แม้การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงโดยปกติจะเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจและการพัฒนา รวมถึงการกระจายตัวของเมืองเป็นอย่างมาก แต่ในความเห็นของผู้เขียน เนื่องจากการสร้างรถไฟความเร็วสูงของรัฐบาล คสช. นั้นมีการเร่งรัดที่ผิดปกติ ประกอบกับความพยายามลัดขั้นตอนหลายขั้นตอนที่รัฐบาลในประเทศพัฒนาแล้วดำเนินการ การสร้างรถไฟความเร็วสูงครั้งนี้จึงอาจทำให้เกิดปัญหามหาศาลในอนาคตได้
ผู้เขียนจึงได้เสนอสิ่งที่หายไปจากโครงการรถไฟความเร็วสูงของคสช.โดยทบทวนบทเรียนจากประเทศอื่นๆ ที่พัฒนาแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคยุโรป เพื่อเป็นกรณีศึกษาอุปสรรคในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย
มาตรฐานที่หายไป
โดยปกติแล้วนั้นรถไฟฟ้าความเร็วสูงในโลกนี้มีหลายระบบ และแต่ละระบบก็มีความแตกต่างกันทางด้านเทคโนโลยีจนไม่สามารถนำรถไฟของอีกระบบหนึ่งมาวิ่งในรางของอีกระบบหนึ่งได้ ลองคิดถึงจะเอาอุปกรณ์มือถือซัมซุงไปใช้กับไอโฟน ย่อมไม่สามารถทำได้
ดังนั้นการจะให้แต่ละเส้นทางเป็นสัมปทานแต่ละประเทศเลย เช่น ยกเส้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้กับประเทศจีน แล้วยกเส้นทางภาคเหนือให้กับประเทศญี่ปุ่น โดยไม่มีระบบมาตรฐานในประเทศว่าจะให้บริษัทที่เข้ามาสร้างแบบใด
ก็จะทำให้เทคโนโลยีของทั้งสองเส้นทางนั้นแตกต่างกัน ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ (Incompatibility)
ในยุโรปนั้นเคยเกิดปัญหาระบบรถไฟไม่เข้ากันมาแล้ว เพราะการวิ่งเชื่อมประเทศต่างๆ ต้องมีระบบร่วมกัน ทางยุโรปเองจึงจัดทำมาตรฐานร่วมขึ้นมา ภายใต้ชื่อ ‘The European Rail Traffic Management System (ระบบจัดการจราจรทางรางของยุโรป)’ ซึ่งในที่สุดแล้ว หลังจากมีระบบนี้รถไฟในยุโรปก็สามารถวิ่งผ่านข้ามไปแต่ละประเทศได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนรถจักร อีกทั้งยังทำให้หลายๆ ประเทศที่แม้ไม่ได้อยู่ในยุโรป ก็นำระบบนี้หรือส่วนหนึ่งของระบบนี้ไปใช้ด้วย เช่น จีนและออสเตรเลีย
การที่ไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจนนั้น จะมีผลเสียมิใช่เพียงแค่การที่รถไฟไม่สามารถวิ่งข้ามระบบได้ แต่ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานย่อมแพงขึ้นด้วย เนื่องจากมีระบบต้องดูแลมากกว่าหนึ่งระบบ และจะทำให้เกิดการผูกขาดการซ่อมบำรุงเนื่องจากไม่ได้ใช้มาตรฐานเดียวกับที่ประเทศอื่นๆ ในโลกใช้
รัฐบาลควรจัดทำมาตรฐานที่สามารถใช้กับระบบรางทั้งประเทศต่อจากนี้ โดยอาจนำระบบที่เป็นสากลอยู่แล้วมาปรับใช้ได้ทันที เช่น ระบบในประเทศยุโรป
ซึ่งหากประเทศไทยสามารถจัดทำมาตรฐานได้ก่อน ไทยก็อาจสามารถเป็นผู้นำอาเซียนในการจัดทำมาตรฐานร่วมสำหรับอาเซียนเลยก็เป็นได้
แผนการเดินรถที่หายไป
ในประเทศเยอรมนีนั้น ก่อนที่จะสร้างหรือเปลี่ยนแปลงรางใดๆ คำถามที่ผุดขึ้นมาเลยคือ จะออกจากต้นทางเมื่อใดและอยากให้ไปถึงเมื่อใด โดยพิจารณาจากความต้องการในการเดินทางของประชาชนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต พิจารณาเวลาการต่อระหว่างรถไฟเพื่อการเชื่อมต่อระหว่างรถไฟสายไกลและรถไฟขบวนท้องถิ่น
เช่นเดียวกันกับประเทศไทย หากจะสร้างรถไฟความเร็วสูงก็ควรจะมี ‘แผนตารางการเดินรถ (ภาษาเยอรมัน : Fahrplankonzept)’ เพื่อจะได้รู้ถึงความจำเป็นของแต่ละเส้นทางว่าควรใช้ความเร็วเท่าใด แต่การที่อยู่ดีๆ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมมาให้สัมภาษณ์เรื่องการเปลี่ยนความเร็ว จาก 120-160 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็น 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็แสดงให้เห็นว่า ทางไทยไม่มีแผนการเดินรถใดๆเลย
แม้กระทั่งคนธรรมดา เวลาจะสร้างบ้านสักหลังยังต้องคำนึงถึงความต้องการและความจำเป็น แล้วรถไฟความเร็วสูงที่ใช้เงินลงทุนมหาศาล จะละเลยส่วนนี้ไปได้อย่างไร
