เอายังไงดี จะออกเลยดีไหม
พอรู้อยู่แล้วแหละ ว่าเศรษฐกิจช่วงนี้ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก จับจ่ายใช้สอยอะไรก็ฝืดเคืองไปหมด เราในฐานะพนักงานกินเงินเดือนก็ใช้ว่าจะรอดพ้นจากผลกระทบของมัน แต่ยังไม่ทันได้คิดหาวิธีรับมือเศรษฐกิจ องค์กรก็ได้ออกโครงการสมัครใจลาออก โดยเสนอเงินชดเชยเป็น 5 เท่าของเงินเดือน ฟังดูก็เยอะอยู่เหมือนกันนะ แต่เราควรร่วมโครงการนี้ด้วยดีไหม
กลายเป็นช่วงเวลาชวนสับสน เหมือนชีวิตเดินทางมาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจอีกครั้ง ถ้าลาออกไป จะหางานใหม่ได้ไหม หรือจะมีเงินพอใช้จนกว่าจะได้เริ่มงานถัดไปหรือเปล่า แต่ถ้ายังอยู่ต่อ ก็ไม่รู้ว่าอนาคตเขาจะจ้างออกอีกรอบไหม ไม่แน่ว่าคราวหน้าบริษัทอาจจิ้มออกเลยโดยไม่มีการขอความสมัครใจแล้วก็ได้
ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย อยู่ตรงนี้เราทำอะไรต่อไปได้บ้างไหม? เมื่อถึงจุดที่ต้องตัดสินใจเลือกทางใดสักทางหนึ่ง เราก็คงต้องเลือกสักทางแหละ แต่ปัญหาคือ เราดันไม่รู้นี่สิ ว่าจะต้องเลือกทางไหน หรือตัดสินใจอย่างไรดี
ไม่ได้บังคับ แต่ขออาสาสมัครหน่อย
การตัดสินใจอะไรสักอย่าง สำหรับบางคนเป็นเรื่องยากเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปและอนาคตของตัวเราเอง
โครงการลาออกโดยสมัครใจ (Voluntary Layoff) ก็ถือเป็นช่วงเวลาในการตัดสินใจที่สำคัญของพนักงานออฟฟิศอย่างเราๆ ด้วยเช่นกัน เพราะมันคือโครงการที่บริษัทจะยื่นขอเสนอเป็นแรงจูงใจทางการเงิน เพื่อกระตุ้นให้พนักงานอยากลาออกหรือเกษียณอายุงานให้ไวที่สุด ซึ่งจะแตกต่างจากการเลิกจ้างแบบเดิมที่บริษัทเป็นผู้มีสิทธิเลือกพนักงานเอง
โดยโครงการลาออกโดยสมัครใจ มักมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนเงินเดือนของบริษัท พร้อมเป็นวิธีที่ช่วยไม่ให้กระทบขวัญและกำลังใจของพนักงานที่ยังอยู่ต่อไป แถมยังลดความเสี่ยงที่บริษัทจะโดนฟ้องร้องจากการเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจเกิดขึ้นหากบริษัทตัดสินใจเลิกจ้างพนักงานแบบบังคับออก
แน่นอนว่า การจะลดต้นทุนบริษัท ด้วยการเลิกจ้างพนักงาน ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับภาพรวมของเศรษฐกิจตามแต่ละช่วงเวลา เมื่อปี 2020 สำนักข่าว CNN ได้มีการรวบรวมกรณีการใช้นโยบายลาออกด้วยความสมัครใจ พบว่า โครงการดังกล่าว เริ่มถูกใช้มากขึ้นในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา โดยมีพนักงานกว่า 10,000 คน ยอมรับข้อเสนอของบริษัทและลาออกโดยสมัครใจ
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกคนจะสามารถตัดสินใจกันได้อย่างง่ายดายเสียเมื่อไหร่กัน บางคนก็ยังคงมีความกังวลต่อการตัดสินใจในส่วนนี้อยู่ เพราะยังมีอีกหลายคนที่ไม่กล้าลาออกไปเสี่ยงในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดี แต่การเลือกอยู่ต่อก็อาจเจอกับการจ้างออกอีกระลอกหนึ่งด้วยเช่นกัน อย่างในกรณีของ บริษัทผู้ผลิตเครื่องบิน Boein มีพนักงานรับข้อเสนอจ้างออกแบบสมัครใจในช่วงวิกฤติโควิดกว่า 5,520 คนไปแล้ว แต่หลังจากนั้น บริษัทก็ได้มีการจ้างพนักงานออกแบบไม่สมัครใจอีกกว่า 7,000 คน
หลายคนก็อาจตั้งคำถามว่าวิธีการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานลาออกนี่เวิร์กจริงหรือไม่ แล้วพนักงานทำด้วยความสมัครใจจริงหรือเปล่า Duke University ได้ออกประกาศโครงการเลิกจ้างโดยสมัครใจ เพื่อลดค่าใช้จ่ายของมหาวิทยาลัยลง 10% ถึงอย่างนั้นสมาชิกกลุ่ม Duke community ก็ได้มีการเขียนจดหมายชี้แจ้งถึงฝ่ายบริหารและอธิการบดีของมหาวิทยาลัย ว่ายังมีอีกหลายวิธีที่สามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ โดยที่ไม่ต้องให้ใครต้องออก
ซึ่งจากกรณีของ Boein และ Duke ก็สะท้อนให้เห็นว่า โครงการลาออกโดยสมัครใจ พนักงานก็อาจไม่ได้เต็มใจจะลาออกไปเสียทั้งหมด หลายคนก็อาจกังวลต่ออนาคตที่ไม่แน่นอนหากจะเลือกอยู่ต่อ จึงต้องยอมรับเงื่อนไขและลาออก (ด้วยความสมัครใจ)
จะอยู่หรือจะไปดี?
