งานนี้หนูเป็นคนทำเองค่ะ แต่ส่วนที่มีปัญหาถามน้องเขาได้เลย
เอาอีกแล้วสินะ พอเป็นเรื่องดียกให้เครดิตตัวเอง แต่ถึงจังหวะแย่ๆ ทีไรบอกชื่อเราเป็นคนแรกทุกที
ถึงจะตั้งใจทำงาน พยายามในส่วนที่ตัวเองทำได้เพื่อให้งานออกมาดีมากขนาดไหน แต่ยังไงเราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ใช่ว่าจะทำงานอย่างไร้ที่ติได้ตลอดไป ดังนั้นเวลาผิดพลาดเลยเตรียมใจแก้ไขไว้อยู่แล้ว แต่เรื่องมันน่าน้อยใจก็ตรงที่งานที่เราอุตส่าห์ปลุกปั้นมา คนรับผิดดันมีแต่เราคนเดียว ส่วนคนที่รับชอบไปเต็มๆ กลับเป็นคนอื่น เจอเหตุการณ์เข้าไปใครจะไม่หมดใจในการทำงานบ้างละ
เมื่อก่อนอาจจะเคยคิดว่าถึงเราไม่พูด ผลงานคงเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือและพูดแทนเราได้หมด แต่ในความจริงอาจไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้น เมื่อหลายๆ คนยังเชื่อตามสิ่งที่ตัวเองได้ยิน และหากเราไม่พูดเลยก็ยากที่คนอื่นจะรับรู้ว่าเราทำอะไรได้บ้าง
เพื่อไม่ให้หมดใจกับงานไปซะก่อน The MATTER เลยชวนมาดูว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมการช่วงชิงเครดิตและคอยเบลมคนอื่นแบบนี้นะ แล้วพนักงานตัวน้อยอย่างเราทำยังไงกับสถานการณ์นี้ได้บ้าง
เพราะเป็นมนุษย์จึงตำหนิและอ้างเครดิตทุกครั้งไป
ถ้าคุ้นๆ กับเหตุการณ์ทำนองว่า แชร์ไอเดียของตัวเองในกลุ่มของตัวเอง แต่วันถัดมาดันไปได้ยินเพื่อนร่วมงานพูดเรื่องนี้ในห้องประชุมเหมือนเป็นความคิดตัวเอง ทำสไลด์คนเดียวจนดึกดื่น แต่สุดท้ายก็ได้คำชมเท่าๆ กับคนในทีม หรือทำโปรเจ็กต์อันยากเย็นเป็นเวลานาน แต่บอสกลับเอาไปบอกคนข้างบนว่าเป็นผลงานของตัวเอง แต่พองานไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็โดนหมายหัว ความผิดพลาดเป็นเพราะเราคนเดียวที่ไม่ยอมหาข้อมูลให้ดีก่อน ทั้งหมดนี้อาจจะพอบอกได้ว่าเรากำลังอยู่ในสังคมที่เป็นพิษอยู่
พฤติกรรมการเอาดีเข้าตัวแล้วโทษคนอื่นไปทั่ว ถือเป็นหนึ่งในเกมการเมืองของบริษัทที่สร้างความปวดหัวให้หลายคน เบน ดัตต์เนอร์ (Ben Dattner) ที่ปรึกษาและผู้เขียนหนังสือ The Blame Game: How the Hidden Rules of Credit and Blame Determine Our Success or Failure อธิบายถึงพฤติกรรมนี้ว่าเป็นการหาความรับผิดชอบให้กับตัวเองและคนอื่น เกิดขึ้นได้ทั้งแง่บวกและแง่ลบ โดยแง่บวกอาจหมายถึงการเอาตัวเองไปรับผิดชอบเรื่องดีๆ ส่วนแง่ลบคือการให้คนอื่นรับผิดชอบเรื่องผิดพลาด
สาเหตุที่ผู้คนต้องแบ่งแยกเรื่องดีและเรื่องไม่ดี เบนก็ได้อธิบายไว้ในหนังสือว่า เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ในมนุษย์ทั่วไปและอยู่คู่กับเราอย่างยาวนาน เพื่อเป็นการตัดสินรางวัลและบทลงโทษ เช่น ในหลายๆ ศาสนา ก็มีระบบการให้ตัดสินคนด้วยความดีและความชั่ว หากเราทำความดี ก็จะได้รางวัล อย่างการได้ขึ้นสวรรค์หรือมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น แต่ถ้าทำความชั่ว ก็จะถูกลงโทษให้ตกนรก หรือเกิดเรื่องร้ายๆ ในชีวิต หรือพูดง่ายๆ ว่าเราเชื่อมาอย่างยาวนานว่าถ้าทำเรื่องดี สิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นกับตัว ถ้าทำเรื่องเลวร้าย ก็จะรับผลกรรมที่ตามมา
เช่นเดียวกับสังคมการทำงาน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำงานดี เราก็อาจจะได้รับคำชม หรือก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาด เรื่องแย่ๆ ก็อาจตามมาได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นถูกดุ หักเงินเดือน หรือร้ายแรงกว่านั้นอาจถูกไล่ออก นั่นเลยทำให้หลายๆ คนพยายามสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ แม้จะต้องขโมยเครดิตจากคนอื่น หรือโยนความผิดไปให้เพื่อนร่วมงาน เพราะไม่อยากโดนลงโทษซะเอง
