ท่ามกลางความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กระแส ‘รักชาติ’ และ ‘ทหารนิยม’ กลับมาอีกครั้ง ผ่านปรากฏการณ์เชิญแม่ทัพภาค 2 ไปบรรยายในสถานศึกษา ซึ่งนำมาสู่คำถามสำคัญว่า เขาไปพูดอะไรบ้าง และค่านิยมแบบไหนที่กำลังถูกส่งต่อถึงเยาวชนไทย?
ย้อนไปเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2568 หลังมีการยิงกันที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาเริ่มตึงเครียดขึ้น มีการรายงานเป็นระยะว่า ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดหลายครั้ง ทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บสาหัสและสูญเสียอวัยวะหลายราย
พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของ ‘กองทัพภาคที่ 2’ ซึ่งดูแลพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด โดยมี แม่ทัพกุ้ง–พลโท บุญสิน พาดกลาง เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพ ด้วยบทบาทที่เป็นผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจและสั่งการเพื่อรักษาอธิปไตยของแผ่นดิน บุญสินได้กลายเป็นขวัญใจชาวไทยส่วนหนึ่ง
ในสภาวะสังคมที่กระแส ‘ชาตินิยม’ กับ ‘ความนิยมทหาร’ ซบเซาลง เหตุความขัดแย้งชายแดนครั้งนี้กลับมีส่วนช่วยกอบกู้ภาพลักษณ์ที่ดีของทหาร สังเกตจากการที่สถานศึกษาต่างๆ เชิญแม่ทัพภาค 2 ไปร่วมบรรยายพิเศษตลอดช่วงเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา
The MATTER ได้รวบรวมและถอดรหัสใจความจากการบรรยายของบุญสิน เพื่อชวนตั้งคำถามว่า ‘วาทกรรม’ ที่ถูกส่งต่อให้เยาวชนนั้นกำลังปลูกฝังอะไรในสังคมกันแน่

‘แม่ทัพกุ้งออนทัวร์’ เดินสายบรรยายพิเศษ 10 โรงเรียน 16 มหาวิทยาลัย ใน 4 เดือน
วันที่ 11 กันยายน 2568 ประชาไทรายงานว่า หลังเหตุการณ์ยิงกันที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อ 28 พฤษภาคม 2568 – 19 กันยายน 2568 บุญสินได้มีกำหนดการเดินทางไปบรรยายตามสถานศึกษาต่างๆ รวมอย่างน้อย 27 ครั้ง
โดยมีการไปบรรยายพิเศษในโรงเรียน 10 ครั้ง มหาวิทยาลัย 16 ครั้ง และสถาบันอาชีวศึกษา 1 ครั้ง ทั้งนี้ การเยี่ยมเยืยนมหาวิทยาลัยบางครั้งจะมีนักเรียนจากโรงเรียนใกล้เคียงเข้าร่วมด้วย เช่น การบรรยายที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยนครพนม
‘ภาคอีสาน’ คือภูมิภาคที่บุญสินไปร่วมบรรยายพิเศษมากที่สุด คืออย่างน้อย 20 ครั้ง รองลงมาคือภาคกลาง 5 ครั้ง และมีการไปบรรยายที่ภาคเหนือและภาคใต้อย่างละครั้ง คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
