‘ปู๊น ปู๊น ปู๊น เจ้าพะยูนกินหญ้าทะเล กินแล้วส่ายหางโซเซ กินแล้วส่ายหางโซเซ กินหญ้าทะเลคือเจ้าพะยูน’
ว่ากันว่าดนตรีคือสื่อการเรียนรู้ที่สำหรับเด็ก คงไม่ใช่เรื่องเกินจริง ด้วยเมโลดี้ติดหู ผนวกกับท่าทางน่ารักชวนขยับตาม ท้ายที่สุดการปลูกฝังผ่านเนื้อเพลงจึงสำเร็จ เช่นที่เกิดขึ้นกับเรื่อง ‘หญ้าทะเล’ หรือ Seagrass ที่นึกถึงทีไรก็ตามมาด้วยชื่อของพะยูน
มากกว่าการเป็นอาหารของสัตว์ในท้องทะเล หญ้าทะเลยังมีความสำคัญในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของวิกฤตทางสิ่งแวดล้อมอย่างไร The MATTER ชวนไปพูดคุยกับเยาวชน ชาวบ้าน นักวิชาการ ผู้ใกล้ชิดกับท้องทะเลไทย
ผ่านกิจกรรม ‘ใคร Make Change – ปลูกหญ้าทะเล @ ตรัง’ ณ ชุมชนมดตะนอย อ.กันตัง จ.ตรัง แหล่งหญ้าทะเลผืนใหญ่ที่สุดในไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย SCG
ทำความรู้จักหญ้าทะเล
’12 ชนิด’ เป็นตัวเลขพันธุ์ของหญ้าทะเลที่พบใน จ.ตรัง จากการค้นพบทั้งหมด 13 ชนิดในไทย และ 60 ชนิดทั่วโลก แสดงให้เห็นความสมบูรณ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำ แถบหาดเจ้าไหม-เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง-ปากแม่น้ำตรัง ตามอนุสัญญาแรมซาร์
โดยเฉพาะชุมชนมดตะนอย ซึ่งมีลักษณะภูมิศาสตร์เป็นเกาช่วยชะลอการพัดพาตะกอน ยิ่งเป็นการเพิ่มความสมบูรณ์ของพื้นดิน
สำหรับหญ้าทะเลเป็นพืชดอกที่ปรับตัวเติบโตอยู่ได้ในทะเล และสามารถเจริญได้ดีในบริเวณน้ำตื้นที่มีแสงแดดส่องถึง จึงเหมาะกับการเป็นแหล่งอนุบาลตัวอ่อนสัตว์น้ำ รวมถึงเป็นแหล่งหากินของสัตว์ทะเลนานาชนิด ทั้งปลา กุ้ง ปู หอย และที่จะขาดไม่ได้ คือ เต่าทะเลบางชนิด และพะยูน ถือเป็นสัตว์ที่พึ่งพาหญ้าทะเลโดยตรง
“หญ้าทะเลสามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าป่าเขตร้อนถึง 35 เท่า จนได้ฉายาว่าเป็นคาร์บอนสีน้ำเงิน หรือ Blue Carbon อีกทั้งยังช่วยปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ”
ข้อยืนยันของ เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ ช่วยตอกย้ำว่าเหตุใดเราจึงไม่ควรมองข้ามหญ้าทะเล สอดล้องไปกับคบอกเล่าของ บังชา-ปรีชา ชายทุ่ย ชาวเลที่ร่วมอนุรักษ์พืชพันธุ์ทางทะเลมาตลอดหลายปี ที่ว่า สำหรับชาวประมงแล้วหากเปรียบเทียบป่าโกงกางคือหัวใจ ‘หญ้าทะเลคือปอด’ ที่ไม่อาจขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปได้
ระบบนิเวศน์ที่โลกลืม
‘พี่ๆ อุดดินให้แน่นเดี๋ยวมันปลิว’ เสียงพากย์จากเด็กน้อยทั้งชายและหญิง ซึ่งมีท้องทะเลเป็นสนามวิ่งเล่นหน้าบ้านมาตั้งแต่จำความได้ ช่วยให้บรรยากาศของการปลูกหญ้าเต็มไปด้วยความสนุกนาน พวกเขาสามารถอธิบายวิธีการปลูกหญ้าทะเล ที่ต้องให้ความใส่ใจกับขั้นตอนกลบดิน เพื่อลดโอกาสที่จะถูกน้ำทะเลพัดพาได้อย่างคล่องแคล่ว