สิ่งที่เขามาเสริมให้พฤติกรรมเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่นแข็งแกร่งขึ้น นอกจากความเชื่อที่ฝังรากลึกมานานแล้ว ในทางจิตวิทยาก็พบว่า สมองมนุษย์มีแนวโน้มที่จะให้เครดิตกับตัวเองมากเกินไปเมื่อประสบความสำเร็จ และหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบเมื่อเกิดความล้มเหลว ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ‘beneffectance’ คำศัพท์ของจิตวิทยาสังคม โดย แอนโทนี กรีนวัลด์ (Anthony Greenwald) นักจิตวิทยาในยุค 80 ใช้อธิบายแนวโน้มที่คนเรามักจะรับเอาเครดิตความสำเร็จและความสามารถไว้กับตัว แต่ไม่ยอมรับว่าล้มเหลวที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวเอง
ในหนังสือของเบนยกตัวอย่างการศึกษาของ เจอรัลด์ ซาลานซิก และ เจมส์ ไมนด์ล (Gerald Salancik and James Meindl) ที่ศึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์การจัดการของบริษัท โดยดูจากจดหมายถึงผู้ถือหุ้น พบว่าหากปีนั้นมีกำไรตกต่ำ พวกเขามักจะโทษว่าเป็นเพราะสิ่งแวดล้อม หรือปัจจัยภายนอกมากกว่าการทำงานของตัวเอง กลับกันถ้าปีนั้นกำไรฟื้นตัว เหล่าซีอีโอก็ไม่ลืมที่จะแสดงให้เห็นว่าทั้งหมดเป็นเพราะการปรับปรุงวิธีการทำงาน ซึ่งเป็นผลมาจากการตัดสินใจของพวกเขาเอง
และสาเหตุที่ว่ามานี่เอง เลยทำให้เห็นว่าอคติจากความคิดที่คนเรามักเข้าข้างตัวเองว่าดีหรือเก่งเกินความจริงและมองว่าคนอื่นด้อยกว่า เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการขโมยเครดิตและโบ้ยความผิดให้คนอื่นได้ง่ายๆ เพราะส่วนหนึ่งก็คิดว่าตัวเองสมควรได้รับเครดิตนั้นอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีคนอื่นๆ ที่ทำงานหนักกว่าก็ตาม
ย้อนกลับมาที่บริบทการทำงาน เมื่อมองดูให้ใกล้ขึ้นจากคำอธิบายของผู้เชี่ยวชาญด้านองค์กรก็ชี้ให้เห็นว่าหลายๆ คนมักใช้พฤติกรรมนี้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความภูมิใจส่วนตัวหรือกลุ่มของตัวเอง ด้วยการขโมยเครดิตคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ลดความรู้สึกผิดและอับอายที่ต้องบอกว่าตัวเองเป็นคนผิดพลาด จนถึงหลีกเลี่ยงการโดนลงโทษ จากการทำไม่ได้ตามที่หวังไว้
แม้จะบอกว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับมนุษย์ แต่ไม่ใช่ว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องและควรทำนะ เพราะการเอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่นมีผลเสียที่ตามมาไม่น้อย นั่นคือคนทำงานจริงๆ ไม่มีกำลังใจทำงานต่อ หมดไฟที่จะพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขจริงๆ เพราะใช้เวลาไปกับการหาคนผิดโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
วิธีลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองจากการเคลมและถูกโบ้ยความผิด
แน่นอนว่าการถูกขโมยผลงานไปเป็นเรื่องเจ็บปวด และการสู้กับคนประเภทนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะถ้าทำอย่างไม่ระวังอาจทำให้เราตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากกว่าเดิม เช่น คนนอกอาจมองว่าเราเป็นคนเรียกร้องมากเกินไป หรือไม่มีใครยอมช่วยเพราะโดนโบ้ยความผิดมาแล้วนี่นา
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องยอมปล่อยผ่านไปเฉยๆ การส่งเสียงเพื่อตัวเองก็ยังเป็นสิ่งที่เราควรทำเป็นอันดับแรกๆ สำหรับใครที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ เราเลยหยิบเอาคำแนะนำจากที่ปรึกษาองค์กรและผู้เชี่ยวชาญด้านที่ทำงาน จากเว็บไซต์ Harvard Business Review ที่ทุกคนสามารถทำได้ ดังนี้
