หลังจากเกิดวิกฤตการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนต่างตั้งคำถามว่าอะไรคือสาเหตุของหนึ่งในเหตุการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงที่สุดในประเทศไทยนี้กันแน่?
แม้นักวิทยาศาสตร์จะชี้ไปทางเดียวกันว่า ‘ปรากฏการณ์ลานีญา’ ปรากฏการณ์ที่ลมได้พัดพากระแสน้ำอุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิกเดินทางมายังภูมิภาคบ้านเรามากขึ้น จนเกิดการระเหยของน้ำกลายเป็นเมฆฝนเยอะผิดปกติ อันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดฝนตกหนักนานต่อเนื่องหลายวันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามที่นักอุตุนิยมวิทยาเรียกกันว่า ‘ฝนแช่’
แต่ในขณะเดียวกันก็กลับมีเสียงจากโลกออนไลน์บางส่วนกล่าวว่า เหตุการณ์น้ำท่วมนี้อาจจะเกิดจากความพยายามดัดแปลงสภาพภูมิกาศด้วยเทคโนโลยีลึกลับของรัฐบาลต่างชาติได้เช่นกัน เพื่อแสวงผลประโยชน์ทางการเมืองบางอย่าง เนื่องจากความรุนแรงและความเสียหายที่เกิดขึ้นดูจะเป็นสิ่งที่เกินเลยพลังของธรรมชาติไปมาก
โดยเทคโนโลยีที่ว่านั้นก็คือเครื่องส่งสัญญาณวิทยุความถี่สูงไปยังชั้นบรรยากาศระดับไอโอโนสเฟียร์ของโลก ภายใต้โครงการที่มีชื่อว่า ‘ฮาร์ป’ (HAARP—High-frequency Active Auroral Research Program) ของสหรัฐอเมริกา คล้องกับชื่อเครื่องดนตรีโบราณ ที่ชาวไอริชเชื่อกันว่าเป็นเครื่องดนตรีของเทพที่สามารถควบคุมสภาพอากาศได้ดั่งใจนึก

หากจะถามว่าโครงการฮาร์ปสามารถควบคุมสภาพอากาศและเป็นสาเหตุของน้ำท่วมภาคใต้ในปีนี้ใช่หรือไม่ คำตอบก็ ‘ไม่’ อย่างแน่นอน เนื่องจากคลื่นวิทยุความถี่สูงที่ปล่อยออกมาจากฮาร์ป ทำได้แค่เพิ่มอุณหภูมิของชั้นบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ทรงพลังพอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในสเกลใหญ่ๆ อย่างกรณีของน้ำท่วมภาคใต้ได้ และในความจริงแม้แต่เคลื่อนน้ำหยดเดียวก็ยังทำไม่ได้
แรกเริ่มเดิมทีทางการสหรัฐได้ตั้งโครงการนี้ขึ้นมาไว้แค่ใช้ศึกษาธรรมชาติของชั้นบรรยากาศระดับสูง เพื่อนำองค์ความรู้มาพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารที่จำเป็นต่อกองทัพในยุคสงครามเย็นเท่านั้น ก่อนที่จะส่งไม้ต่อให้ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแฟร์แบงก์เป็นผู้ดูแลมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทุกครั้งที่การกล่าวอ้างว่าภัยพิบัติมีต้นเหตุมาจากโครงการฮาร์ป นักวิทยาศาสตร์ก็ได้แต่ออกมาปฏิเสธอยู่เรื่อยไป
หนึ่งในหลักฐานที่นักทฤษฎีสมคบคิดที่มักหยิบมาโต้แย้งประกาศของนักวิทย์ก็คือภาพของแสงเหนือหรือแสงออโรร่าส่องสว่างอยู่เหนือสถานีส่งสัญญาณวิทยุของโครงการฮาร์ป ตอนที่สถานีกำลังดำเนินการส่งคลื่นวิทยุความถี่สูงออกไป ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าความบังเอิญและการจับแพะชนแกะ เพราะสถานที่ที่ตั้งของโครงการฮาร์ป อยู่ที่รัฐอลาสก้า ของสหรัฐอเมริกา อยู่แล้วทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นแสงเหนืออยู่เป็นประจำ ไม่ใช่เหตุการณ์แปลกประหลาดในบริเวณนั้นแต่อย่างใด

