“we shape our buildings, thereafter they shape us.”
– Winston Churchill
Winston Churchill บอกว่า ‘เราออกแบบตึก เสร็จแล้วตึกพวกนั้นก็มาออกแบบพวกเราอีกที’ (we shape our buildings, thereafter they shape us)
เธอเป็นคนลาดพร้าว เธอเป็นคนทองหล่อ … เวลาที่เราพูดว่าคนๆ นี้มาจากย่านหรือเมืองใดเมืองหนึ่ง เราก็มักจะมีภาพบางอย่างปรากฏขึ้นลางๆ ว่า คนลาดพร้าวก็น่าจะมีลักษณะแบบหนึ่ง ส่วนคนทองหล่อในจินตนาการของเราก็ดูจะเป็นอีกแบบ หรือถ้าลองนึกภาพหนุ่มลอนดอนกับสาวนิวยอร์ก ด้วยไลฟ์สไตล์ สภาวะอากาศ และพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่ต่างกันก็ย่อมทำให้ภาพของคนจากสองเมืองนี้มีลักษณะที่เฉพาะแตกต่างออกจากกัน
ตัวตนของผู้คนดูจะเชื่อมโยงเข้ากับพื้นที่ที่คนๆ นั้นอยู่อาศัยอยู่ไม่มากก็น้อย
โอเค ถ้าไม่ได้พูดในลักษณะเหมารวมและอคติ ในทางวิชาการเองก็พยายามที่จะอธิบาย ‘มนุษย์’ เราในแง่ต่างๆ กัน ทำไมคนคนหนึ่งถึงมีลักษณะแบบนี้ มีพฤติกรรมแบบนี้นะ แนวคิดหนึ่ง – สอดคล้องกับเชอร์ชิลพูด – ก็คือ ‘สิ่งแวดล้อม’ ไงที่เป็นปัจจัยสำคัญ ถ้างั้นแล้ว เมืองที่เราทั้งหลายสร้างขึ้นมา เหล่าหมู่ตึกสูง บรรยากาศ ประวัติศาสตร์และเหล่าสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายในที่สุดแล้วย่อมแล้วก็ส่งผลกระทบต่อผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น
เมืองและการออกแบบพื้นที่เมืองสามารถทำให้เกิด ‘กิจกรรม’ และ ‘พฤติกรรม’ ที่เฉพาะเจาะจงภายในเมืองนั้นๆ ได้ เช่น เมืองที่ได้รับการออกแบบอย่างดีก็จะดึงดูผู้คนเข้าสู่เมืองนั้น เมืองนั้นก็จะคึกคักและเติบโตขึ้น เมืองบางเมือง เช่น เบเวอร์ลี ฮิลส์ เป็นเขตที่ที่ดินมีราคาแพง ระยะห่างบ้านแต่ละหลังก็อยู่ไกลกัน ไม่ค่อยมีพื้นที่สำหรับการค้าขาย ผู้คนที่อยู่ในพื้นที่นั้นต้องมีรถเป็นของตัวเอง นักคิดเช่น Hannah Arendt บอกว่าการออกแบบพื้นที่และตัวพื้นที่สาธารณะถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญในโลกสมัยใหม่ เมืองที่ออกแบบให้มีพื้นที่ที่เกิดการปฏิสังสรรค์และรวมตัวกันได้ถือเป็นปัจจัยที่นำไปสู่เหตุการณ์สำคัญๆ อย่างการปฏิวัติ การชุมนุมเรียกร้อง
อิทธิพลของเมืองที่มีต่อเรา
มีงานศึกษาจำนวนหนึ่งที่ทำการศึกษาเชื่อมโยง ‘พื้นที่’ เข้ากับ ‘ลักษณะนิสัย’ ของคนในพื้นที่นั้นๆ ในสหรัฐเองก็พบว่าคนที่อยู่ในแต่ละภาคส่วนของประเทศ ก็มีแนวโน้ที่จะมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน
ในสหรัฐเองก็มีความเชื่อประมาณว่าคนนิวยอร์กมักมีลักษณะที่คิดเยอะ – ประสาทกิน – ผลการวิจัยก็ดูจะออกมาแล้วสอดคล้องกันคือ คนที่ภูมิภาค Northeast (แถบนิวยอร์ก) ค่อนข้างมีลักษณะนิสัยและทัศนคติที่คิดเยอะแยะและวิตกกังวลมากกว่าส่วนอื่นของประเทศ ซึ่งข้อสังเกตนี้เกิดจากงานศึกษาสองชิ้นที่สอดคล้องกันพอดี งานชิ้นหนึ่งไปดูทัศนคติต่อความรักและความสัมพันธ์ก็พบว่าคนในแถบ Northeast และ mid-Atlantic เป็นคนที่กังวลกับความสัมพันธ์มากกว่าคนแถบ West Coast งานอีกชิ้นที่ศึกษาบุคลิกภาพของคนในภูมิภาคต่างๆ ในสหรัฐก็พบผลทำนองเดียวกันคือคนจากแถบ Northeast มีแนวโน้มที่จะเป็นคนประสาทๆ มากกว่าคนแถบ West
ในอังกฤษเองก็มีการสำรวจลักษณะนิสัยของผู้คนและพื้นที่อาศัยในลอนดอน ผลก็พบลักษณะนิสัยที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ด้วย เช่น คนที่อาศัยในพื้นที่ใจกลางลอนดอนมีแนวโน้มที่จะมีลักษณะที่เปิดกว้างและเป็นคนชอบออกสังคม ซึ่งคุณลักษณะพวกนี้จะค่อยๆ บางเบาลงเรื่อยๆ สำหรับคนที่อาศัยอยู่รอบนอกออกไป
ตรงนี้เองก็มีความซับซ้อนอยู่เหมือนไก่หรือไข่เกิดก่อนกัน คือในด้านหนึ่งพื้นที่ที่คนอยู่อย่างหนาแน่น มีผู้คนหลากหลาย อาจทำให้เราเป็นคนเปิดกว้างชอบสังคม หรือในอีกทางคือเราเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว เลยมีแนวโน้มที่จะเลือกที่อยู่ที่เข้ากับเรา – หรืออาจจะทั้งสองอย่าง
รากเหง้า บรรยากาศของเมืองกับตัวตนของผู้คน – กรณีจาก Boston และ San Francisco
Victoria Plaut อาจารย์และนักจิตวิทยาทางสังคมและวัฒนธรรมแห่ง UC Berkeley ผู้บอกว่า สุดท้ายสิ่งที่เรามองว่าเป็นแค่ภาพเหมารวม แต่ลึกๆ แล้วผลของภาพเหมารวมนั้นเกิดจากผลกระทบที่ลึกซึ้งและซับซ้อนจากเมือง – อันประกอบขึ้นด้วยประวัติศาสตร์ บรรยากาศ ความคิดและความเชื่อ – ที่ส่งอิทธิพลต่อความคิดความอ่านของเราอย่างลึกซึ้ง
คุณ Plaut ด้วยความที่เป็นอาจารย์ เป็นนักวิจัยทางสังคม และเป็นคนที่เดินสายสอนหนังสืออยู่ในเมืองสองเมืองคือ Boston และ San Francisco บอกว่า เนี่ย ไอ้ลักษณะนิสัยที่ไปในทางเดียวกันของแต่ละเมืองเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ แบบว่าคนในเมืองนี้ให้ความสำคัญกับอะไร มองโลกแบบไหน สุดท้ายจากประสบการณ์และการเป็นนักวิชาการ เธอและเพื่อนไม่ได้สงสัยเปล่า แต่เขียนเป็นหนังสือชื่อ The Cultural Construction of Self and Well-Being: A Tale of Two Cities
ภูมิหลังโดยคร่าวๆ ของเมืองสองเมืองนี้ที่ต่างกันคือ Boston เป็นเมืองเก่าแก่ที่พวกพิวริตัน (กลุ่มชาวคริสต์เคร่งศาสนาที่เดินทางมาตั้งรกรากกลุ่มแรกๆ) ในขณะที่ San Francisco เป็นเมืองที่ผู้คนแห่แหนมาในยุคตื่นทอง บอสตันเลยมีความอนุรักษ์นิยมและเก่าแก่กว่าอย่างหลัง