มองปัญหาอย่างมีเหตุผลและอย่าด่วนสรุป: โดนขโมยผลงานสิ่งแรกจะทำอะไรได้นอกจากโกรธละ อยากแย้งขึ้นมากลางห้องประชุมซะเดี๋ยวนั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าใจเย็นก่อนเทพีสงคราม เข้าใจว่าเป็นเรื่องยาก แต่บางทีการเคลมก็อาจมีหลากหลายมุมมอง เขาอาจทำไปเพราะต้องรวบรัดอธิบาย เข้าใจผิดไปจริงๆ หรืออื่นๆ ลองทบทวนมุมมองของอีกฝ่ายให้ดีอีกครั้ง แต่ยังไงก็อย่าปล่อยให้นานเกินไปจนคนอื่นลืมเหตุการณ์นี้ละ
มีกลยุทธ์ที่ดี: แม้จะพิจารณารอบด้านแล้ว ลงข้อสรุปว่า ไอ้หมอนี่มันตั้งใจเทคเครดิตเราชัวร์! แถมยังโบ้ยงานมาให้เราเพิ่มอีก แต่ก็อย่าเพิ่งลงมือทำอะไรสุ่มเสี่ยงทันทีถ้าไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนตีโพยตีพายไปก่อน แต่จังหวะนี้ให้ลองหาหลักฐานที่หนักแน่นขึ้นด้วยการลองคุย หรือถามเหตุผล แทนที่จะพูดไปโต้งๆ ว่า “ทำไมมาขโมยไอเดียไปพูดหน้าตาเฉยแบบนั้นละ” อาจจะลองโยนหินถามทางไปก่อน “ประเด็นนั้นพูดไปครบถ้วนไหม ตกหล่นอะไรไปหรือเปล่า” ส่งสัญญาญให้คนขโมยเครดิตรู้ว่าเราไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ
เข้าแก้ไขสถานการณ์: จังหวะนี้ถ้าอีกฝ่ายยอมรับผิด ว่าตัวเองลืมให้เครดิตเรา หรือโยนความผิดมาให้แบบไม่มีหลักฐานเอง ก็อาจจะลองขอให้เขาพูดถึงชื่อเราต่อหน้าทุกคนในครั้งต่อไปด้วย ส่งอีเมลขอบคุณเราแล้วส่งถึงทุกคนในโปรเจ็กต์ หรือคุยกับหัวหน้าเพื่อให้มีชื่อเราอยู่ในงานนี้ แต่ถ้าอีกฝ่ายยังทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก็อาจจะต้องพิสูจน์ตัวเอง เช่น ตอบอีเมลหรือแสดงความเห็นทุกครั้งที่พูดถึงงานนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราเป็นตัวจริง ข้อมูลในหัวแน่นปั้ก เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะเป็นคนลุยงานนี้กับมือน่ะสิ
โปรโมตตัวเอง: นอกจากจะรอให้คนอื่นมาค้นพบว่าเราทำงานดีแค่ไหน บางทีอาจถึงเวลาที่เราต้องโปรโมตตัวเองบ้าง เช่น พูดถึงงานที่เราทำบางครั้ง คอยติดตามผลหลังการประชุม เพื่อยืนยันว่าเราเองก็มีส่วนร่วมในงานนี้ และทำให้งานเราถูกมองเห็นมากขึ้นว่าตัวเองมีส่วนร่วมในการพัฒนาไอเดีย ซึ่งช่วยให้ได้รับการมองเห็นมากขึ้น
ป้องกันปัญหาในอนาคต: สุดท้าย เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาก็หาทางตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ด้วยการตกลงกันตั้งแต่แรกให้ชัดๆ ไปเลยว่าใครจะได้รับเครดิตส่วนไหนบ้าง ใครทำงานส่วนไหนแบ่งหน้าที่กันให้ชัดเจน เช่น ใครนำเสนอ ใครหาข้อมูล ใครตรวจเช็คความเรียบร้อย จากนั้นจดบันทึกความรับผิดชอบของแต่ละคนไว้ในอีเมล เพื่อให้มีหลักฐานชัดเจน ป้องกันการโบ้ยความผิดและรับเครดิตไปคนเดียว
สุดท้ายถ้าทำทุกวิถีทางแล้ว ความผิดก็ยังตกอยู่ที่เรา หรือผลงานนั้นก็ยังไม่มีเครดิตของเราอยู่ดี ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์นี้ก็อย่าลืมรักตัวเองมากๆ เพราะไม่แน่ครั้งหน้าเรื่องที่เขาโบ้ยมาอาจใหญ่กว่านี้ เกิดความเสียหายจนเรารับผิดชอบไม่ไหว หรือผลงานที่ควรเป็นที่เชิดหน้าชูตาของเรากลับถูกฉกชิงไปต่อหน้าต่อตา ทางที่ดีควรแจ้งหัวหน้า หรือปรึกษาคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันตัวเอง และปัญหาใหญ่ที่จะเกิดในอนาคตด้วยนะ
แม้ในโลกการทำงานที่เต็มไปด้วยเกมการเมือง แต่การปกป้องงานของตัวเองและหาทางรับมือก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้เรายังภูมิใจกับงานที่ทำ และจงมั่นใจในตัวเองว่าคนพวกนั้นเอาไปได้แค่ผลงาน แต่ทักษะและไอเดียของเราอยู่ติดตัวเราแบบที่ไม่มีใครเอาไปได้แน่นอน
อ้างอิงจาก