ในความสัมพันธ์ ความรู้สึกเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ เห็นใจ เกรี้ยวโกรธ แทบจะครบทุกรสที่มนุษย์เรารู้สึกได้ ขับเคลื่อนให้เรามีกำลังใจใช้ชีวิต ฉุดให้เราดำดิ่งไปกับความเศร้าสร้อย หรือแม้แต่กลับมาตั้งคำถามมากมายกับตัวเองในแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ความรักมีพลังมากถึงขนาดนั้น แต่ถ้าหากเราอยู่เหนืออารมณ์เหล่านั้นได้ ความรักจะหน้าเป็นอย่างไรกันนะ?
เมื่อรักมีทั้งรสหวานให้ชื่นใจ และรสขมปร่าให้จดจำ ความรักจึงเป็นเหมือนยาแรงขนานหนึ่งของชีวิต แต่ยาแรงขนานนี้มีฤทธิ์ได้เพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากมัน แต่อาจเป็นเพียงน้ำเปล่ารสจืด หรืออาหารรสอ่อนก็ได้ ถ้าหากเราไม่ยึดถือเอาอารมณ์ความรู้สึกเป็นที่ตั้งแบบปรัชญา Stoic
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าปรัชญา Stoic หลักการค่อนข้างเข้าใจง่าย แม้จะเดินทางผ่านเวลามานานนับพันปี แนวคิดของ Stoic เนี่ย เป็นแนวคิดที่ค่อนข้างขึ้นอยู่กับตัวบุคคล เน้นให้มนุษย์เข้าใจความเป็นไปของโลก โดยมีแกนหลักคือการรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี อารมณ์ความรู้สึกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาและจากไป เราจึงไม่ควรปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือตัวเรา เราต้องควบคุมอารมณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้
แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่อยากยึดติดกับอะไรเลย? ย้อนกลับไป 300 ปีก่อนคริสตกาล เซโน นักปรัชญาที่ตอนนั้นยังเป็นพ่อค้า ได้ล่องเรือค้าขาย ทั้งสินค้า ทรัพย์ศฤงคาร บรรจุอยู่เต็มเรือ แต่โชคไม่เข้าข้าง เรือแห่งความมั่งคั่งของเขาล่มที่กรุงเอเธนส์ ทุกสิ่งหายวับไปกับตา เขาโทษไม่ได้แม้แต่โชคชะตา ช่วงเวลาที่ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิต เขาก็ดันปิ๊งไอเดียแนวคิดนี้ขึ้นมา ว่าโลกนี้มีอะไรที่อยู่เหนือการควบคุมของเรามากมาย ไม่เว้นแม้แต่สิ่งที่เข้ามากระทบอารมณ์ ความรู้สึกของเราเอง ดังนั้น เราควรควมคุบไม่ให้มันสุดโต่งจนเกินไป เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงเรื่องฉาบฉวย ที่ผ่านเข้ามาและจะจากไปในสักวัน
หากชาว Stoic คิดว่าความรู้สึกเป็นเพียงเรื่องฉาบฉวย ผ่านเข้ามาแล้วจะผ่านไป พวกเขาจะมีความรักหน้าตาแบบไหนกัน?
เมื่อเราพูดถึง Stoic ในวันนี้ ความหมายของมันมักจะหมายถึง คนที่ไม่ตอบสนองต่อสถานการณ์ทางอารมณ์ แม้จะปล่อยวางเรื่องความรู้สึก แต่ชาว Stoic ก็มีความรักได้นะ และพวกเขาก็รักที่จะมีความสุขในชีวิตอีกด้วย เพราะถ้าหาก Stoic จะดำเนินชีวิตตามธรรมชาติก็ไม่ควรปฏิเสธความรัก เพราะความรักก็ถือเป็นธรรมชาติของมนุษย์
Stoic ค่อนข้างให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เราสามารถ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ทั้งนั้น เพียงแค่รู้เท่าทันความรู้สึกเหล่านั้น และไม่ปล่อยให้มันอยู่เหนือตัวเราเอง เมื่อมีความรัก พวกเขามักจะโอบรับในทุกสิ่งที่พวกเขารัก รวมถึงยอมรับว่าสิ่งเหล่านั้น เป็นสิ่งไม่เที่ยง หากความสัมพันธ์ต้องจบลงหรือมีใครสักคนตายจากกันไป Stoic ก็ไม่ได้ห้ามโศกเศร้า หรือห้ามร้องไห้ เรายังมีความรู้สึกเหล่านั้นได้ แต่เราเองต้องพึงระลึกไว้เช่นกันว่า นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ การจากกันในสักวันเป็นเรื่องปกติ แทนที่จะจมอยู่กับความเสียใจตรงหน้า พวกเขาแนะนำให้หันมายินดีกับช่วงเวลาที่เคยได้ใช้ร่วมกันมากกว่า
แนวคิด Stoic ดีกับความสัมพันธ์ยังไงบ้าง?
- เมื่อโชคชะตากำหนดให้รัก จงรักให้สุดหัวใจ หลังจากเรือล่มครั้งนั้น ชาว Stoic ก็คงไม่อยากให้ใครต้องฝืนโชคชะตาตัวเอง (เพราะมันทำไม่ได้ในมุมมองของพวกเขา) เมื่อคนสองคนได้มาเจอกัน รักกัน ก็จงทำหน้าที่คนรักให้ดีที่สุด แม้จะรู้ว่าสักวันหนึ่งอาจจะต้องจากกันหรือจบลงก็ตาม
- ยอมรับและเข้าใจในตัวตนของอีกฝ่าย Stoic ไม่นิยมให้เราเข้าไปฝืนในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ อย่างความคิด การกระทำ ความรู้สึกของอีกคน ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะควบคุมได้เช่นกัน สิ่งที่เราทำได้คือรับฟังและเข้าใจ หากมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้น สิ่งที่ควรทำคือการตกลงร่วมกัน ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงอีกฝ่าย
- รับรู้อยู่เสมอว่าความสัมพันธ์นี้ไม่จีรัง เราดื่มด่ำความสุขจากความรักได้อย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า เราอาจจากกันได้ในสักวัน ทั้งจากเป็นและจากตาย หากไม่ยึดติดกับความสัมพันธ์ได้ถือเป็นเรื่องดี แม้จะต้องเสียใจที่มันจบลงหรือมีใครจากไป ความเศร้าเสียใจไม่ใช่สิ่งต้องห้าม แต่เราก็ไม่ควรลืมช่วงเวลาแห่งความสุขที่เคยมีร่วมกัน พยายามสมดุลอารมณ์ของเราไม่ให้ทุกข์หรือสุขมากไปนั่นเอง
รักได้ แต่อย่ายึดติด น่าจะเป็นคำนิยามที่ง่ายที่สุดของที่ Stoic มีต่อความรัก และนั่นก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีเหมือนกันนะ
อ้างอิงจาก