นี่เป็นผลลัพธ์ของการให้ความรู้อย่างเหมาะสมกับเยาวชนในพื้นที่ และปลูกฝังผ่านการลงมือทำ อย่างที่เกิดขึ้นกับ ซันมา – รสิตา พระคง ซึ่งเริ่มปลูกหญ้าทะเลตั้งแต่ 6 ขวบ จนปัจจุบันกลายเป็นแกนนำกลุ่มเยาวชนมดตะนอย ในวัย 16 ปี
“พวกหนูภูมิใจมากที่ทำให้ชุมชนอุดมสมบูรณ์ พี่ ป้า น้า อามีความสุข คนในหมู่บ้านได้ทำอาชีพประมงกันต่อไปค่ะ” แต่ทั้งหมดก็ยังเป็นบทพิสูจน์ของ ‘คนรู้ อยู่ และพึ่งพิง’ ผืนทะเลทั้งสิ้น
“อาจจะเป็นความอาภัพของหญ้าทะเล มันไม่เซ็กซี่ ไม่ใช่อย่างป่าชายเลนที่มีโครงสร้างเห็นด้วยตา หรือปะการังที่มีสีสัน”
ความเห็นของ ดร.เพชร ยิ่งตอกย้ำว่าการรับรู้ของผู้คนต่อหญ้าทะเล ยังคงจำกัดอยู่มาก แนวทางการให้ความรู้ในช่วงแรกจึงมุ่งชูโรงความเป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์หายาก อย่างพะยูน ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งนั่นก็มีผลพลอยได้ในการขยายพันธุ์ เพราะงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า การปลูกหญ้าทะเลด้วยเมล็ด ที่ผ่านการขับถ่ายของพะยูนหลังกินหญ้าทะเลไปแล้ว มีโอกาสเติบโตได้ดี
ใคร Make Change
สำหรับการชวนคนรุ่นใหม่ลงพื้นที่ปลูกหญ้าทะเลครั้งนี้นั้น วีนัส- อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการ Enterprise Brand Management Office SCG เกิดขึ้นด้วยความเหตุว่า “เอสซีจีเชื่อมั่นในพลังคนรุ่นใหม่สายกรีนที่เป็นกำลังสำคัญในการกู้วิกฤตโลกร้อน”
SCG ก็เป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่มุ่งดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนควบคู่การดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาลที่ดี ตามแนวทาง ESG 4 Plus คือ มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ ภายใต้ความเป็นธรรม โปร่งใส
นอกจากนี้วีนัส ยังเล่าถึงแนวทางของบริษัทต่างชาติยักษ์ใหญ่ ที่ว่าจ้างบริษัทตัวกลางซึ่งรับปลูกหญ้าทะเลโดยเฉพาะ ไทยเองก็เป็นพื้นที่เป้าหมายหนึ่ง เพื่อเป็นการทำกิจกรรมชดเชยคาร์บอนขององค์กร ที่เราคุ้นชินกันว่า Carbon Offsetting นั่นยิ่งตอกย้ำเหตุผลว่าเพราะเหตุใดถึงไม่อาจมองข้ามารปลูกหญ้าทะเลไปได้
“มันไม่ได้ปลูกง่าย มันยากกว่าปลูกป่าบกตั้งเยอะ แต่ว่าคุณสมบัติของมันมหาศาล”
คงไม่มีใครไขข้อสงสัยได้ว่า สิ่งที่มนุษย์กำลังเร่งมือนั้นจะทันต่อ ‘ภาวะโลกรวน’ หรือ Climate Change หรือไม่ บ้างก็ว่าสายเกินไปแล้ว แต่เราไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ใช่เหรอ
Photograph By SCG
Illustration by Kodchakorn Thammachart
อ้างอิงจาก
คลังความรู้ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง