เมื่อการแพทย์มีความก้าวหน้ามากขึ้น เรามีทางเลือกในการป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ HIV มากขึ้น นอกเหนือจากถุงยางอนามัย
เช่น ยาต้านไวรัสก่อนหรือหลังการสัมผัส (PrEP หรือ PEP) ซึ่งนักวิจัยเผยว่ามีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ HIV ได้มากกว่า 99% หรือ แคมเปญ U=U (Undetectable = Untransmittable) ที่กล่าวว่าหากผู้ติดเชื้อ HIV กินยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ จนเชื้อไวรัสในเลือดมีระดับต่ำ จนไม่สามารถตรวจพบได้ และจะไม่มีการส่งต่อเชื้อ HIV ไปยังคู่นอน
คำถามที่ตามมา คือ แล้วการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างคู่ชายและชาย ยังจำเป็นที่จะต้องใช้ถุงยางอนามัยอยู่หรือไม่?
The MATTER อยากพาทุกคนไปค้นหาคำตอบของคำถามนี้ ผ่านประวัติศาสตร์ของถุงยางอนามัย ข้อมูลด้านการแพทย์ และการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์
ถุงยางอนามัยมีมาตั้งแต่ยุคโบราณ
งานวิจัยทางด้านประวัติศาสตร์พบว่า มีหลักฐานการใช้อุปกรณ์ป้องกัน ที่เหมือนถุงยางอนามัยมาตั้งแต่ในสมัยกรีก-โรมัน ในปกรณัมกรีก ซึ่งมีการเล่าว่า พาซีฟาอี มเหสีของพระราชาไมนอส ได้สอดใส่กระเพาะปัสสาวะของแพะในช่องคลอด เพื่อป้องกันอันตรายจากน้ำอสุจิของราชาไมนอส ที่ว่ากันว่ามีการบรรจุ ‘แมลงป่องและงู’
นอกจากนี้ ชาวอิยิปต์มีอุปกรณ์หุ้มปลายอวัยวะเพศที่มีลักษณะคล้ายถุงยางอนามัย ทำหน้าที่ในการป้องกันอันตรายจากพยาธิใบไม้ และมีการย้อมสีต่างๆ เพื่อแบ่งแยกชนชั้นของคนในสังคม และชาวโรมันโบราณ ก็ได้มีการใช้กระเพาะของสัตว์ในการปกป้องผู้หญิงจากกามโรค
ส่วนถุงยางอนามัยในยุคสมัยใหม่เกิดขึ้นหลังจากที่ ชาร์ล กู๊ดเยียร์ (Charles Goodyear) ได้คิดค้นวิธีการ พัฒนาคุณภาพของยาง ที่เรียกว่า ‘วัลคาไนเซชัน’ (vulcanization) หรือกระบวนการพัฒนายางให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น สามารถดัดได้และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยการนำยางไปผสมกับกำมะถันในปริมาณที่พอเหมาะและในที่ที่มีอุณหภูมิสูงกว่าจุดหลอมเหลวของกำมะถัน ทำให้โลกสามารถผลิตถุงยางจากยางดิบ (latex) ซึ่งมีการใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบันได้
ถุงยางอนามัยช่วยป้องกันการส่งต่อเชื้อไวรัส HIV ได้มากกว่า 50%
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ถูกเผยแพร่เมื่อปี ค.ศ.2015 ที่ดอว์น สมิท (Dawn Smith) และนักวิจัยอีก 3 คน จากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (CDC) ได้ทำการศึกษาเรื่องการมีเพศสัมพันธุ์ทางทวารหนักของผู้ชาย โดยการวิเคราะห์งานวิจัย 2 ชิ้น ได้แก่งานวิจัยที่ชื่อว่า VAX 004 (ศึกษาผู้ชาย 4,492 คน ในระหว่างปี ค.ศ.1998 และ ค.ศ.1999) และ EXPLORE (ศึกษาผู้ชายจำนวน 3,233 คน ในระหว่างปี ค.ศ.1999 และค.ศ. 2001)
งานวิจัยทั้ง 2 ชิ้นนี้ เป็นงานวิจัยที่เกิดขึ้นก่อนจะมีการคิดค้น PrEP หรือ ยาต้านเชื้อไวรัส HIV ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และผู้เข้าร่วมการทดลองก็เป็นคนที่มีเลือดลบ รายงานว่ามีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเลือดบวกอย่างน้อย 1 คน