ในช่วงแรก (มิถุนายน-กรกฎาคม) บุญสินถูกรับเชิญไปร่วมกิจกรรมในสถานศึกษา อย่างการรับขวัญนักศึกษาใหม่ ก่อนจะถูกเชิญไปบรรยายพิเศษรัวๆ หลังเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา (24-28 กรกฎาคม 2568) คือ 22 ครั้ง
หนึ่งในนั้นบุญสินได้ถูกเชิญไปรับโล่ยกย่องเชิดชูเกียรติและประกาศเกียรติคุณบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ในงานวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 9 กันยายน
ซึ่งการบรรยายพิเศษแต่ละครั้งมีหัวข้อที่สะท้อนถึงการ ‘ปลุกจิตสำนึก’ ให้มีความภาคภูมิใจในชนชาติไทย และสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีบางหัวข้อเจาะจงเกี่ยวกับประสบการณ์การทำงานในพื้นที่ชายแดนของบุญสิน แต่เมื่อลองเข้าไปฟังการบรรยายแล้วพบว่า “มีเนื้อหาไม่ต่างกัน” ดังนี้
เด็กบ้านนอกที่จริงใจ ไม่ถือตัว
เมื่อบุญสินไปบรรยายในสถานศึกษา เขามักเริ่มต้นหรือลงท้ายว่า “ไปพบปะน้องๆ ที่ไหน ไม่เคยเอาโพลไปเลย เอาไปแต่ตัวกับหัวใจ” เพื่อสื่อว่าการบรรยายแต่ละครั้งเป็นถ้อยคำที่กลั่นมาจากใจ พร้อมกล่าวอีกว่า เขาเป็นคนซื่อสัตย์ จึงไม่กังวลว่าตัวเองจะพูดอะไรผิด
“ไปไหนก็มีคนอยากพบ เพราะลุงแม่ทัพรักพวกเขา เขาดูตา ดูการกระทำออก เขาอยากกอดความจริงใจของประเทศไทย” (4 ก.ย. 2568 รร.สุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา)
อยากกอดผู้ชายคนนั้นจังเลย คือเพลงที่เป็นกระแสใน TikTok พร้อมภาพหรือวิดีโอบุญสินขณะปฏิบัติภารกิจต่างๆ บุญสินกล่าวว่า เขาไม่เคยทำวิดีโอดังกล่าวด้วยตนเอง แต่คิดว่า ความจริงใจที่เขามีสะท้อนผ่านแววตาและการกระทำที่ผ่านมาของเขา ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของคนไทยทั้งประเทศ
“ลุงแม่ทัพ ไปสอบโรงเรียนทหาร คิดอย่างเดียวว่า ต้องอ่านหนังสือ วิ่ง เหนื่อย เพราะพ่อแม่ยากจนต้องอ่านอย่างเดียว ไม่รู้คิดได้ยังไงว่า อยากเป็นทหาร ไปสอบสองครั้ง ครั้งแรกได้สอบ ครั้งที่สองสอบได้” (4 ก.ย. 2568 รร.สุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา)
อีกหนึ่งภาพลักษณ์ที่บุญสินหยิบขึ้นมาใช้บรรยายในสถานศึกษา คือ ภูมิหลัง ‘เด็กบ้านนอก-ยากจน’ แต่มีความพยายามและมุมานะที่จะรับใช้ประเทศ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนที่จะเติบโตขึ้นไปเป็นอนาคตของประเทศ
แม้จะได้ตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพภาค แต่บุญสินยังเล่าวิถีการใช้ชีวิตที่ ‘ไม่ถือตัว’ ผ่านการเล่าเรื่องการร่วมวงกินข้าวกับลูกน้อง โดยกล่าวว่า “กินข้าวกับลูกน้องอร่อยที่สุดในโลก เพราะได้กินกับคนรู้ใจ คนรักชาติแผ่นดินเหมือนกัน” (17 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยนครพนม จ.นครพนม)
ทหารมีไว้ทำไม?
หนึ่งเรื่องสำคัญในการบรรยายของบุญสิน คือ ‘เรื่องจริงจากชายแดน’ โดยเขาจะหยิบประสบการณ์ช่วงการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา วันที่ 24-28 กรกฎาคม 2568 มาเล่าให้นักเรียนนักศึกษาฟัง
เนื้อหาส่วนนี้จะไม่ได้เล่าถึงยุทธศาสตร์หรือวิธีการทางทหาร แต่จะเล่าภาพ ‘การบาดเจ็บ’ หรือ ‘การสูญเสีย’ ของทหารแนวหน้าที่สละชีวิตเพื่อแผ่นดิน
“ร้อยตรีหนุ่ม พาลูกน้องเข้ายึดแผ่นดินคืน เขาเหยียบกับระเบิดขาขาด เมื่อฟื้นมาเขาบอกว่า ‘พี่ครับ เรายึดที่หมายได้หรือยัง’ ” (17 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยนครพนม จ.นครพนม)
นอกจากเรื่องราวของร้อยตรีหนุ่มอนาคตไกลแล้ว บุญสินมักเล่าเรื่อง การที่ทหารแนวหน้าอื่นๆ บาดเจ็บ ต้องสูญเสียอวัยวะ แต่เมื่อฟื้นจากการรักษาแล้ว คำพูดแรกๆ ที่พวกเขาพูด คือ “ผมสบายดีครับแม่ทัพ” หรือ “พี่ครับ เรายึดที่หมายได้หรือยัง” และไม่มีใครห่วงตัวเอง มีแต่ห่วงประเทศชาติ
เรื่องราวข้างต้นมักถูกเชื่อมโยงกับคำถามว่า “ทหารมีไว้ทำไม?” แม้คำถามนี้จะตั้งขึ้นในบริบทของ ‘ทหารที่เข้ามามีบทบาททางการเมือง’ แต่บุญสินยังใช้เรื่องราวการเสียสละของทหารชั้นผู้น้อยเหล่านี้ในการตอบคำถามดังกล่าว
“ผมบอกน้องๆ ทั้งหลายว่า พวกเราทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว อยู่ที่ไหนก็ตายเหมือนกัน รวมถึงแม่ทัพด้วย ไม่รู้จะตายวันไหน ตายแล้ว ก็ตายแบบมีเกียรติ ตายเพื่อชาติบ้านเมืองดีกว่าไหม ดีกว่ารถแหกโค้งตาย เมาแล้วขับ หรือโกงกินบ้านเมืองแล้วถูกจับตายคาห้องขัง เมื่อถึงเวลาคนเราตายทุกคน” (9 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์)
‘เครื่องแบบ’ ที่ภาคภูมิใจ และ ‘ธงชาติไทย’ ที่ต้องรักษา
“ผมใส่ชุดฝึกมาวันนี้เพื่อให้ทุกท่านได้ทราบว่า ปัจจุบันนักรบหน้าแนวยังตรึงกำลังอยู่ ผมแต่งเครื่องแบบนี้ ผมอยู่กับลูกน้องก็มีความเสี่ยงเท่ากัน” (9 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์)
บุญสินมักใส่เครื่องแบบทหารระหว่างการบรรยายพิเศษต่างๆ นอกจากเหตุผลเรื่องชุดที่บ่งบอกอาชีพของเขาแล้ว บุญสินยังให้เหตุผลว่านี่คือเครื่องแบบที่เขาภาคภูมิใจ เพราะมีประเทศไทยอยู่ด้วยตลอดเวลา และลูกน้องของเขาได้บาดเจ็บ สละชีวิต ในเครื่องแบบเดียวกัน
“บนบ่าซ้ายของแม่ทัพมีประเทศไทยอยู่ด้วยตลอด ทุกครั้งที่แต่งเครื่องแบบนี้ต้องหาธงชาติมาติดก่อนอันดับแรก” (17 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยนครพนม จ.นครพนม)
นอกจากความภาคภูมิใจในเครื่องแบบแล้ว แม่ทัพภาคที่ 2 ยังกล่าวถึงความภาคภูมิใจใน ‘ธงชาติ’ ซึ่งประกอบด้วยสีแทน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเขามองว่าเป็นสถาบันหลักของสังคมไทย และควรค่าต่อการรักษาไว้
“แม่ทัพเอาเรื่องพวกนี้มาพูด คือ ให้พวกเรายึดมั่นใน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราต้องรักษาไว้ ใครพูดอะไรที่จะทำให้ 3 สถาบันนี้ไขว้เขว ต้องคิดให้ดี เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่กับประเทศไทยเรามานานแล้ว” (17 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยนครพนม จ.นครพนม)
ทั้งนี้ ‘สีแดง’ ของ ‘ชาติ’ ในนิยามของบุญสิน คือ แผ่นดินและคนที่อยู่ในแผ่นดิน โดยทหารทำหน้าที่ในการปกป้องแผ่นดิน พร้อมเน้นย้ำว่า “เราจะไม่ยอมเสียแผ่นดินอีก” และอยากให้ทุกคนร่วมกัน “ทำให้เป็นสีแดงของชาติเป็นสีเลือดหมูเข้ม”
ขณะที่ ‘สีขาว’ ของ ‘ศาสนา’ ถูกเชื่อมโยง ‘ศาสนาพุทธ’ โดยตรง คือ การเชิญชวนให้ผู้ฟังรักษาศีล 5 และเน้นย้ำหัวข้อเกี่ยวกับการโกงและประโยชน์ส่วนรวม แม้จะกล่าวว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่คนไม่ดีคือคนที่ไม่ปฏิบัติตามหลักคำสอนที่กำหนดไว้ก็ตาม