แต่นั่นไม่ได้หมายความมนุษย์จะไม่สามารถสร้างเทคโนโลยีที่ควบคุมสภาพอากาศได้เลยเสียทีเดียว เพราะในทางทฤษฎีแล้วมันยังคงเป็นไปได้ และจริงๆ เคยมีการใช้งานในระดับหนึ่งมาแล้วอีกด้วย นั่นก็คือ ‘เทคโนโลยีฝนเทียม’ ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นมาช่วงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อช่วยบรรเทาภัยแล้งที่เกิดขึ้นเป็นหลัก โดยอาศัยการปล่อยสารเคมีจากเครื่องบินที่ทำให้ละอองน้ำฝนในเมฆควบแน่นและตกกลับลงมาได้ง่ายขึ้น ทว่าในประวัติศาสตร์เทคโนโลยีฝนเทียมที่ดูเหมือนจะไร้ผิดภัยนี้เคยมีการนำไปใช้ในสงครามจริงๆ โดยสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนามระหว่างปี 1967-1972 ภายใต้ชื่อปฏิการณ์ป๊อปอาย (Popeye Operation)
โดยเป้าประสงค์หลักของปฏิบัติการป๊อปอายคือการทำลายเส้นทางโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Trail) ซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธและยุทภัณฑ์ต่างๆ จากเวียดนามเหนือไปให้กลุ่มเวียดกง ในการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลเวียดใต้และอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคในช่วงเวลาดังกล่าว ด้วยการทำให้สายฝนในฤดูมรสุมมีความรุนแรงหนักมากขึ้นควบคู่กับการใช้อาวุธปกติไปด้วย โดยอาศัยฐานบินจาก จังหวัดอุดรธานี ประเทศไทยเป็นฐานหลักในปฏิบัติการณ์นี้ ซึ่งไม่มีรายงานออกมาต่อสาธารณชนว่าปฏิบัติการนี้สัมฤทธิ์ผลมากน้อยแค่ไหนกันแน่
ในปัจจุบันเทคโนโลยีการทำฝนเทียมได้พัฒนามากขึ้นเสียจนไม่ต้องใช้เครื่องบินในการปล่อยสารเคมีเหมือนกับแต่ก่อนแล้ว เนื่องจากมีเครื่องปล่อยสารเคมีจากภาคพื้นดินเข้ามาแทนที่ ซึ่งเริ่มมีการติดตั้งอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในรัฐเท็กซัส เพื่อต่อกรกับวิกฤตสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ฤดูแล้งยาวนานขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี

ความจริงแล้วเทคโนโลยีการทำฝนเทียมยังคงเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเทคโนโลยีเดียวที่มนุษย์สามารถนำไปใช้ได้จริง นอกเหนือจากฝนเทียมก็ยังคงเป็นแค่เทคโนโลยีอยู่แค่ในหน้ากระดาษ ซึ่งเน้นไปที่การต่อกรภัยพิบัติมากกว่าที่จะควบคุมให้เกิดภัยพิบัติเกิดขึ้นตามที่นักทฤษฎีสมคบคิดกล่าวอ้างกับโครงการฮาร์ป ยกตัวอย่างเช่น แนวคิดที่จะทำให้เฮอร์ริเคนอ่อนกำลังลง
ในปีช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 บริษัท Dyn-O-Mat จากรัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา ได้คิดค้นสารเคมีจดสิทธิบัตรชื่อ Dyn-O-Gel ขึ้นมา โดยมีสมมติฐานว่าสารนี้จะทำให้ฝนตกลงมาคล้ายกับการทำฝนเทียม แต่เป็นการเร่งให้เกิดฝนตกหนักเร็วกว่าเดิมมาก จนเฮอร์ริเคนหมดกำลังลงไปก่อนที่จะปะทะเข้ากับพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นได้ ซึ่งทางบริษัทได้มีความพยายามติดต่อไปยังหน่วยงานที่ปล่อยเช่าเครื่องบินทิ้งระเบิดเก่า ๆ เพื่อทดสอบโปรยสารเคมีของตนลงไปในเฮอร์ริเคนของจริง แต่ทว่าในปี 2003 องค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาหรือ NOAA ได้ใช้แรงกดดันทางการเมืองให้ Dyn-O-Mat ต้องพับโครงการนี้ไป ด้วยเหตุผลที่ว่าวิธีการนี้อาจใช้ไม่ได้ผลจริงและก่อให้เกิดผลกระทบที่ใหญ่เกินกว่าที่บริษัทจะรับผิดชอบได้
ต่อมาในปี 2017 ก็มีข้อเสนอเรื่องวิธีหยุดยั้งเฮอร์ริเคนเพิ่มเติมมาอีกด้วยเทคนิค Laser Cooling หรือการใช้เลเซอร์ยิงไปที่พื้นผิวมหาสมุทรใต้เฮอร์ริเคนมีอุณหภูมิลดลง ทำให้เฮอร์ริเคนไม่มีพลังงานเพียงพอที่จะเดินหน้าต่อ และสลายตัวลงไปในที่สุด ซึ่งได้ผลจริงในการทดสอบในแบบจำลองคอมพิวเตอร์ แต่ยังไม่มีการทดสอบในชีวิตจริงเกิดขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน เหมือนกับเทคโนโลยีควบคุมสภาพอากาศอื่น ๆ ที่ยังคงอยู่ในหน้ากระดาษต่อไป
เรียกได้ว่าเครื่องที่ปรับสภาพอากาศได้ตามใจนึกแบบที่นักทฤษฎีสมคบคิดว่า โครงการฮาร์ปทำได้นั้นก็ยังคงแค่ความฝันที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมากกว่าที่จะสร้างมันขึ้นมาได้จริงๆ
อ้างอิงจาก