เราจะอยู่อย่างไรในโลกที่เปลี่ยนไปทุก 5 ปี 10 ปี?
A.I. / Digital / Disruption คุณได้ยินคำนี้กันบ่อยแค่ไหน แต่ผลกระทบและการปรับตัวที่จะอยู่กับมัน ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันเรื่อยมา
ในยุคที่โลกกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ ‘ของเก่า’ ค่อยๆ ถูก disruption ไปไม่น้อยเหมือนกัน ความรวดเร็วทันใจของระบบดิจิทัลทำให้ชีวิตสะดวกสบาย และคล่องตัวขึ้นก็จริง แต่อีกแง่หนึ่งพัฒนาการของเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วก็อาจนำมาซึ่งความสั่นคลอนต่อการเรียน การทำงาน และอาชีพในอนาคตของเราๆ ก็ได้
The MATTER ตามไปฟังเสวนาว่าด้วยเรื่อง ‘ดิจิทัลศึกษากับอนาคตสังคมไทย’ หัวข้อบรรยายที่รวบรวมนักวิชาการจากศาสตร์หลากแขนงมาไว้บนเวทีเดียวกัน เพื่อร่วมพูดคุย-แลกเปลี่ยนหลายประเด็น ทั้งการศึกษา การทำงาน อาชีพที่อาจจะหายไป และเกิดขึ้นใหม่
แต่ละศาสตร์วางที่ทางของสาขาวิชาตัวเองในยุคดิจิทัลแบบนี้ยังไงกันบ้าง เราสรุปมาให้ฟังกันตามนี้นะ
สมดุลของวิทยาศาสตร์ คือ ต้องสร้างและดูแลไปพร้อมๆ กัน
อ.จิตร์ทัศน์ ฝักเจริญผล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นนักวิชาการคนเดียวในวงเสวนาวันนี้ที่เป็นตัวแทนจากฝั่ง sciences อ.จิตร์ทัศน์ เริ่มต้นการบรรยายว่า ในมุมของ ‘technician’ อย่างนักพัฒนาสายเทคโนโลยีเองก็ไม่ได้คาดคิดเหมือนกันว่า โลกจะเข้าสู่ยุคดิจิทัลรวดเร็วขนาดนี้ แม้ว่ากลุ่มของ computer sciences จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของ A.I. หรือ Digital Technology ก็ตาม เพราะธรรมชาติในการทำงานของ technician คือ พยายามคิดค้น-ต่อยอดให้บรรลุเป้าหมายไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลลัพธ์ว่า ทั้งหมดอาจจะกลายเป็นผลกระทบระยะยาวต่อมนุษย์มากขนาดนี้
อาจารย์บอกว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว คือ ‘e-commerce’ หรือการค้าขายธุรกิจ เมื่อ e-commerce โตขึ้น นักเทคโนโลยีจึงพยายามออกแบบแพลตฟอร์มหรือโปรดักต์ เพื่อให้รองรับกับคนมากที่สุด
จากการเติบโตของธุรกิจเหล่านี้ ทำให้เกิดบริษัทเทคโนโลยีที่เรียกว่า ‘data-hungry tech companies’ หรือบริษัทเทคโนโลยีที่หื่นกระหายข้อมูล สิ่งที่บริษัทแบบนี้ต้องทำ คือ การออกแบบแพลตฟอร์มเพื่อดึงให้ผู้ใช้งานอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์นานๆ จนเกิดเป็น ‘attention economy’ ขึ้น
