขึ้นและตกซึ่งแตกต่างไปในแต่ละโลเคชั่น จนเกิด magic moment นับไม่ถ้วน รวมถึงประสบการณ์ชีวิตอีกมาก
ระหว่างเดินทางพวกเขาพบเจออะไรบ้าง และการเติบโตในวัยเลขสามจะเป็นอย่างไร เหล่านั้นอยู่ในบทสนทนาชิ้นนี้แล้ว
Life MATTERs : ทำไมพวกคุณถึงอยากออกตามหาดวงอาทิตย์ตามโลเคชั่นต่างๆ บนโลก
ซันนี่ : เริ่มจากโคลัมบัสนั่งเรือ
เคนจิ : เฮ้ยๆ ไม่ใช่
ซันนี่ : คือมันมาจากโปรดิวเซอร์ชื่อว่าบอล ฉายางุ้ม เขาคิดมาว่าพระอาทิตย์สวยดี ก็รู้สึกอยากออกไปตามหาพระอาทิตย์ทั่วโลก พอพูดแบบนี้มันดูเป็นรูปธรรมใช่ไหม แต่จริงๆ ที่พวกเราคิดกันคือ มันเปรียบเทียบได้กับทุกอย่าง การมีขึ้น มีลง ความสวยงาม การตกหล่นไม่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่แย่เสมอไป หรืออาจจะเป็นเป้าหมายของชีวิตว่าเราประสบความสำเร็จ ว่าเราต้องการเห็นสิ่งนี้ ซึ่งบางวันเราอาจจะไม่เห็นมันก็ได้ แต่เรารู้ว่ามันอยู่ตรงนี้ที่เดิม เปรียบเทียบเหมือนกับว่าเป็นเป้าหมายของชีวิตคนเราที่จะพุ่งไปแม้ว่าจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม (เสียงสั่น)
เคนจิ : ร้องทำไม
ซันนี่ : อิน!
เคนจิ : เหมือนกับพระอาทิตย์เป็นเป้าหมายที่ทำให้เราก้าวไปข้างหน้า แต่จริงๆ แล้วความหมายของการเดินทาง รสชาติของการเดินทาง หรือความหมายของชีวิต มันอยู่ที่ระหว่างการเดินทางมากกว่า เพียงแต่ว่าพระอาทิตย์เป็นเป้าหมายให้เราออกเดินทาง ถ้าเราไม่มีพระอาทิตย์เราก็อาจจะสะเปะสะปะ
Life MATTERs : ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนใส่ใจดวงอาทิตย์กันมากน้อยแค่ไหน
เคนจิ : ก่อนหน้านี้เรายุ่งอยู่แต่กับงาน ทั้งที่พระอาทิตยอยู่ตรงหน้าทุกวัน ผมกลับมาเพิ่งจะมารู้ว่าท้องฟ้าเมืองไทย สวยมากก็ตอนได้มาทำรายการนี้ เพิ่งได้ลองโฟกัสกับมัน ที่ผ่านมา 30 กว่าปี เราไม่เคยมองหรือสนใจมัน
ซันนี่ : ก็เปรียบได้กับสิ่งที่อยู่ในชีวิตเรานะ ที่เราไม่ได้มอง ไม่ได้ให้คุณค่ากับมัน สิ่งเล็กๆ อะไรก็ตาม ทุกอย่างมันมีคุณค่าในตัวเองทั้งนั้น
เคนจิ : เหมือนสถาบันครอบครัว ที่เป็นสิ่งที่ใกล้เรามากที่สุด เราพึ่งพา เราใกล้ชิดมากที่สุด แต่ไม่ได้สนใจเท่านั้น เพราะว่ามันอยู่ใกล้เกินไปจนเรามองข้าม แบบ เอ๊ย วันอื่นก็ได้ที่จะให้ความสำคัญกับครอบครัว พอเราเริ่มโตขึ้น ยิ่งผ่านชีวิตยิ่งได้เรียนรู้ ว่าจริงๆ แล้วครอบครัวนี่แหละที่สำคัญที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด
ซันนี่ : เคยคิดเหมือนกันนะว่ามันจะดูไร้สาระไหมวะกับการตามดูพระอาทิตย์ คนอาจคิดว่าผมจะนั่งดูพระอาทิตย์กันไปทำไม เราไปด้วยความคิดว่ากลัวคนคิดอย่างนั้น แต่พอเราเห็นเราไม่สงสัยเลย โอโห ที่คนเขายืนรอเป็นชั่วโมงๆ นี่มันความรู้สึกแบบนี้นี่เอง เพราะชีวิตไม่เคยคิดเลยว่าจะมานั่งดูพระอาทิตย์เฉยๆ ไม่ทำอะไร เพราะเราต้องทำนู่นทำนี่ตลอดเวลา
Life MATTERs : เมื่อได้ตามหาดวงอาทิตย์ มีความโรแมนติกขึ้นไหม
ซันนี่ : จริงพวกเรามีความละมุนละไมอยู่แล้ว
เคนจิ : นุ่มยิ่งกว่ามาร์ชเมลโล่ หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งเดือน 5
Life MATTERs : magic moment ไหนที่รู้สึกว่ามหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต
เคนจิ : โมเมนต์ที่มหัศจรรย์มันมีหลายอย่าง แต่ว่าเราเลือกจำเป็นโมเมนต์แต่ละโมเมนต์เอา เช่นนี่ก็ดีนะ นั่นก็ดี แต่วันรุ่งขึ้นอาจจะดีกว่าก็ได้ แต่ที่เราไม่ลืมคือโมเมนต์ที่เราไปดูพระอาทิตย์ที่หอไอเฟล ปารีส มันสวยงามมาก และมันเป็นครั้งแรกที่เราตั้งใจเพื่อดูดวงอาทิตย์ตก เราเลยไม่ลืมมัน ถึงแม้เราจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม แต่วันนั้นสิ่งแวดล้อมดีหมด ถึงวันรุ่งขึ้น เราได้ไปเจอสิ่งที่มันอะเมซิ่งกว่า สวยงามกว่า เรายิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก แต่เวลานั้นจะเป็นสิ่งที่เราไม่ลืม
Life MATTERs : พอไปเที่ยวก็มักจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่นโดนขโมยของ หรือพระอาทิตย์ไม่มา เรารับมือกับความผิดหวังหรือสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดอย่างไรบ้าง
ซันนี่ : เราจะไม่ผิดหวัง เพราะพอเกิดขึ้นแล้วเราย้อนอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือช่วงเวลาหลังจากนั้น
เคนจิ : บางทีเราได้เรียนรู้กับมัน อย่างพี่ตากล้อง ตอนที่โดนขโมยของเราก็ได้เห็นทัศนคติที่ดีของเขาที่สามารถปลอบใจคนอื่นได้ด้วย ทั้งๆ ที่เขาโดนหนักที่สุด มูลค่าของเขาเยอะสุด แต่เขายังทำงานต่อได้ ปกป้องคนอื่นด้วย ทำให้เราเรียนรู้ว่าทัศนคติมันช่วยเหลือชีวิตมากๆ
ซันนี่ : มันก็เหมือนหลักพุทธครับ จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ทุกข์เพราะเราคิดไปเองว่าทุกข์ เรารู้สึกอย่างนั้นไป ณ ตอนนั้น มันอยู่ที่ตัวเรา จิตใจเรา นั่นแหละ ความทุกข์มันก็มีความงามอยู่ ถ้าเราเลือกที่จะมอง ถ้าเรามองแต่จุดที่ไม่ดี เราก็จะดาวน์ลง ดังนั้นคิดบวกดีกว่า
เคนจิ : เราไม่ได้ถูกขโมยของทุกวันนะ นานๆ ทีจะถูกหวย โดนขโมยของ มันก็เป็นอีกอารมณ์หนึ่งให้เราซึมซับ
ซันนี่ : พอเรามาเล่าอีกรอบตอนที่เราผ่านสิ่งนี้ไปได้แล้ว มันจะมีคุณค่าขึ้นมาทันที
เคนจิ : แต่ตอนนี้ไม่มีตังแล้วนะครับ
ซันนี่ : (หัวเราะ) เราทำอะไรไม่ได้แล้ว ฟูมฟายไปมันก็ไม่มีประโยชน์
เคนจิ : ร้องไห้ 7-8 คืนก็พอ
ซันนี่ : อันนี้ไม่เรียกฟูมฟายใช่มั้ย
Life MATTERs : ความคิดแบบนี้เป็นเรื่องของการเติบโตไหม ในการเลิกฟูมฟายแล้วอยู่กับมัน
ซันนี่ : ไม่รู้ว่าเป็นการเติบโตมั้ย มันแล้วแต่ว่าใครจะจัดการกับความรู้สึกว่าทุกข์ยังไง เพราะที่สุดแล้ว อะไรที่ไม่มีประโยชน์เราจะเอามาใช้ทำไม ถ้าน้ำตามันแลกเป็นเงินได้ ค่อยถือว่ามีประโยชน์ ร้องก็ร้องออกมาได้ เสียใจก็คือเสียใจ แต่ถ้ามาจมอยู่กับเรื่องเดิมๆ แล้วไม่ได้อะไรขึ้นมา มันไม่มีประโยชน์
เคนจิ : คนเราเวลาเจออะไรใหม่ๆ มันก็ทำให้เราโตขึ้นทุกวัน มันไม่ได้เกี่ยวกับอายุ
Life MATTERs : คิดว่าชีวิตคนเราจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อออกเดินทางหรือเปล่า
ซันนี่ : ไม่หรอกครับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในชีวิต มันมีคุณค่าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กสิ่งน้อย แล้วแต่ว่าคุณจะเห็นมันหรือเปลาเท่านั้นเอง
เคนจิ : ขึ้นอยู่กับว่าคุณ appreciate อะไร
ซันนี่ : เพราะว่าเวลาคนบอกว่าสิ่งนี้มันไร้สาระ หรือมันไม่มีประโยชน์ คุณมองตัวเองก่อนสิ ว่าคุณเห็นประโยชน์จากมันหรือเปล่า ไม่ใช่มาบอกว่าสิ่งนี้มันไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ แต่จริงๆ แล้วคุณเห็นประโยชน์จากมันได้ต่อให้มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีด้วยซ้ำ คือได้เห็นว่ามันไม่ดีไง แล้วถ้าคิดว่าไม่ดี ไม่ชอบก็ไม่ต้องทำ ไม่ใช่มานั่งด่าว่าเขา มันก็ไม่เกิดประโยชน์ มีแต่สร้างความโมโหให้กันและกัน
เคนจิ : ผมว่าการคิดบวกมันทำให้ชีวิตเราดีขึ้นนะ เหมือนถ้าเราคิดว่าตัวเราโชคดีเหลือเกิน เราก็จะมองว่าเราโชคดี ถ้าเรารู้สึกว่าเราโชคร้ายเหลือเกิน เราก็จะมองว่าเราโชคร้าย อะไรแบบนี้
Life MATTERs : พอเป็นคนคิดบวกแบบนี้ ตอนที่เจอช่วงเวลาแย่มากๆ จัดการกับมันอย่างไร
ซันนี่ : มันไม่มีอะไรที่ได้ดั่งใจเราไปหมดทุกอย่างหรอก ผมมีความรู้สึกอย่างหนึ่งตลอดวลา คือตอนไหนที่เราสมหวังอะไร มันก็สิ่งที่ถูกกำหนดไว้ให้เป็นแบบนั้น ถ้าอันไหนที่มันไม่ได้ถูกกำหนดให้อยู่กับเรา มันก็ไม่ใช่ของเรา
เคนจิ : มันมีอีกอย่างหนึ่งที่สอดคล้องกับรายการด้วย บางทีตอนกลางคืนเราคิดมาก จิตตก คิดไม่ออก แก้ปัญหาไม่ได้ โดยไม่รู้สาเหตุว่าทำไมเราถึงเครียด แต่พอเช้ามาวันใหม่ พระอาทิตย์ขึ้นปุ๊บ ทุกอย่างจะคลี่คลายหมดเลย
ซันนี่ : พอบางทีเราฝืน พยายามจะทำมันให้ได้ในตอนนั้นเลย จะยิ่งทำลายจิตใจเราไปใหญ่ เพราะปัญหาบางอย่างเรายังแก้ไม่ได้หรอก มันต้องใช้เวลาแล้วมันก็จะคลี่คลายไปเอง มันไม่มีอะไรที่ไม่ผ่านไป
Life MATTERs : พอใจกับชีวิตตัวเองในตอนนี้หรือยัง มองว่าประสบความสำเร็จไหม
ซันนี่ : ไม่รู้สิ เราอยากทำไปทุกอย่างเลย และเราก็พอใจกับสิ่งที่ได้ทำ ก็เลยไม่รู้ว่าจุดไหนที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ อันนี้มันแล้วแต่ว่าใครจะมองว่ายังไง บางคนคิดว่าคนแบบนี้ ไทป์นี้ ต้องมีเงินเท่านี้ถึงประสบความสำเร็จ หรือว่าต้องได้รางวัลอะไรถึงจะประสบความสำเร็จ ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น ไม่ว่ายังไงผมก็อยากทำในสิ่งที่ผมต้องการจะทำ และทำให้มันดี อย่างเช่น อาชีพ เราก็ทำอย่างนี้ พยายามที่จะพัฒนาตัวเองทุกวันอยู่แล้ว ไม่มีวันไหนที่ทำตัวเองให้ห่วยลง
เคนจิ : แฮปปี้ไหม แฮปปี้ แต่ประสบความสำเร็จไหม เราไม่รู้ว่าประสบความสำเร็จเป็นแนวไหน เราก็มีในสิ่งที่เราไม่ได้ขาดอะไร เราได้ทำสิ่งที่เรารักมันก็โอเคแล้ว
Life MATTERs : มองว่าการได้ทำสิ่งที่รักคือเรื่องจำเป็นในชีวิตหรือเปล่า
เคนจิ : บางคนอาจจะมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำนะ ถึีงจุดหนึ่งเราต้องมีความรับผิดชอบในชีวิต ถ้าเราผ่านตรงนี้ไปได้แล้วสามารถทำสิ่งที่รักได้ด้วย มันก็โอเค
ซันนี่ : เขาอาจไม่มีโอกาสทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ หรือมีอุปสรรคหลายอย่างที่ทำให้เขามาเจอสิ่งๆ นี้ หรือว่าเขาอาจไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาก็ต้องผ่านเวลาไปก่อน
เคนจิ : ผมคิดว่าบางทีการที่เราต้องทำในสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ หรือมีภาระหน้าที่กับมัน ก็เป็นการหล่อหลอมคนให้โตขึ้นมาในอีกรูปแบบหนึ่ง ทำให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาในอีกรูปแบบหนึ่งได้เหมือนกัน คนเรามันหลากหลาย มีวิธีการเรียนรู้ไม่จำกัด
Life MATTERs : เข้าใจความหลากหลายของชีวิตคนด้วยวิธีไหนบ้าง