แม้เราจะคาดหวังความมั่นคงในการทำงาน แต่ในยุคที่เศรษฐกิจคาดเดาแทบไม่ได้ การเตรียมตัวไว้ให้พร้อมต่ออนาคตก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับพนักงานออฟฟิศอย่างเราๆ
เมื่อวันที่บริษัทประกาศโครงการลาออกโดยสมัครใจมาถึง เราเองก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้เช่นกัน และเพื่อช่วยให้คุณพิจารณาได้อย่างรอบด้านว่า ‘ควรไปต่อหรือพอแค่นี้ดี’เราจึงได้สรุปแนวคิดและคำแนะนำจาก BetterUp แพลตฟอร์มด้านการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มาให้ทุกคนได้เก็บเอาไว้ใช้เมื่อจำเป็นแล้ว
สถานะการเงินของตัวเองตอนนี้
เช็คสถานะทางการเงินของตนเองให้ดี ว่าเราพร้อมหรือไม่ที่จะกลายเป็นคนว่างงาน หากหางานใหม่ แล้วได้งานเร็วก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้ายังไม่ได้งานในทันที เราเองก็อาจต้องมีเงินพอที่จะช่วยให้เราใช้ชีวิตต่อไปได้สักระยะหนึ่งด้วย
เงินชดเชยที่ได้รับ
เงินชดเชยถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่ต้องพิจารณา เพราะมันจะช่วยบอกเราได้คร่าวๆ ว่า ในจำนวนเงินเท่านี้ จะช่วยให้เราอยู่ได้นานเท่าไหร่ อีกทั้งเงินชดเชยที่ได้รับคุ้มค่าหรือไม่ หากจะต้องก้าวขาลาออกจากงานในตอนนี้
สวัสดิการต่างๆ หลังว่างงาน
ก่อนอื่นให้เราลองเช็คสิทธิต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการว่างงาน เช่น ประกันสังคม ว่าเราจะได้รับเงินช่วยเหลือหรือเงินเพิ่มเติมอะไรหรือไม่ แล้วจะได้รับเงินอยู่ที่เท่าไหร่ต่อเดือน เพราะถ้าเรายังไม่มีงานรองรับ จะได้มีทุนสำรองสำหรับใช้ชีวิตหรือใช้ยามฉุกเฉินนอกจากเงินชดเชยได้
โอกาสในการหางานใหม่ๆ
เราอาจต้องพิจารณาด้วยว่า ตำแหน่งหรือสายงานที่เราทำอยู่หางานยากไหมและเป็นที่ต้องการของตลาดหรือเปล่า จะช่วยให้เราวางแผนได้คร่าวๆ ว่าใช้ระยะเวลาประมาณเท่าไหร่ถึงจะได้งานใหม่
สถานการณ์ของบริษัทในปัจจุบัน
เมื่อบริษัทประกาศโครงการลาออกออกมา นั่นย่อมหมายถึงว่าบริษัทอาจกำลังประสบปัญหาทางการเงินอยู่ ดังนั้นเราก็อาจลองประเมินสถานการณ์ของบริษัทคร่าวๆ ดูว่า อยู่ในขั้นวิกฤตหรือไม่ หากสถานการณ์ย่ำแย่ ก็อาจรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ก่อน แต่ถ้าสถานการณ์มีแนวโน้มจะไปต่อได้ แล้วตัวเรายังพึงพอใจจะทำงานที่นี้อยู่ ก็อาจยังไม่ต้องตัดสินใจลาออกก็ได้เช่นกัน
นอกจากเงื่อนไขต่างๆ ที่กล่าวมา อีกสิ่งที่ต้องพิจารณาและเตรียมให้พร้อมเลยคือ จิตใจ เพราะการมีสุขภาพจิตที่พร้อม ก็จะช่วยให้เราสามารถผ่านสถานการณ์เหล่านี้ไปได้ดีมากยิ่งขึ้น เพราะหลังจากตัดสินใจบางอย่างไปแล้ว ก็อาจมีเรื่องชวนให้ต้องคิดหนักตามมาอีกมากมาย ดังนั้น นอกจากกายจะพร้อมแล้ว ใจก็อาจต้องพร้อมด้วย
ท้ายสุดแล้ว ก่อนจะตัดสินใจเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลาออกโดยสมัครใจของแต่ละแห่ง ก็ต้องไม่ลืมคำนึงถึงทุกเงื่อนไขให้ละเอียดและถี่ถ้วน เพียงแค่เราเตรียมตัวให้พร้อม ก็จะช่วยลดความเครียดและความกังวลเมื่อต้องตัดสินใจได้
เมื่อใจพร้อม กายพร้อม ก็พร้อมลุยต่อในโลกแห่งการทำงาน
อ้างอิงจาก