“จริงๆ computer sciences ก็ค่อนข้างสร้างปัญหาให้กับทุกคนพอสมควร ซึ่งบางทีเราก็ไม่ได้ตั้งใจ อย่างเช่น การสร้าง A.I. ที่ทำให้เรากลับไปคุยกับคนที่เสียชีวิตแล้วได้ เช่น พ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว เอารูปพ่อมาเข้าระบบก็เสมือนกลับมาคุยกับพ่อได้อีกครั้ง จริงๆ แล้วไอเดียเป็นแบบนี้ แต่สุดท้ายพอ A.I. เริ่มพัฒนาตัวเองมากขึ้นมันก็ beyond ไปเกินกว่าที่นักเทคโนโลยีตั้งเป้าไว้ กลายเป็นของพวกนี้พัฒนาไปไกล จนอาจทำให้เกิด fake news ได้ ตอนนี้เทคโนโลยีมันกลายเป็น mentality ที่สร้างปัญหาไปแล้ว”
ปัญหาอีกอย่างคือ นักพัฒนาสายเทคโนโลยีเองก็ไม่อยากถูกกำกับจากรัฐเหมือนกัน เพราะบางส่วนก็ยังเชื่อว่า ท้ายที่สุดเทคโนโลยีจะสามารถกำกับด้วยตัวของมันเองได้ แต่จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นหลายๆ ครั้ง เมื่อเกิดผลกระทบจริงๆ นักเทคโนโลยีเองก็ต้องหันกลับมาฟังสังคม และใส่ใจกับผลลัพธ์ที่จะตามมาด้วย
ดิจิทัลกับตัวตนเป็นเรื่องเดียวกัน
นักรัฐศาสตร์อย่าง อ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า ดิจิทัลไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่ดิจิทัลได้กลายเป็น ‘being’ หรือตัวตนของคนทุกคนไปแล้ว เมื่อพูดคำว่า ดิจิทัล หลายฝ่ายยังให้น้ำหนักไปในเรื่องของ impact model หรือเรื่องเชิงนโยบายมากกว่า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วดิจิทัลได้เข้ามามีส่วนสำคัญกับชีวิตถึงในระดับของ time and space เลยก็ว่าได้
อาจารย์พิชญ์ยกตัวอย่างกรณีการใช้แอพพลิเคชั่นธนาคารในการโอนจ่ายเงิน ปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับการใช้แอพพลิเคชั่นธนาคารแบบนี้ คือ แอพฯ ไม่มีการระบุสถานที่ที่เราทำธุรกรรมออนไลน์ ทำให้เมื่อเกิดปัญหาขัดข้องในการใช้งาน เช่น โอนแล้วเงินในบัญชีถูกตัด แต่ไม่ถึงบัญชีปลายทาง แล้วเราต้องการแจ้งความ ผู้ใช้งานต้องจดจำสถานที่ในการโอนให้ได้ แม้ขณะนั้นจะอยู่ระหว่างการเดินทางก็ตาม ซึ่งเรื่องของสถานที่ในการโอนก็ไม่สามารถหาคำตอบจากทางธนาคารได้เช่นกัน
ปัญหาที่ตามมาก็คือ หากแจ้งสถานที่ผิด คดีนั้นจะเป็นโมฆะทันที ท้ายที่สุดทุกอย่างจึงวกกลับมาที่การเรียกหาตัวตนของผู้ใช้งาน โดยที่ระบบเองก็ไม่มีความผิดใดๆ
“ผมต้องการอธิบายเรื่อง being ว่า ปัจจุบันตัวเรากับโลเคชั่นกลายเป็นตัวตนที่เป็นเนื้อเดียวกันไปแล้ว ตัวตนของคุณต้องมีทั้ง time and space และ time and space นั้นต้องไม่ใช่ time ที่มีเพียงหลักฐานการโอนเงิน แต่ถ้าหลักฐานนั้นไม่ระบุ space ที่แน่นอนมันก็ไม่มีผล กลายเป็นโลเคชั่นของคุณถูกระบุด้วยเทคโนโลยี ซึ่งผมคิดว่า being มันเปลี่ยน space มัน matter ขึ้นในความหมายใหม่ๆ ด้วย และสุดท้ายมันจะไปมีผลต่อความเปราะบางของประชาชน”