ซันนี่ : บางทีถ้าเราดูทีวีแค่ช่องเดียวเราก็จะรู้และเข้าใจแต่เรื่องในช่องนั้นๆ ลองออกไปเจออะไรบ้าง ให้พระอาทิตย์มันโดนตัวเราบ้าง ออกไปในที่ไกลๆ ที่เราไม่เคยเจอบ้าง มันก็จะเห็นอะไรมากขึ้น จริงๆ การเจออะไรแค่จำกัดก็ไม่ได้ผิดอะไรนะ เข้าใจแค่นี้คือเข้าใจแค่นี้ แต่ถ้ารู้สึกว่าตัวเองอยากเปลี่ยนอะไร ผมเชื่อว่าต้องไปในอีกทิศทางหนึ่งจากที่เคยเดินมา อาจจะออกไปแค่นี้ก็ได้ ใกล้ๆ แล้วเจอคนบางคนที่เขามีคำพูด หรือมีอะไรที่เราไม่เคยคิดมาก่อน มันอาจจะตรงกับสิ่งที่เราต้องการในชีวิตก็ได้นะ
เคนจิ : คนเรามันสามารถที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ทุกวัน มันไม่สายที่เราจะเรียนรู้ ต่อให้เรื่องอะไรก็ตาม ต่อให้เราอายุมากแค่ไหนเราก็จะเรียนรู้ ความเจ๋งมันคือ ทุกอย่างไม่มีผิด ไม่มีถูก
Life MATTERs : คนเรากลัวการทำผิดพลาดกันมากไปหรือเปล่า
ซันนี่ : จริงๆ ทุกอย่างมนุษย์กำหนดขึ้นมาหมดนะ อย่างนี้จะประสบความสำเร็จ อย่างนี้ คือถูกต้อง อย่างนี้ผิดพลาด
เคนจิ : คือทุกอย่างมันไม่มีจริง มันเกิดจากที่คนคิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมาแล้วส่งผลกับสังคม อย่างสมัยก่อนคือนักปราชญ์คิดแบบนี้ไม่ได้ คิดแบบนี้แล้วโลกโกลาหล ถูกจับ
ซันนี่ : มันไม่มีกรอบมาวัดได้ว่าคนนี้คือคนที่ทำถูกต้องและประสบความสำเร็จ ทุกอย่างมนุษย์กำหนดขึ้นมาหมด เพียงแต่อาจจะดี ถ้าเราเราทำอะไรในพื้นฐานเจตนาที่ดี สมมติถ้าไม่มีใครสอนจริยธรรม เราก็น่าจะรู้สึกเหมือนกันนะว่าอย่างนี้มันไม่ควร การไปเอาชีวิตคนนี้ ไปทำให้ชีวิตคนนี้ไม่ดี ไปเอาเปรียบคนนี้ พอมันเริ่มทำให้คนอื่นทุกข์ ใจคนเราน่าจะรับรู้แหละ ว่ามันไม่ควรทำ
Life MATTERs : ถ้าเจอกฎที่คนโบราณตั้งไว้แล้วคุณสองคนรู็สึกว่าไม่เวิร์กมีวิธีจัดการอย่างไร
ซันนี่ : ผมว่ากฎของสังคมมันไม่สามารถถูกใจใครได้ทุกคนหรอก แต่ถ้าไม่มีกฎไปเลยเราก็คงอยู่กันยาก ที่บอกว่ามนุษย์กำหนดขึ้นทุกอย่าง เอาไปเอามา บางทีมันก็จำเป็นต้องมีแฮะ
เคนจิ : สมมติเราบอกว่าตำรวจไม่ดี คุณไม่ต้องการมีตำรวจ ซึ่งจริงๆ แล้วมันสามารถเป็นไปได้ไหม
ซันนี่ : คุณจะไปเรียกข้างบ้านมากระทืบกันเองมันก็เป็นไปไม่ได้
Life MATTERs : เมื่อไปต่างประเทศแล้วเจอกฎของบ้านเขาที่บางข้อเราก็ไม่มี culture shock บ้างไหม
ซันนี่ : ทุกที่มันก็มีกฎของมัน บางที่ก็ห้ามถ่ายรูป บางที่ก็ห้ามเอาโดรนขึ้น ก็ต้องเคารพกฎของเขา
เคนจิ : ก็เจอคนเหยียดผิวบ้างนะ ซึ่งในช่วงเวลานั้นเราอาจจะหงุดดหงิดบ้าง แต่ผ่านมามันก็เป็นเรื่องตลกไง เป็นเรื่องที่เอามาเล่าให้ขำได้
ซันนี่ : จะไปโกรธอะไรเขา ก็เขาเป็นแบบนั้น วิธีแก้ก็คือเราไม่เป็นไปกับเขามันก็โอเคแล้ว ก็แค่ล้อเลียนเขาสัก 5 นาที เพราะมันไม่รู้เรื่อง สุดยอดเลยครับพี่ โคตรยอร์ชเลยครับผม…
Life MATTERs : เวลาทำงานกับเพื่อนที่สนิทมากๆ จัดการเรื่องวินัยการทำงานยังไง ยืดหยุ่นได้มากขึ้นไหม
ซันนี่ : พวกเรามีวินัยการทำงานนะครับ
เคนจิ : เช่น เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่หอไอเฟลแต่เหมือนจะไปไม่ทัน สมมติมีคนบอกว่างั้นเราดูตรงนี้แทนไหม ที่อื่นแทนไหม ที่ไหนก็ได้ เราก็จะบอกว่าไม่ได้ เราตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่าต้องเป็นตรงนี้ ก็ต้องไปให้ได้ จะทันหรือไม่ทันเราก็ต้องไป นี่คือความตั้งใจ
ซันนี่ : ไม่งั้นก็จะไม่มีค่าอะไรเลยใช่ไหมครับ ในเมื่อเป้าหมายมีแล้วเราไม่ทำตามเป้าหมาย แล้วอ้างเหตุผลนู่นนี่ ความพยายามทั้งหมดมันจะไม่มีค่าเลย
เคนจิ : ยอดเยี่ยมกว่าเดิม คนเราถ้าไม่เคยล้มเหลวเลยแล้ว succees มันก็ไม่ค่อยมีราคา ถ้าล้มเหลวมาก่อน แล้วสำเร็จมันจะยิ่งอู้หู
Life MATTERs : ความประทับใจที่ทั้งคู่มีต่อกันคืออะไร
ซันนี่ : โห ร้องไห้ปะเนี่ย ก็ดีครับผม จิเป็นคนขยัน มีทัศนติที่ดี เมื่อก่อนกร้านกว่านี้นะ กร้านเป็นใบไม้แห้ง แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว
เคนจิ : ซันนี่เป็นคนดีครับ เป็นแม่แบบของคนหลายๆ คนในเรื่องความดี
ซันนี่ : สมัยก่อนผมบอกพ่อไว้เลยว่าผมโตขึ้น ผมขอเป็นจินะ
เคนจิ : พ่อบอกว่าไง
ซันนี่ : อืมๆ
เคนจิ : พ่อติดแชทเหรอ
ซันนี่ : อืมๆ
เคนจิ : ผมก็บอกพ่อ โตมาอยากเป็นซันนี่ พ่อผมบอก อะไร้
ซันนี่ : ดีม้าก พ่อบอกงี้
เคนจิ : อะไร้
ซันนี่ : อะไรคืออะไร้
เคนจิ : กร๊าก
ซันนี่ : พอแล้ว… มันเป็นคำเขียน
Life MATTERs : เล่นมุกใส่กันทุกวันเลยเหรอ
ซันนี่ : คุยแบบนี้ตลอดเหมือนกันนะ เราจะมีห้องแชทที่เวลาถามกันก็จะไม่ค่อยได้ความจริง เช่น จะเจอกันกี่โมง ก็จะมีร้อยกว่ามุก แล้วค่อยกลับมาว่าตกลงไปไหน สรุปกี่โมง เกือบจะรู้เรื่องแล้ว แล้วก็เล่นเรื่องอื่นไปอีก เวลาคนที่อ่านไม่ทันร้อยกว่าข้อความจะมาถามว่าสรุป มีไรบ้างนะ เราก็สรุปรวมเรื่องมั่วๆ ให้เขาไป
Life MATTERs : ปกติถ้าคุยกันเองพวกคุณคุยเรื่องอะไรกันบ้าง
ซันนี่ : เหมือนในรายการแหละครับ หลายทีแล้ว ที่เราไปสัมภาษณ์แล้วทำเป็นพูดนู่น พูดนี่ สุดท้ายในรายการปัญญาอ่อนหมดเลย
เคนจิ : บางทีทำเป็นพูดปรัชญาซีเรียส แต่ในรายการคือคนรั่ว
ซันนี่ : จริงๆ อยากให้ทัศนคติที่ดีมากกว่าครับ อยากให้เขาสนุก ไปไหนแล้วสนุกนำไว้ก่อนคนก็อยากจะเอนจอย