ผลการวิจัยพบว่า ในกลุ่มคนที่ใช้ถุงยางอย่างสม่ำเสมอ สามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้ถึง 70% แต่อย่างไรก็ตาม คนที่รายงานว่าใช้ถุงยางอนามัยเป็นบางเวลา กลับได้รับการปกป้องจากการติดเชื้อ HIV ต่ำมาก หรือไม่ได้รับการปกป้องเลย โดยถุงยางอนามัยสามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้เพียง 8%
อย่างไรก็ตาม ได้มีงานวิจัยชิ้นถัดมา ที่แย้งว่างานวิจัยดังกล่าวได้ประเมินค่าความสามารถของถุงยางอนามัยในการป้องกันการติดเชื้อ HIV ต่ำเกินไป
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยที่เผยแพร่เมื่อปีค.ศ.2018 โดย เวยน์ จอห์นสัน (Wayne Johnson) และทีมวิจัย จาก CDC ได้ทำการวิเคราะห์งานวิจัย 4 ชิ้น ได้แก่ งานวิจัย 2 ชิ้นที่ สมิทและทีม เคยทำการศึกษา และงานวิจัยอีก 2 ชิ้นที่ชื่อว่า JUMP-START และ HIVNET ซึ่งเป็นงานวิจัยด้านวัคซีน เริ่มขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1990 เก็บข้อมูลของผู้เข้าร่วมการวิจัยจำนวนกว่า 3,626 คน
นักวิจัยพบว่า ในกลุ่มผู้ชายที่มีเพศสัมพันธุ์ทางทวารหนัก ถ้ามีการใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ จะสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัส HIV ได้ถึง 92%
แต่ก็มีการโต้แย้งว่าผลการวิจัยที่แตกต่างกันระหว่างงานวิจัยในปี ค.ศ.2015 และ ปี ค.ศ.2018 เกิดจากการใช้วิธีการทำการวิจัยที่แตกต่างกัน และตัวแปรที่นำมาวิเคราะห์ ซึ่งงานวิจัยในปี ค.ศ.2015 ได้วิเคราะห์ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัยต่อจำนวนครั้งการมีเพศสัมพันธ์ ส่วนงานวิจัยในปี ค.ศ.2018 จะสนใจที่ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัยต่อจำนวนคู่นอน
PrEP เมื่อยาต้านเชื้อไวรัส HIV มีประสิทธิภาพมากกว่าถุงยางอนามัย
เมื่อมีการคิดค้นยาต้านไวรัสก่อนการสัมผัส หรือ PrEP ซึ่งสรรพคุณในการต้านเชื้อ HIV ของมันได้ถูกพูดถึงไปทั่วโลก หลังจากนั้นก็ได้เกิดการรณรงค์เรื่องของการใช้ยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV จากการมีเพศสัมพันธ์
โดยในปี ค.ศ.2019 มีกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ชื่อว่า ‘See It Clearly 2020’ ได้ทำการติดโปสเตอร์โฆษณาที่อธิบายถึงสรรพคุณของ PrEP ในจุดที่มีกลุ่ม LGBT สัญจรอยู่เป็นประจำ ในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งในโปสเตอร์ได้มีการอธิบายถึงสรรพคุณของ PrEP ว่า ‘ดีกว่าถุงยาง’ โดยอ้างว่า ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ HIV ได้ถึง 99% เมื่อเทียบกับถุงยางที่ลดความเสี่ยงได้ 72 – 91% ซึ่งทำให้มีกลุ่มคนที่กังวลว่ามันจะส่งเสริมให้เกิดการใช้ถุงยางอนามัยกันน้อยลง ในหมู่ผู้ชายรักชาย
ถึงแม้ PrEP จะสามารถกันเชื้อ HIV ได้ดีกว่าถุงยาง แต่ก็ไม่สามารถช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิดที่ถุงยางสามารถป้องกันได้ เช่น โรคหนองใน และโรคซิฟิลิส