“คนไม่มีหลักศาสนาก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน จะทำอะไรโดยไม่คิด…โกงคนอื่นโดยไม่คิดเห็นแก่ส่วนรวม” (5 ก.ย. 2568 เตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ)
ส่วน ‘สีน้ำเงิน’ ของ ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ บุญสินกล่าวว่า สถาบันฯ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยมาตั้งแต่อดีต แม้แต่ในรัชกาลปัจจุบัน ในหลวงยังคงเป็นห่วงประชาชนทุกคน โดยรับคนไข้ ผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต จากเหตุความขัดแย้งชายแดน เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ทั้งหมด
“พระเจ้าอยู่หัวเป็นห่วงอยู่ทุกวัน ท่านรับคนไข้ คนป่วย คนเจ็บ จากการรบ เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ทุกคน นั่นคือพระเจ้าแผ่นดิน พวกเราอาจจะไม่ทราบ ถ้าแม่ทัพไม่เอามาเล่าให้ฟัง” (5 ก.ย. 2568 รร.เตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ)
สุดท้ายนี้ บุญสินเน้นย้ำว่า สามสถาบันดังกล่าวมีความสำคัญกับประเทศ หากคนไทยมีความสามัคคีและความรักต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างมั่นคง นานาประเทศจะชื่นชมในความเป็นหนึ่งเดียวกันของประชาชนไทย และกองทัพจะสามารถพัฒนาอย่างเข้มแข็งหากมีความสามัคคี
“ถึงยุคพวกเราต้องค้ำจุนให้มั่นคงให้ได้ อย่าให้เสียไปในยุคของพวกเรา บรรพบุรุษจะสาปแช่ง แผ่นดินนี้ พวกมึงรักษากันไม่ได้ มัวแต่ทะเลาะกัน ทำไมไม่คุยกันดีๆ หาคนดี มาช่วยกันดูแลสังคม” (16 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยขอนแก่น จ.ขอนแก่น)
หากไม่รักษาสถาบันหลักของชาติ ระวังเป็นแบบ ‘เนปาล’ ?
“ประเทศเนปาลบ้านป่าเมืองเถื่อน ไม่มีอะไรเลยเป็นแก่นยึดเหนี่ยว พระมหากษัตริย์ก็ล้มไปแล้ว ทหารก็ไม่เข้มแข็ง สุดท้ายเผาบ้านเผาเมือง” (16 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยขอนแก่น จ.ขอนแก่น)
หนึ่งในกรณีตัวอย่างที่บุญสินมักหยิบยกมาใช้ หากคนไทยไม่สามารถรักษาสถาบันหลักของประเทศไว้ได้ โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ คือ ‘ประเทศเนปาล’ ซึ่งผ่านช่วงการประท้วงและการเผาสถานที่ราชการไปเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา
บุญสินให้เหตุผลที่ประเทศเนปาลเกิดเหตุประท้วงครั้งใหญ่ว่า “ไม่มีกษัตริย์และทหาร” ซึ่งต่างจากประเทศไทยที่ยังมีกองทัพ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวมของชาติ
ถึงกระนั้น การกล่าวอ้างดังกล่าวของบุญสินอาจก่อให้เกิด ‘ความเข้าใจผิด’ ต่อผู้ฟังได้ เพราะการชุมนุมครั้งใหญ่ของเนปาลนี้ เกิดจากความโกรธแค้นสะสมของประชาชนที่มีต่อความอยุติธรรมของประเทศในหลายมิติ ทั้งความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม การคอร์รัปชัน การใช้ชีวิตหรูหราของอภิสิทธิ์ชน และวิกฤติการว่างงานในสังคม
ดังนั้น การอ้างถึงประเทศที่ไม่มีกษัตริย์หรือไม่มีกองทัพที่เข้มแข็งแล้วจะเกิดการชุมนุมประท้วง (ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน) จึงเป็นการเปรียบเทียบที่ผิดฝาผิดตัว
เพราะหากเทียบเคียงถึงประเทศที่ไม่มีบางสถาบันฯ ก็ยังสามารถดำเนินกิจการสาธารณะและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนได้ เช่น ฝรั่งเศส, เยอรมนี, สหรัฐอเมริกา, เกาหลีใต้ เป็นต้น
‘พระนเรศวร-พระเจ้าตากสิน’ สู้รบหาแผ่นดินให้ลูกหลาน ทำไมเรายืนเคารพเพลงไม่ได้?
“แผ่นดินเราก็เหลืออยู่เท่านี้ แต่ก่อนเรามีมากกว่านี้ กษัตริย์อย่างพระนเรศวรและพระเจ้าตากสิน ไปสู้รบ หาแผ่นดินให้ลูกหลานคนไทยอยู่ด้วยเลือดเนื้อและชีวิต” (16 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยขอนแก่น จ.ขอนแก่น)
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่บุญสินพูดอยู่เสมอ คือ พระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าแผ่นดินสมัยก่อน อย่าง ‘สมเด็จพระนเรศวรมหาราช’ และ ‘สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช’ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการสู้รบกับหัวเมืองรอบข้าง และการกู้เอกราชหลังการเสียกรุงทั้ง 2 ครั้ง ในสมัยอยุธยา
เรื่องราวดังกล่าว ถูกหยิบยกมาเพื่อให้นักเรียนระลึกถึงบุญคุณของบรรพบุรุษที่ต้องสละเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดิน คล้ายกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชายแดนซึ่งมีพลทหารจำนวนมากกำลังเสี่ยงชีวิตอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
บุญสินเชื่อมโยงการสละชีพของกษัตริย์ไทยในสมัยก่อนกับการยืนเคารพ ‘เพลงสรรเสริญพระบารมี’ และ ‘เพลงชาติ’
“แค่ยืนขึ้นเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีไม่ถึง 2 นาที ยังทำไม่ได้เลย มันเกิดอะไรขึ้นกับคนไทย มันอายอะไร กับความเหนื่อยยาก ความเสียสละของบรรพบุรุษ พระมหากษัตริย์” (17 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยนครพนม จ.นครพนม)
นอกจากนั้น บุญสินยังบอกนักเรียนที่เข้าฟังการบรรยายพิเศษในมหาวิทยาลัยขอนแก่นว่า “น้องๆ ทุกคนถ้ามีโอกาสร้องเพลงชาติให้ร้องดังๆ ยืนให้ตรง แล้วร้องออกมาจากหัวใจ” เพราะทุกคนยังมีแผ่นดินและเพลงชาติเป็นของตัวเอง ต่างจากเด็กที่อาศัยอยู่ใน ‘ศูนย์อพยพ’ บริเวณชายแดน
“พวกเธอมีแผ่นดินยืนและมีชาติของตัวเอง ขณะที่ศูนย์อพยพไม่มีแม้แต่โอกาสได้ร้องเพลงชาติและมีแผ่นดินอยู่ พวกเราไม่ต้องอายครับ ตะโกนออกมา ร้องดังๆ ให้ชาติอื่นได้ยิน ว่ากูนี่แหละคนไทย” (16 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยขอนแก่น จ.ขอนแก่น)
ถึงกระนั้น ช่วงท้ายของการบรรยายที่ขอนแก่น มีผู้ร่วมฟังการบรรยายถือภาพแม่ทัพภาคที่ 2 ธงชาติ และประดับตัวด้วยธงชาติ กล่าวพร้อมสะอื้นว่า
“ตนเองเกิดมาในยุคที่ทุกคนยืนเคารพธงชาติในทุกที่…เมื่อเพลงชาติขึ้น ทุกคนต้องหยุดและยืนตรง แต่มายุคที่บอกว่า ‘ทหารมีไว้ทำไม?’ หลายคนนั่งเฉยเหมือนไม่ได้ยินเสียงเพลงชาติดัง แล้วคนที่ยืนตรงคือคนที่ ‘คลั่งชาติ’ แต่วันนี้ที่ท่านทวงคืนแผ่นดินไทยให้เรา ทุกคนเข้าใจแล้วว่า ทหารมีไว้ทำไม ทุกคนรู้แล้วว่าเราควรยืนตรงเคารพธงชาติด้วยความภาคภูมิใจ เพราะนี่คือเลือดเนื้อของทหารทุกท่าน”
บุญสินตอบว่า “พวกเธอต้องคิดให้ดี ใช้สติ อย่าให้ใครชักจูงโดยง่าย…เพลงชาติตัวเองแท้ๆ อายที่จะหยุดยืน อายที่จะร้องออกมา” พร้อมกล่าวว่า “ทหารทุกคนคลั่งชาติ รวมถึงตนเองที่เป็นแม่ทัพด้วย เพราะถ้าไม่คลั่งชาติ คงไม่กล้าเอาชีวิตไปเสี่ยง”
นอกจากนั้น บุญสินยังชวนตั้งคำถามว่า คนที่ไม่หยุดยืนเพื่อเคารพธงชาติหรือเพลงสรรเสริญ เป็นคนที่อกตัญญูต่อบรรพบุรุษหรือไม่?
ทั้งนี้ การเคารพธงชาติ เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากนโยบาย ‘รัฐนิยม’ โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อ 8 กันยายน 2482 ซึ่งประกาศคนหยุดนิ่งเพื่อเคารพเพลงชาติและเพลงสรรเสริญ เพื่อสร้างค่านิยมและวัฒนธรรมใหม่ให้กับคนไทย
และประเทศไทยเป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่โรงเรียนระดับประถมและมัธยมมีการเข้าแถวเคารพธงชาติหน้าเสาธงตอนเช้าทุกวัน ตลอดระยะเวลากว่า 90 ปีที่ผ่านมา
ถึงเวลาหรือยังที่คนไทยจะรักบ้านเกิด?
“ถึงเวลาหรือยังที่คนไทยทั้งประเทศ จะกลับมาดูแลแผ่นดินประเทศชาติของเรา ช่วยทำให้ประเทศไทยของเราเกิดความเข้มแข็ง” (17 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยนครพนม จ.นครพนม)
เมื่อเล่าถึงภูมิหลังของตนเอง ประสบการณ์การเป็นแนวหน้า และการเชื่อมโยงเรื่องราวกับสถาบันหลักของชาติ บุญสินมักจบการบรรยายด้วยคำพูดปลุกใจให้เกิดความสำนึกรักแผ่นดินไทย ผ่านการชวนตั้งคำถามว่า “แล้วพวกเราทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีหรือไม่ ได้ทำอะไรให้ประเทศชาติบ้างหรือยัง?”