ดิจิทัล รัฐ และกฎหมาย
ในทางนิติศาสตร์ได้มีการศึกษาประเด็นระหว่างความก้าวหน้าของดิจิทัล ความเข้าใจของประชาชน และกฎหมายที่ยังไม่สอดคล้องกับบริบทในขณะนี้มากนัก
อ.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักวิชาการด้านกฎหมายที่มีความสนใจประเด็นด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีอธิบายถึงปัญหาที่รัฐและประชาชนควรตระหนักไว้หลายข้อด้วยกัน
เรื่องใกล้ตัวเรื่องแรกๆ เลย คือ การกด ‘accept all’ ในการลงทะเบียนออนไลน์ อาจารย์บอกว่า ส่วนใหญ่เรากดเพื่อที่จะเข้าสู่ระบบในหน้าเว็บ หรือแอพพลิเคชั่นนั้นๆ ให้เร็วที่สุด ซึ่งในมุมกฎหมายเองก็มีการพูดถึงว่า สัญญาลักษณะนี้เป็นสัญญาสำเร็จรูปที่ไม่น่าจะมีผลกับตัวผู้ใช้งานได้
ต่อมาคือเรื่องของ digital footprint อาจารย์บอกว่า เรื่องนี้ไม่เป็นที่น่ากังวลสำหรับกลุ่มวัยรุ่น ลักษณะการใช้งานของกลุ่มคนรุ่นใหม่จะใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียล มีเดีย แบบ ‘look at this’ ตรงกันข้ามกับกลุ่มที่ไม่ได้โตมากับเทคโนโลยี โตมากับวัฒนธรรมอีกรูปแบบหนึ่ง ใช้งานโซเชียล มีเดีย แบบ ‘look at me’ จึงมักจะกรอกข้อมูลทุกอย่างที่หน้าเว็บต้องการ เช่น เรียนจบที่ไหน เพศอะไร อาชีพอะไร เป็นต้น
อีกส่วนที่ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงและค่อนข้างน่ากังวล คือ การครองทรัพย์สินดิจิทัลในขณะที่รัฐยังไม่ปรับตัว เช่น ทรัพย์สินที่มีมูลค่าในเกมออนไลน์ แต่กฎหมายยังไม่รับรอง-ครอบคลุมไปถึงตรงนั้น แม้ว่ามูลค่าที่จ่ายไปในการซื้อ item เกมออนไลน์สำหรับบางรายจะมากถึงหลักหมื่นหลักแสนก็ตาม
ประเด็นสุดท้ายที่หลายคนมองข้าม อาจารย์ยกเรื่องการทำงานของฟรีแลนซ์ อาชีพที่เชื่อมโยงกับโลกแบบดิจิทัลมากที่สุด
“ฟรีแลนซ์ในประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเพื่อสร้างอำนาจต่อรองได้ เขาไม่อยากมีสมาพันธ์ฟรีแลนซ์เพราะเดี๋ยวจะมาแย่งลูกค้ากัน ไม่อยากมี co-working space เพราะจะก็อปปี้งานกัน อันนี้เป็นโจทย์ใหญ่มาก ซึ่งมักจะเกิดกับประเทศกำลังพัฒนาแบบเรา ประเทศที่พัฒนาแล้วเขารวมตัวกันได้ ตรงนี้เลยทำให้แรงงานไม่สามารถต่อรองอะไรกับแพลตฟอร์มได้เลย”
อาชีพเก่าหายไป อาชีพใหม่เกิดขึ้น – การศึกษาต้องปรับตัว?