กระแสนี้ ไม่ได้มีแค่ในต่างประเทศเท่านั้น อย่างในประเทศไทยตอนนี้ก็มีการพูดถึงเรื่องนี้ เช่นกัน อย่างเพจ ‘พีทคนเลือดบวก’ ที่ได้ออกมาพูดว่า ปัจจุบันคนที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใส่ถุงยางอนามัย ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้ติดเชื้อไวรัส HIV เสมอไป เพราะปัจจุบันมียา PrEP แล้ว นอกจากนี้ เขายังเปิดคอร์สสอนการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันอย่างไรให้ปลอดภัย ซึ่งทำให้เขาเจอกระแสจากสังคมเหมือนกัน
แคมเปญ U=U ความหวังของผู้ติดเชื้อ HIV
นอกจากกระแส PrEP แล้ว อีกกระแสหนึ่งที่เป็นที่พูดถึงอยู่ คือ เรื่องแคมเปญ U=U ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ ในงานประชุมเอดส์ เมื่อปี ค.ศ.2018 นักวิจัยได้นำเสนองานวิจัยที่ชื่อว่า PARTNER 2 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักโดยไม่ป้องกันด้วยถุงยางอนามัย ในคู่ที่คนหนึ่งเป็นผู้ติดเชื้อ HIV แต่กินยาต้านเชื้อไวรัสเป็นประจำ จนเชื้อไวรัสอยู่ในระดับต่ำมากจนตรวจไม่เจอ และคู่อีกคนหนึ่งไม่ติดเชื้อ ซึ่งผลการวิจัยพบว่าไม่เกิดการส่งต่อเชื้อระหว่างคู่เลย
PARTNER 2 เป็นการวิจัยคู่ชายรักชาย 635 คู่ในยุโรป ซึ่งคู่คนหนึ่งเป็นผู้ติดเชื้อ HIV และอีกคนหนึ่งไม่มีเชื้อ HIV อย่างในวิธีของแคมเปญ U=U ซึ่งผลวิจัยก็พบว่า เมื่อทั้งคู่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักก็ไม่พบการติดเชื้อระหว่างคู่เลยด้วย
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยก็พบว่า ในระหว่างทำการวิจัย มีผู้เข้าร่วมที่ติดเชื้อ HIV เพิ่มขึ้นมา 15 คน แต่พบว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับเชื้อ HIV จากคู่นอนคนอื่น ซึ่งไม่ใช่คู่นอนระหว่างเก็บงานวิจัย
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยที่ต่อยอดมาจากงานวิจัย PARTNER ที่นำเสนอผลในปี ค.ศ.2014 ซึ่งมีปัญหาเรื่องจำนวนคู่ชาย-ชายมีจำนวนน้อยกว่าคู่ชาย-หญิง และระยะเวลาในการติดตามผลการทดลองน้อยเกินไป โดยได้ทำการเลือกลุ่มผู้ร่วมการทดลองเป็นคู่ชายชายทั้งหมด ซึ่งผลการวิจัยชิ้นก็ได้สอดคล้องกับการวิจัยเมื่อปี ค.ศ.2014 และมีความน่าเชื่อถือทางสถิติมากกว่า เพราะมีเวลาตามผลเยอะกว่า และมีจำนวนคู่ชายรักชายมากกว่า
ในช่วงท้ายของการนำเสนอ อัลลิสัน รอดเจอร์ (Alison Rodger) นักวิจัยหลักของงานวิจัยชิ้นนี้ได้สรุปว่า “ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่” หรือ U=U (Undetectable = Untransmittable) จึงเป็นที่มาของแคมเปญ U=U ที่มีการพูดถึงไปทั่วโลก
ใช้ถุงยางอนามัยควบคู่กับการใช้ยา PrEP ป้องกันได้ทั้งการติดเชื้อ HIV โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์
อย่างไรก็ตามทั้ง PrEP หรือ U=U ก็เป็นเพียงทางเลือกอื่นในการป้องกันการติดเชื้อ HIV เท่านั้น ส่วนเรื่องการใส่ถุงยางอนามัยในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ก็ยังคงมีความสำคัญอยู่
ด้าน พญ.นิตยา ภานุภาค พึ่งพาพงศ์ จากศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย เผยว่า ถุงยางอนามัยยังคงเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการป้องกันภาวะสุขภาพหลายอย่างไปพร้อมๆ กันทั้งเรื่องการท้อง ทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรียต่างๆ ส่วน PrEP, PEP และ U=U เป็นเพียงออฟชั่นที่เสริมเข้ามาสำหรับคนที่ไม่สามารถใช้ถุงยางอนามัยได้ในทุกๆ ครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