บุญสินไม่ได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า การทำเพื่อประเทศชาติคืออะไร? แต่ส่วนใหญ่จะตั้งคำถามหลังการเล่าเรื่องความเสียสละของทหารและบรรพบุรุษ โดยยกตัวอย่างสิ่งที่บุญสินได้ทำเพื่อประเทศ คือ เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต และมีความเสียสละ
นอกจากนั้น บุญสินยังกล่าวถึงลักษณะผู้นำที่ดีและทำเพื่อประเทศชาติในมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ว่า “ต้องไม่มีบุคคลใดโกงกินบ้านเมือง ซื่อสัตย์สุจริต มีวิสัยทัศน์ที่ดีในการบริหารประเทศ”
ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ซึ่งจะเป็นอนาคตของประเทศว่า “ขอให้พวกเธอทั้งหลาย เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีสติ มีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง…จะฟังหรือเชื่ออะไร ต้องคิดให้ดี”
“โซเชียลมีเดีย 80% หลอกลวง ปลอมทั้งนั้น ขอให้น้องทุกคนมีสติในการเสพสื่อ” (16 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยขอนแก่น จ.ขอนแก่น)
“แม้แต่การที่แม่ทัพมาพูดวันนี้ก็อย่าพึ่งเชื่อ ลองทบทวนว่าใช่หรือไม่ ลองกลับไปถามพ่อแม่ว่าที่แม่ทัพพูดนั้น เห็นด้วยหรือคิดอย่างไร พวกเธออต้องเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า เมื่ออายุครบพวกเธอจะไปเลือกตั้งได้ เราต้องช่วยหกันเปลี่ยนแปลงประเทศไปทางที่ดี” (4 ก.ย. 2568 รร.สุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา)
ยังยืนยันไม่เล่นการเมือง ไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเอง
“แม้หลายท่านจะขอร้องให้ผมไปรับตำแหน่ง ผมขอความเห็นใจว่า ผมได้ลั่นวาจาไปแล้ว ผมไม่กลืนน้ำลายตัวเอง ผมเป็นทหารอาชีพตั้งแต่เกิด ทำหน้าที่รักษาแผ่นดิน” (9 ก.ย. 2568 มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์)
การเดินสายบรรยายพิเศษในสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บุญสินถูกตั้งข้อสังเกตว่า “หรือเขากำลังปูเส้นทางทางการเมืองในอนาคต?” แม้เขาจะปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
ด้วยประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผู้นำกองทัพหลายคนมักจะยืนยันเช่นนี้ แต่หลังจากนั้นนายพลหลายคนก็มักจะทำการรัฐประหาร หรือมีส่วนร่วมกับการเมืองรัฐสภา จึงไม่แปลกใจที่บุญสินจะต้องตอบคำถามเหล่านี้กับสื่อมวลชนซ้ำไปซ้ำมา
ทั้งนี้ บุญสินไว้วางแผนชีวิตหลังเกษียณว่า จะเป็นที่ปรึกษาให้ผู้บัญชาการทหารบก ควบคู่กับการทำงานมวลชน และให้ข้อมูลในเรื่องความมั่นคงต่อไป
แล้ว ‘แม่ทัพภาค 2’ พูดอะไรที่สถานศึกษา?
สุดท้ายนี้ การบรรยายในสถานศึกษาของแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามอง เพราะเขาได้นำเรื่องราวการเสียสละของทหารชายแดนและการมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจ เป็นเส้นเรื่องหลักในการบรรยายเพื่อให้เยาวชนรู้สึกภูมิใจในแผ่นดินเกิด
ขณะเดียวกัน เขาก็ได้ผลิตซ้ำวาทกรรมว่าการเป็น ‘พลเมืองดี’ ซึ่งต้อง ซื่อสัตย์ สุจริต และกตัญญู ต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
แล้วการบรรยายที่ผลิตซ้ำวาทกรรมแบบดั้งเดิมนี้ จะส่งผลต่อสำนึกและความคิดของเยาวชนอย่างไรในอนาคต?
แม้ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แต่ปรากฏการณ์ ‘แม่ทัพกุ้งออนทัวร์’ ก็ได้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ‘ความรักชาติ’ และ ‘ทหารนิยม’ ไม่เคยหายไปจากกระแสสังคมไทย
หมายเหตุ – บทความนี้รวบรวมข้อมูลจากการบรรยายพิเศษของ พลโท บุญสิน พาดกลาง ดังนี้
- 4 กันยายน 2568 – บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ความรักและเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” รร.สุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา
- 5 กันยายน 2568 – บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ความจริงจากประเทศไทย The truth from Thailand” รร.เตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ
- 9 กันยายน 2568 – ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ความจงรักภักดี ต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์
- 16 กันยายน 2568 – บรรยายพิเศษหัวข้อ “เรื่องเล่าจากแม่ทัพกุ้ง จากแนวหน้าสู่แนวหลัง สร้างพลังจากความสามัคคี” มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- 17 กันยายน 2568 – บรรยายพิเศษ หัวข้อ “เรื่องเล่าจากแนวหน้าและการรักษาอธิปไตย และปลูกจิตสำนึกรักชาติบ้านเมืองสำหรับเยาวชนรุ่นใหม่” มหาวิทยาลัยนครพนม