ในมุมของเศรษฐศาสตร์ อ.ธนะพงษ์ โพธิปิติ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พูดไว้อย่างน่าสนใจในสองประเด็น ได้แก่ เครื่องมือที่ใช้ในการกำกับดูแล และเรื่องคน
ส่วนของเครื่องมืออาจารย์ยกตัวอย่างระบบ predict ความนิยมสินค้าในจีน ถ้าเป็นการทำงานตามกลไกตลาดแบบเก่า ต้องรอให้ตลาดมีการแข่งขันสูง ปล่อยให้กลไกทำงานด้วยตัวเอง ซึ่งที่ประเทศจีนตอนนี้มีการใช้ big data เข้ามาช่วย
จีนจะมีกล้องหลายล้านตัวไว้สำรวจประชาชนที่อยู่ข้างนอกบ้าน หรือขณะซื้อสินค้าที่ซูเปอร์มาเก็ต แทนที่จะรอให้ราคาสินค้าขึ้นก่อน แล้วผู้ผลิตจึงจะผลิตออกมา แต่วิธีการนี้รัฐบาลจีนสามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้เลยว่า ต่อไปสินค้าตัวนี้จะต้องขายดีแน่นอน ผู้ผลิตก็ผลิตออกมาเลยไม่ต้องรอให้กลไกตลาดทำงานเอง แต่ข้อเสียของระบบแบบนี้ คือ ประชาชนต้องเชื่อใจรัฐบาล และเราต้องสูญเสีย privacy ไป
อาจารย์บอกว่า disruption ในยุคนี้มาแรงและเร็วมาก งานหลายอาชีพจะหายไปในระยะเวลา 5-10 ปี digital technology จะเข้ามาทดแทนงานบางอย่าง เช่น รถที่มีระบบขับแบบออโต้ อาชีพคนขับรถจะต้องตกงานในอีก 10 ปีข้างหน้า
หรือเคาท์เตอร์ร้านซูเปอร์มาร์เกตที่ไม่ต้องมีแคชเชียร์ แต่จะมีกล้องที่มีความสามารถประมวลผลใบหน้าลูกค้า สามารถชำระเงินผ่านการตัดบัตรเครดิตได้เลย
ประเด็นที่น่ากังวลมากๆ อีกอย่าง อาจารย์บอกว่า ในอนาคตระบบรถยนต์ไฟฟ้าจะแทนที่ระบบรถยนต์ใช้น้ำมันทั้งหมด ตรงนี้เองที่ไทยประสบปัญหาด้วยแน่นอน เพราะประเทศเราเป็นฐานการผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นหลายเจ้า คนที่อยู่ในสายงานการผลิตรถใช้น้ำมันจะต้องตกงาน ซึ่งการตกงานไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีมาแทนคน แต่เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนให้รถใช้น้ำมันดูล้าสมัย คนที่เคยผลิตรถยนต์น้ำมันก็ต้องตกงาน ตอนนี้งานศึกษาของไทยจึงพยายามจะดูว่า เราจะรับผลกระทบยังไงจากสายการผลิตรถยนต์ได้บ้าง
เมื่ออาชีพเปลี่ยน ทักษะและการศึกษาจึงต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
“เราจะสอนอะไรให้กับเด็กได้บ้าง อย่างเด็กประถมสมัยนี้ อีกสิบปีข้างหน้าเขาจะจบมหาวิทยาลัย ลูกเราต้องเรียนอะไรถึงจะทำงานได้ในอีก 10-12 ปี มันก็ยังเป็นคำถามที่ open อยู่ ไม่รู้จะตอบยังไง เราก็ไม่รู้ว่ามันคืองานอะไรถึงจะมีประโยชน์ในตอนนั้น”
อ.ธนะพงษ์ พูดไว้อย่างน่าสนใจด้วยว่า “นอกจากสอนเด็กยังไงแล้ว คนทำงานเองก็ต้องมีการ re-trend ตลอดเวลา ไทยยังไม่มีโครงสร้างตรงนั้นเลย คนที่ผลิตรถยนต์น้ำมันหรืออะไหล่รถยนต์น้ำมัน เราต้อง re-trend เขาบางอย่าง แต่ตอนนี้ยังไม่มีตัวสถาบันที่รองรับตรงนั้น”