ปกติแล้ว Work-Life Balance นั้น เป็นปัญหาอันดับต้นๆ ที่สร้างความเครียด ความกังวล ให้กับคนทำงานมาตลอด และปัญหานี้ก็ยิ่งทวีคูณความรุนแรงให้เห็นภาพชัดขึ้น ในตอนที่โลกตั้งใบต้องย้ายการทำงานมาไว้ที่บ้าน การทำงานที่บ้านยิ่งแสดงให้เห็นชัดว่าเรามี Work-Life Balance กันมากน้อยแค่ไหน
หากเรามีกำลังมากพอที่จะซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆ มารองรับการทำงานที่บ้าน เนรมิตบ้านให้เหมือนออฟฟิศ มีบ้านที่กว้างมากพอ จะจัดพื้นที่ทำงานส่วนตัว แบบไม่มีใครเข้ามารบกวนได้ หรือสามารถลุกจากโต๊ะทำงานไปเอนหลังที่โซฟา โดยไม่กังวลกับเรื่องงาน นั่นอาจจะช่วยให้เรามี Work-Life Balance ที่ดีได้ด้วยกำลังทรัพย์ของเราเอง
แต่สำหรับคนที่ไม่ได้มีกำลังทรัพย์มากจะเนรมิตชีวิตดีๆ ให้ตัวเองได้ล่ะ? พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมี Work-Life Balance ที่ดีงั้นหรอ?
มันไม่ใช่และไม่ควรจะเป็นแบบนั้นเอาเสียเลย ผลสำรวจจาก Kisi ในหัวข้อ ‘เมืองที่มี Work-Life Balance ดีที่สุดในโลก ประจำปี ค.ศ. 2021’ แสดงให้เห็นว่า การมีสังคมที่ดี ระบบที่ดี การจัดการ การดูแลที่ดี ที่ออกมาเป็นภาพรวมง่ายๆ ว่าเป็น ‘เมืองที่ดี’ นั้น ช่วยให้เรามี Work-Life Balance ที่ดีได้เช่นกัน
โดยปัจจัยสำหรับการจะเป็นเมืองที่มี Work-Life Balance ที่ดีนั้นมีอยู่เยอะมาก โดยแบ่งเป็นหลายๆ ด้าน ดังนี้ ด้านคุณภาพชีวิตในการทำงาน แบ่งเป็น การทำงานแบบ Remote Jobs อัตราคนที่ต้องทำงานหนักเกินไป วันลาขั้นต่ำที่ได้ วันลาที่ใช้ไป อัตราคนว่างงาน คนที่ต้องทำหลายงาน วันลาที่ยังคงได้ค่าจ้างของพนักงานที่เป็นพ่อแม่เด็ก
ด้านการดูแลจากสังคมและภาครัฐ แบ่งเป็น ความช่วยเหลือเรื่องโรคระบาด ประกันสุขภาพ การเข้าถึงการดูแลสุขภาพจิต การยอมรับความหลากหลายทางเพศ
ด้านเมืองที่มีความเป็นอยู่ที่ดี แบ่งเป็น ที่อยู่อาศัยที่ราคาเอื้อมถึง ความสุข วัฒนธรรม ความปลอดภัยในการใช้ชีวิต พื้นที่นอกบ้าน คุณภาพอากาศ สุขภาพกายที่ดี และสุดท้ายด้านผลกระทบจาก COVID-19
ทีนี้มาดู 5 อันดับเมืองที่มี Work-Life Balance ดีที่สุด ปี 2021 กันเถอะ
อันดับ 1
เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ (Helsinki, FINLAND)
อันดับ 2
ออสโล ประเทศนอร์เวย์ (Oslo, NORWAY)
อันดับ 3
ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Zurich, SWITZERLAND)
อันดับ 4
สต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน (Stockholm, SWEDEN)
อันดับ 5
โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก (Copenhagen, DENMARK)
เมืองที่มี Work-Life Balance ดีที่สุด จึงเป็นเมืองที่มีโครงสร้างทางสังคมที่เอื้อให้ประชากรของพวกเขา มีความสุขท่ามกลางชีวิตที่ดี สภาพแวดล้อมที่ดี จากการจัดการเมืองที่ดีนั่นเอง ไม่ใช่แค่เมืองไหนทำงานหนักก็อดติดอันดับ เมืองไหนไม่น่าอยู่แล้วอดติดอันดับ แต่เมืองทุกเมืองจะถูกพิจารณาจากปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้น เพราะนี่ไม่ใช่การชี้ชวนว่าเมืองนี้ดีไปอยู่เมืองนี้สิ แต่จุดประสงค์หลักอยู่ที่การชี้ให้เห็นถึงการเติมเต็มความต้องการของประชากรในด้านใดบ้าง ที่จะสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตและการทำงานของเขาได้
เราได้รู้จักเมืองที่มี Work-Life Balance ดีที่สุด เติมเต็มความต้องการของประชากรได้ดีในทุกด้าน จนมีความสุขทั้งชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวกันไปแล้ว ในทางกลับกัน เมืองที่มีอัตราการทำงานหนัก ก็จะยืนอยู่ตรงข้ามเมืองแห่ง Work-Life Balance ที่เหล่าคนทำงานในเมืองนั้น ต้องใช้เวลาไปกับชั่วโมงการทำงานที่มากเกินไป ใช้วันลาที่ได้เพียงน้อยนิด
มาดู 5 อันดับ เมืองที่มีอัตราการทำงานหนักสูงที่สุดกันบ้าง
อันดับ 1
ฮ่องกง
อันดับ 2
ประเทศสิงคโปร์
อันดับ 3
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
อันดับ 4
บัวโนไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
อันดับ 5
โซล ประเทศเกาหลีใต้
ในขณะที่เรานั่งอ่านจนถึงบรรทัดนี้ เรารู้สึกว่าเรากำลังทำงานหนักเกินไปหรืออยู่เปล่า? อย่าลืมใช้วันลาที่เป็นสิทธิ์ของเรา เพื่อให้เราได้พักจากความเครียด ออกไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสาย ใช้เวลาไปกับชีวิตส่วนตัวของเราให้เต็มที่เหมือนตอนที่เราทุ่มเทกับงาน จนติดอันดับเมืองที่ทำงานหนักแบบนี้
.
อ้างอิงข้อมูลจาก
Work-Life Balance: Best Cities Worldwide in 2021 | Kisi (getkisi.com)