ไม่ว่าจะไปที่ไหน เราก็มักจะได้กลิ่นบางอย่างอยู่เสมอ
เราอาจได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ ใครสักคนจากตอนเดินสวนกัน กลิ่นกับข้าวจากร้านอาหารริมทาง กลิ่นควันรถยนต์บนถนน กลิ่นเหงื่อจากเพื่อนหลังเล่นกีฬา กลิ่นกาแฟคั่วยามเช้า กลิ่นเน่าเหม็นจากจุดทิ้งขยะ ทุกกลิ่นล้วนเตะจมูกเราเสมอ ยิ่งเราต้องเข้าใกล้ กลิ่นบางอย่างก็ยิ่งแรงขึ้น
มนุษย์กับกลิ่นเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กันมาช้านาน เนื่องจากการรับรู้กลิ่นหรือการดมกลิ่น คือหนึ่งในระบบการทำงานของร่างกายมนุษย์ ระหว่างจมูกกับสมอง ประสานงานรับส่งข้อมูลของกลิ่นไปมา เพื่อให้ตัวเราได้รับรู้ว่าสิ่งตรงหน้ามีกลิ่นอย่างไร รวมถึงออกคำสั่งต่อส่วนอื่นๆ ของร่างกายให้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองที่เหมาะสมต่อไป
นั่นจึงทำให้การรับรู้กลิ่นเป็นอีกหนึ่งระบบสำคัญของร่างกายมนุษย์ เพราะมันไม่เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของผัสสะเรา แต่ยังมีหน้าที่ในการช่วยให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อย่างการดมกลิ่นเพื่อตามหาแหล่งอาหารในสมัยก่อน หรือการทำหน้าที่เป็นกลไกในการป้องกันอันตรายเวลาเรารับรู้ถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์
กลิ่นกับมนุษย์จึงไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ แต่ละคนล้วนมีกลิ่นที่ชอบและไม่ชอบแตกต่างกันไป ด้วยกลิ่นอันตลบอบอวลอยู่รอบตัวเรา กลิ่นจึงไม่ใช่แค่เพียงกลิ่น ทว่ามันสามารถบอกเรื่องราวได้เยอะกว่าที่เราคิด
กลิ่นกับความสัมพันธ์
การรับรู้กลิ่นไม่ได้เป็นเพียงระบบหนึ่งของร่างกายมนุษย์เท่านั้น แต่มันยังคงมีบทบาทเชิงสังคมและความสัมพันธ์ด้วยเช่นกัน เพราะมนุษย์แต่ละคนย่อมกลิ่นบางอย่างเฉพาะตัว ซึ่งกลิ่นเหล่านี้อาจส่งผลต่อการมีปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ด้วยกันเองในสังคม เช่น การอยากอยู่ใกล้แฟนเพราะติดกลิ่นแฟน ความคุ้นชินกลิ่นของแม่ตัวเอง หรือการเข้ากันได้ดีกับเพื่อนจากกลิ่นบางอย่างที่ใกล้เคียงกัน
ร่างกายของเราสามารถรับรู้ถึงกลิ่นเฉพาะบางอย่างจากคนใกล้ชิด ยิ่งเป็นผู้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นด้วยแล้ว ก็ยิ่งส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกเรามากขึ้น โดยงานวิจัยจากภาควิชาจิตวิทยาของ Macquarie University และ Dresden University of Technology ได้ร่วมกันศึกษาเกี่ยวกับบทบาทของกลิ่นและความสัมพันธ์ ระบุเอาไว้ว่า กลิ่นตัวของคนที่เรารักหรือคนคุ้นเคย ทำให้เกิดความรู้สึกเชิงบวกหรือความคิดถึง ซึ่งกลิ่นเหล่านี้มีส่วนต่อการสร้างความสัมพันธ์ของมนุษย์เรา นั่นจึงทำให้เวลาเราอยู่ใกล้ชิดแฟนหรือคนคุ้นชิน เรามักจะติดและอยากดมกลิ่นเหล่านี้ เพราะมันสามารถมอบความรู้สึกดี รวมถึงความสบายใจเมื่ออยู่ใกล้กัน แถมยังช่วยสร้างเอกลักษณ์ให้เป็นที่จดจำด้วย
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในบางครั้ง กลิ่นของคนรอบข้างก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกดีให้กับเราเสมอไป