การแข่งขันที่หายไป
ในการเดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงครั้งนี้ รัฐบาลคสช.ได้ใช้วิธีต่างกับรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย โดยได้เปิดเจรจากับรัฐบาลของชาติอื่นโดยตรง ทั้งรัฐบาลจีนในสายตะวันออกเฉียงเหนือ และรัฐบาลญี่ปุ่นในสายเหนือและสายตะวันออก
แต่การร่วมมือในลักษณะนี้ ไม่ก่อให้เกิดการแข่งขันที่แท้จริงในด้านราคาโครงการ เห็นได้จากโครงการสายตะวันออกเฉียงเหนือ เส้นทางกรุงเทพ-นครราชสีมา ได้มีค่าก่อสร้างอยู่ที่ 700 ล้านบาท/กิโลเมตร สำหรับความเร็วต่ำกว่า 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเมื่อเทียบกับแผนการสร้างทางรถไฟ จากเมืองฮัมบูร์ก/เบรเมน – เมืองฮันโนเวอร์นั้น พบว่ามีค่าก่อสร้างเพียง 240 ล้านบาท/กิโลเมตรเท่านั้น
จะเห็นได้ว่าการเจรจาแบบรัฐต่อรัฐโดยไม่เปิดให้แข่งขันอย่างเสรี ทำให้ราคาของโครงการสูงเกินจริงไปมาก
นี่ยังไม่นับว่าการที่รัฐบาล คสช. ต้องการเพิ่มความเร็วสูงสุดของรถไฟไปถึง 250 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น จะทำให้ราคาค่าก่อสร้างจะพุ่งไปอีกเท่าใด ผู้เขียนจึงเห็นว่ารัฐบาลคสช.จึงควรเปิดประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูง เพื่อการแข่งขันจากบริษัทหลากหลายสัญชาติเพื่อก่อให้เกิดราคาที่ต่ำมากที่สุด
ความรู้ที่หายไป
อาจดูเหมือนว่าไทยน่าจะได้รับคุณประโยชน์จากการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีจากจีนในการสร้างรถไฟครั้งนี้ และจะทำให้ไทยสามารถผลิตและซ่อมรถไฟทั้งความเร็วสูงและรถไฟท้องถิ่นได้อย่างประเทศที่เจริญแล้ว แต่จากข่าวที่ออกมาว่าการออกแบบรถไฟความเร็วสูงนั้นทั้งหมดทำเป็นภาษาจีน ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วทางฝ่ายไทยจะสามารถเรียนรู้อะไรจากโครงการรถไฟความเร็วสูงครั้งนี้ได้บ้าง หากแม้แต่ภาษาที่ใช้ยังไม่เป็นภาษาที่สากล
อีกทั้งการที่ทางรฟท.จะเป็นผู้รับผิดชอบโครงการรถไฟความเร็วสูงครั้งนี้ ก็ยิ่งมีคำถามต่อไปว่าบุคลากรของรฟท. นั้น มีทักษะที่เพียงพอจะรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากจีนหรือไม่
การถ่ายทอดเทคโนโลยี ควรเริ่มที่ภาษาที่ใช้ในการออกแบบ ก่อสร้าง รวมทั้งสื่อสาร เป็นภาษาที่เป็นสากล บริษัทจีนที่เข้ามาทำการสร้างรถไฟความเร็วสู ก็ควรมีลูกจ้างที่เป็นคนไทยเข้าไปร่วมทำงานกับผู้เชี่ยวชาญที่มาจากประเทศต้นทาง ดังนี้แล้วการถ่ายทอดความรู้จึงจะเกิดขึ้นได้จริง
ความโปร่งใสที่หายไป
ที่ผ่านมา ประชาชนได้รับรู้รายละเอียดโครงการในระดับที่น้อยมากๆ ไม่สามารถเข้าถึงรายละเอียดโครงการรวมทั้งรายละเอียดของการเจรจาระหว่างโครงการได้ ทำให้ประชาชนสับสนในข้อเท็จจริงของข่าวที่ออกมา ดังเช่นข่าวการยกกรรมสิทธิ์ที่ดินรอบๆ โครงการให้กับทางจีนดูแล ซึ่งหากข่าวนี้เป็นความจริง จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบอย่างมาก เพราะที่ดินรอบรถไฟที่มีความยาวหลายร้อยกิโลเมตรนั้น ย่อมมีมูลค่าที่สูงเกินมูลค่าโครงการรถไฟความเร็วสูงไปด้วยซ้ำ แม้ว่าทางการไทยจะออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ แต่จากการตรวจสอบก็พบว่าข่าวนี้ออกมาจากรัฐมนตรีคมนาคมในช่วงต้นปี 2559 นั่นก็แสดงว่าเคยมีการเจรจาเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง
ทางรัฐบาลไทย ควรเปิดเผยรายละเอียดของโครงการให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณค่าออกแบบและก่อสร้าง รวมทั้งข้อตกลงและเงื่อนไขต่างๆกับคู่สัญญาที่จะมีผลต่อประชาชนไทยโดยตรงในอนาคต
ถ้าว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ ‘ขาดหาย’ ไปทั้งหมดนี้ อาจจะเริ่มมาจากการที่เสียงท้วงติงต่างๆ นั้น ‘ขาดหาย’ ไปจากการรับฟัง การจะทำโครงการใดๆ สิ่งแรกที่สุดที่ควรทำ ก็คือการ ‘เปิดใจ’ รับฟังความเห็นต่างๆ
เพราะประเทศไทยนี้ก็เป็นของพวกเราทุกคน