ตัวอย่างที่นักวิจัยชี้ให้เห็นคือมหาวิทยาลัยหลักของเมืองที่มีจุดยืนและการสืบทอดความคิดและส่งเสริมบรรยากาศบางอย่าง ฮาร์วาร์ดในฐานะมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดจึงมีคำขวัญจุดขายเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมและความเก่าแก่ของตัวเองว่าเป็น ‘tradition of excellence’ ในขณะที่สแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยในเมืองที่ใหม่กว่ามักจะเน้นเรื่องการเป็นอิสระจากกรอบประเพณีใดๆ เน้นชูเรื่องเสรีภาพ การไม่ถูกจำกัด ความคิดสร้างสรรค์และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ
Plaut บอกว่า นี่ไง เมืองสองเมืองจึงดูจะยึดโยงกับแนวคิดและทัศนคติที่ต่างกัน เมืองหนึ่งผูกพันธ์กับขนบธรรมเนียม อีกเมืองเป็นอิสระจากกรอบ เมืองหนึ่งเชิดชูความเป็นชุมชนและความเป็นสถาบัน อีกเมืองให้ความสำคัญกับปัจเจกบุคคล ซึ่งบรรยากาศและค่านิยมที่ว่าไม่ได้ปรากฏแค่ในมหาวิทยาลัยประจำเมืองเท่านั้น แต่ยังปรากฏออกมาในแทบทุกอย่าง เช่น พาดหัวหนังสือพิมพ์ ในเว็บไซต์ของโรงพยาบาล ไปจนถึงสถาบันทางการเงินท้องถิ่น
ดังนั้นก็เลยไม่น่าแปลกใจว่าพลังหรือจิตวิญญาณของเมืองจะฝังลงไปในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในเมืองนั้นๆ ในการสำรวจเชิงจิตวิทยาของผู้คน ผลคือผู้คนในบอสตันก็มีแนวโน้มจะบอกเลยว่าพวกเขาคาดหวังให้คนทำตัวดีๆ ให้อยู่ในรูปในรอยเวลาที่อยู่ในเมือง ในขณะที่ชาวซานฟรานจะบอกว่าตัวเองรู้สึกว่าต่างคนต่างก็มีวิถีชีวิต มีอิสระในการใช้ชีวิตตามแนวทางของตัวเอง ผู้คนในบอสตันดูจะนิยมวัดความพอใจในตัวเองโดยเชื่อมโยงจากการศึกษา สถานะทางการเงินและชุมชนที่ตัวเองอยู่ ในขณะที่ชาวซานฟรานจะไม่ค่อยยึดติดกับสถานะและค่านิยมทางสังคมเท่าไหร่
ตัวตนและเมือง เป็นสิ่งที่ซับซ้อนในขณะเดียวกันก็มีความน่าสนใจ สิ่งหนึ่งที่แม้ว่าผู้วิจัยจะบอกว่าเมืองดูจะมีอิทธิพลบางอย่างแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกๆ คนในเมืองนั้นจะต้องเป็นแบบนั้น ไม่ใช่ว่าคนในบอสตันทุกคนต้องอนุรักษ์นิยม หรือชาวซานฟรานทุกคนเป็นพวกสร้างสรรค์ แต่ความเข้าใจหรือการมองเห็นจุดเชื่อมบางๆ ระหว่างเมืองกับการเป็นคนในเมืองนั้นๆ ว่าในที่สุด พื้นที่ที่ดูไม่มีชีวิตและประวัติศาสตร์บางอย่างที่ดูเหมือนจบสิ้นไปแล้ว สามารถดำรงอยู่และส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่นได้
ดังนั้นเลยดูเหมือนว่า พวกเราทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งและมีร่องรอยของเรื่องราว ของประวัติศาสตร์ ของความคิด ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่อยู่เสมอ
อ้างอิงข้อมูลจาก