กลิ่นไม่พึงประสงค์ในร่างกายของมนุษย์ ที่สร้างความไม่โอเคให้กับคนรอบข้าง โดยทั่วไปมักเป็นเรื่องของกลิ่นปากและกลิ่นตัวเสียส่วนใหญ่ ซึ่งกลิ่นจากทั้ง 2 ส่วนต่างก็มีสาเหตุการเกิดแตกต่างกัน อีกทั้งกลิ่นไม่พึงประสงค์เหล่านี้ ยังสามารถบอกอะไรได้หลายอย่างกว่าที่เราคิด
เริ่มกันที่กลิ่นปาก ปกติแล้วทุกคนน่าจะเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า กลิ่นปากเกิดจากการสะสมของแบคทีเรียบนฟันและลิ้นหลังจากรับประทานอาหาร เพียงแค่แปรงฟันหรือใช้น้ำยาบ้วนปาก กลิ่นเหล่านี้ก็สามารถหายไปได้ แต่ถ้าทำทั้ง 2 อย่างแล้ว กลิ่นยังคงตลบอบอวลอยู่ในปาก อาจเป็นสัญญาณเตือนเราถึงโรคภัยไข้เจ็บ เช่น ภาวะช่องปากแห้ง โรคเหงือก และโรคปริทันต์อักเสบ
นอกจากนี้ การหายใจออกแต่ละครั้งของเรา ไม่ได้นำลมจากเพียงแค่ในปากออกมา แต่เป็นการดึงลมจากทั่วร่างกายออกมา ทำให้สาเหตุอื่นๆ ของกลิ่นปาก อาจมาจากการติดเชื้อในไซนัส คอ ปอด รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์จากปากของเราอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงโรคร้าย อย่างโรคเบาหวาน โรคไต และโรคตับก็เป็นได้
ในส่วนของกลิ่นไม่พึงประสงค์จากร่างกายภายนอกหรือที่เรียกกันว่ากลิ่นตัว โดยธรรมชาติแล้วเกิดจากการขับของเสียภายในร่างกายออกทางรูขุมขนตามร่างกายในรูปแบบของเหงื่อ ส่งผลให้ผิวหนังของเรามีกลิ่น โดยเฉพาะรักแร้ ซึ่งอับและระบายอากาศได้ยาก รวมถึงบางคนยิ่งมีขนรักแร้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีส่วนให้กลิ่นถูกสะสมเอาไว้มากขึ้นเช่นกัน เพราะความชื้นจากเหงื่อก่อให้เกิดแบคทีเรียบริเวณเส้นขน
อีกทั้งกลิ่นบนตัวเรายังสะท้อนถึงการรับประทานอาหารของเราและโรคได้ด้วย เช่น หากกลิ่นตัวเรามีความคาวปลา อาจมาจากการรับประทานโปรตีนที่มีแบคทีเรียสูงเกินไป รวมทั้งกลิ่นตัวเป็นสัญญาณเตือนของโรคเช่นเดียวกับกลิ่นปาก หากกลิ่นตัวเหมือนผลไม้หรือขนม อาจมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
วิธีจัดการกับปัญหาเรื่องกลิ่นปากและกลิ่นกายเบื้องต้นคือ การหมั่นคอยเช็คดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเองเป็นประจำ รวมถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ เพื่อช่วยลดปัญหาเรื่องกลิ่นของเรา ถ้าหากไม่แน่ใจว่ากลิ่นบนร่างกายของตัวเอง อาจมีสาเหตุมาจากโรคอื่นๆ ก็เข้าพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจสอบ และหาทางป้องกันตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนมันจะส่งผลอันตรายต่อตัวเรามากไปกว่านี้
แล้วถ้าคนใกล้ตัวเรามีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เราจะบอกยังไงดี
สำหรับบางคนที่หมั่นสังเกตและตรวจสอบกลิ่นไม่พึงประสงค์ของตัวเองอยู่ตลอด อาจสามารถหาวิธีมาจัดการหรือระงับกลิ่นเหล่านั้นได้ทันก่อนออกไปพบเจอผู้คน ทว่าบางคนเร่งรีบออกจากบ้านกระทันหัน จนไม่ทันจะได้เช็คในจุดนั้น ทำให้อาจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ในระหว่างวัน แล้วยิ่งคนนั้นเป็นคนใกล้ชิดเราด้วย จะทำอย่างไรดี?
แพทริเซีย นาเปีย-ฟิตซ์แพทริค (Patricia Napier-Fitzpatrick) ผู้ก่อตั้ง The Etiquette School of New York ผู้เชี่ยวชาญด้านมารยาทที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ให้คำแนะนำสำคัญในการเข้าหาเพื่อนหรือคนใกล้ชิด เพื่อพูดถึงเรื่องกลิ่นโดยไม่ให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจว่า
– เข้าหาอย่างตรงไปตรงมา เริ่มบทสนทนาด้วยการแสดงออกต่ออีกฝ่ายว่า เรามีบางเรื่องที่อีกฝ่ายน่าจะอยากรู้ พร้อมถามก่อนว่าพวกเขาอยากรับรู้ถึงปัญหาดังกล่าวหรือไม่ จึงค่อยอธิบายถึงปัญหาเรื่องกลิ่นปากหรือกลิ่นกายของอีกฝ่าย เพื่อให้อีกฝ่ายดำเนินการแก้ไขต่อไป
– หากเราประเมินแล้วว่า ฝ่ายตรงข้ามเป็นคนที่อ่อนไหวทางอารมณ์และไม่สามารถบอกกันตรงๆ ได้ อาจต้องระมัดระวังมากขึ้นสำหรับการสื่อสาร โดยเราสามารถเลือกเป็นการบอกทางอ้อม เช่น การหยิบลูกอมมิ้นต์ขึ้นมารับอมเอง ก่อนยื่นให้อีกฝ่าย แต่ถ้าอีกฝ่ายยังคงปฏิเสธ ก็อาจกระซิบกับเขาตรงๆ ถึงจุดประสงค์ของการยื่นลูกอมให้ได้เช่นกัน
หรือจะลองทำวิธีที่ ปีเตอร์ ดรูวส์ (Peter Drews) ทันตแพทย์และอาจารย์ใหญ่ประจำ Academy of General Dentistry ให้คำแนะนำเอาไว้ได้ว่า ให้แสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมด้วยความสุภาพ เช่น เสนอให้ทั้งเราและเพื่อนไปแปรงฟันหรือบ้วนปากพร้อมกันหลังมื้ออาหาร ถือเป็นอีกวิธีการบอกแบบเนียนๆ โดยทั้งเราและเขาจะได้ปราศจากกลิ่นไม่พึงประสงค์ร่วมกันด้วย
แน่นอนว่าทุกการแสดงออกของเราอาจเกิดจากความหวังดี แต่เรื่องกลิ่นก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนกับใครหลายคนเช่นกัน ดังนั้นเราอาจต้องมองหาวิธีการสื่อสารที่ถนอมน้ำใจอีกฝ่ายด้วย เพื่อรักษาความสัมพันธ์ของเราให้คงอยู่ต่อไป
ท้ายสุดแล้ว เรื่องกลิ่นถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของมนุษย์ เราอาจมีกลิ่นทั้งพึงหรือไม่พึงประสงค์ได้ทั้งนั้น ที่สำคัญคืออย่าลืมตรวจสอบและดูแลตัวเองอยู่เสมอ เพราะกลิ่นไม่ใช่แค่เรื่องความชอบ แต่สัมพันธ์กับร่างกายหลายส่วนของเราด้วยนะ
อ้างอิงจาก