เธอได้อธิบายถึงหลักการของ U=U ว่า มันไม่ทำให้เกิดการถ่ายทอดเชื้อจากผู้ติดเชื้อ HIV ที่กินยาต้านไวรัส จนกระทั่งตรวจเชื้อไม่เจอในเลือด ไปยังคนอื่นๆ ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเธอได้ย้ำว่ามันไม่ใช่ทฤษฏี แต่เป็นข้อเท็จจริง
สำหรับเรื่องความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัย แพทย์หญิง กล่าวว่า U=U, PrEP และ PEP มันคือเรื่องของ HIV แต่ถ้าไม่พูดถึง HIV ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากแบคทีเรีย เช่น ซิฟิลิส หนองใน และป้องกันไวรัส ในบริเวณที่สวมใส่ เช่น โรคเริม
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ถ้าเกิดว่าใครมีขึ้นมา มันก็จะถ่ายทอดไปยังคนอื่น ซึ่งอาจจะไม่รู้เรื่องของการใช้ถุงยางอนามัย หรือรู้แต่ก็ไม่ได้ใช้ มันก็จะถ่ายทอดไปยังคนอื่นได้ ซึ่งมันก็ก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพตามมา
อย่างไรก็ตาม ถุงยางอนามัยไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ทุกอย่าง มันสามารถป้องกันได้เฉพาะส่วนที่มันครอบถึงเท่านั้น เพราะฉะนั้น หูด ซึ่งสามารถอยู่ได้ทุกที่ อย่างเช่น บริเวณถุงอัณฑะ ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่ได้รับการปกป้องจากถุงยางอนามัย ก็สามารถเกิดการส่งต่อเชื้อนี้จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้เช่นกัน
เมื่อถามว่าวิธีป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือ การใช้ทั้ง PrEP และถุงยางอนามัยร่วมกันใช่หรือไม่ พญ.นิตยา แสดงความเห็นด้วย และเผยว่า ถ้าใช้ทั้งถุงยางอนามัย ทั้ง PrEP จะสามารถป้องกันได้ทั้งการติดเชื้อ HIV โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังแนะนำหลักการการใช้ถุงยางอนามัยด้วยว่า “ต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งกับทุกคน และใช้อย่างถูกต้อง ทุกช่องทางที่มีเพศสัมพันธ์”
ประเทศไทยมีการสำรวจผู้ใช้ถุงยางอนามัยทุก 2 – 3 ปี โดยกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งสำรวจทั้งผู้ชาย-หญิง กลุ่มชายรักชาย และสาวประเภท 2 ซึ่งผลการสำรวจเผยว่าอัตราการใช้ถุงยางอนามัยเวลามีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งกับทุกอย่างสม่ำเสมออยู่ที่ 40-50% จนถึง 80-90% มีเพียงประมาณ 10% ที่ไม่สามารถใช้ถุงยางได้ทุกครั้ง
เมื่อพูดถึงกรณีของเพจพีทคนเลือดบวก เธอเผยว่า สิ่งที่เห็นได้จากกรณีนี้คือ เขาเป็นตัวแทนของ 10 ใน 100 คน (10%) ที่พยายามแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะมีเชื้อหรือไม่มีเชื้อ พวกเขาก็ไม่สามารถใช้ถุงยางอนามัยได้ทุกครั้ง
นอกจากนี้เธอยังได้เน้นย้ำว่า บุคลากรทางการแพทย์ ต้องเน้นให้ความรู้ รณรงค์ทำให้คนทั่วไปรู้ว่า ถึงแม้ถุงอนามัยจะเป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด แต่ด้วยบริบทชีวิตของเขา ทำให้เขาไม่สามารถจะใช้ถุงยางอนามัยได้ทุกครั้งกับทุกคน เขาจึงต้องรับรู้ทางเลือกอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ PrEP, PEP หรือ U=U
Cover photo by Waragorn Keeranan
อ้างอิงจาก