แม้ชื่อ Post-it® จะเป็นชื่อทางการค้า แต่ความแมสของมัน ทำให้เราเรียกกระดาษโน้ตกาวในตัวด้วยชื่อนี้จนแทบจะเป็นชื่อสามัญไปเสียแล้ว
กระดาษโน้ตมีกาวในตัว ทำหน้าที่ติดอยู่กับพื้นผิววัตถุ หากจะให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่สุดคงจะเป็นติดบนกระดาษ แต่หน้าที่ของมันไม่ใช่การแปะอยู่บนนั้นอย่างถาวร จนมักจะโดนล้อเลียนเรื่องกาวอยู่เสมอ ว่าจะมีกาวไปทำไมนะถ้ามันติดทนได้แค่นี้ นี่บริษัทผลิตมาผิดพลาดหรือเปล่า
จะบอกว่าผิดพลาดก็ใช่ แต่ไม่ใช่ในขั้นตอนของกระดาษโน้ตนี้หรอก

สเปนเซอร์ ซิลเวอร์ (Spencer Silver) นักวิทยาศาสตร์จากบริษัท 3M ได้รับมอบหมายให้พัฒนากาวรุ่นใหม่ ที่แข็งแรง เหนียวหนึบ ทนทาน วันเวลาในห้องแล็บผ่านไปวันแล้ววันเล่า จนได้กาวมาแล้วในที่สุด แต่กลับเป็นกาวที่ไม่เหนียวและติดไม่ค่อยทนอีกต่างหาก เซอร์ไพรส์ครับหัวหน้า สั่งนกได้ปลา สั่งหมาได้แมว
กาวของสเปนเซอร์ไม่ได้นับเป็นความผิดพลาดไปเสียทั้งหมด สิ่งที่เขาเพิ่งค้นพบนั้นเรียกว่า ‘microspheres’ แม้จะไม่ได้เหนียวหนึบ ทนทาน อย่างที่ตั้งใจค้นคว้าในตอนแรก แต่มันแข็งแรงพอที่จะยึดกระดาษเข้าด้วยกัน ที่สำคัญ มันลอกออกได้ง่าย โดยไม่ทิ้งคราบกาว และไม่ทำลายเนื้อกระดาษจนฉีกขาดอีกด้วย
กลายเป็นว่าความไม่ทนทานที่ว่านั้น แลกมากับคุณสมบัติลอกออกได้แทน แต่ในตอนนั้น สเปนเซอร์กลับไม่รู้เลยว่าจะทำกาวที่แน่นนิดหน่อยนี้ไปทำอะไรได้ เขานำสิ่งที่ค้นพบนี้ไปปรึกษากับเพื่อนๆ หลายคน และเขาไม่เคยยอมแพ้ที่จะหาสิ่งที่เหมาะกับกาวคุณสมบัติพิศวงนี้

จนสเปนเซอร์ได้พบกับ อาร์ต ฟราย (Art Fry) นักวิทยาศาสตร์ในบริษัทเดียวกัน ทุกคืนวันพุธ ขณะที่อาร์ตฝึกซ้อมกับคณะนักร้องประสานเสียงในโบสถ์ เขาจะใช้เศษกระดาษเล็กๆ คั่นหน้ากระดาษโน้ตเพลงบทสวดที่ต้องร้องในพิธีที่จะมาถึง พอถึงวันอาทิตย์ กระดาษคั่นก็หล่นออกมาจากจุดเดิมไว้เสียหมด จนสร้างความรำคาญใจแก่เขาไม่น้อย ตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องการคือ ที่คั่นหนังสือที่ติดกับกระดาษได้โดยไม่ทำให้หน้ากระดาษเสียหาย
อะไรจะเหมาะเจาะไปกว่านี้ ทั้งคู่เริ่มต้นจากปัญหาส่วนตัว เมื่อนำมารวมกันแล้วกลับลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาเลยเริ่มพัฒนาเจ้า microspheres ของสเปนเซอร์ให้ไปต่อได้ไกลขึ้น และให้เป็นมากกว่ากาวที่เหนียวนิดหน่อย เขามองเห็นศักยภาพว่ากาวนี้เป็นได้มากกว่าที่คั่นหนังสือที่แปะได้
จากการสังเกตว่าพนักงานมักใช้กระดาษโน้ตในการสื่อสารกัน จะดีแค่ไหนหากมันมีกาวในตัวด้วย นี่ล่ะ ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับกาวนี้ที่สุดจึงเป็นกระดาษโน้ตแปะชั่วคราว เมื่อตัวต้นแบบออกมา ทุกอย่างเป็นอย่างใจนึก โน้ตที่ลอกออกได้ แปะซ้ำใหม่อีกครั้ง และไม่ทิ้งคราบกาว พนักงานในบริษัทที่ได้ทดลองใช้ต่างประทับใจในผลลัพธ์ แต่มันก็เป็นเพียงกระดาษโน้ตที่ไม่มีใครคิดว่าสเปนเซอร์และอาร์ตจะเอาจริงเอาจังกับมัน

โปรเจ็กต์ค้นกว้ากาวเหนียวหนึบที่ดันได้ผลลัพธ์เป็นกาวเหนียวนิดหน่อย บอกใครเขาก็คงคิดว่าเป็นความผิดพลาด ที่สุดท้ายแล้วต้องโยนทิ้งแล้วย้อนกลับไปค้นคว้ากาวหนึบให้จนได้ สเปนเซอร์และอาร์ตกลับหยิบข้อผิดพลาดนั้นมาปั้นให้ถูกที่ถูกทาง จนในปี 1977 กระดาษโน้ตแบบลอกออกได้นี้ก็ได้วางจำหน่ายในชื่อ ‘Press n’ Peel’
ในตอนแรกมันก็ขายไม่ดีเท่าไหร่หรอก อุปสรรคอาจจะอยู่ตรงที่สิ่งนี้ยังใหม่มาก ผู้คนคุ้นเคยกับกระดาษโน้ต และยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมมันจะต้องมีกาวในตัวด้วย แต่สเปนเซอร์และอาร์ตก็ไม่เคยทิ้งโปรเจ็กต์นี้ไปเลย เขาโปรโมตมันเรื่อยๆ จนผู้บริโภคทั่วไปจะเริ่มรู้จักสินค้า แล้วอะไรจะถึงมือพวกเขาได้เร็วกว่าการให้ตัวอย่างไปทดลองใช้จริง และเมื่อติดตามความพึงพอใจหลังใช้งาน พบว่ากว่า 90% ชื่นชอบสินค้าและจะกลับไปซื้ออย่างแน่นอน

แม้จะได้รับผลตอบรับจากกลุ่มตัวอย่างดีแค่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่อาจเที่ยวแจกในทุกพื้นที่ได้ ปี 1980 พวกเขาเลยตัดสินใจขยับกลยุทธทางการตลาดไปอีกก้าว ด้วยการรีแบรนด์ใหม่เป็น ‘Post-it Note’ ที่เราคุ้นหูกันในวันนี้
จากวันนั้น Post-it พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้ง มีสินค้าใหม่ๆ ปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการผู้ใช้งาน
กาวที่ติดได้นิดหน่อยในวันนั้น กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์ยอดฮิตในสำนักงานในวันนี้ แม้จุดเริ่มต้นของมันจะเป็นเรื่องที่ไม่ตรงเป้าหมายในตอนแรก
แต่สุดท้ายแล้ว หากหยิบไปใช้ถูกที่ถูกทาง มันก็ไม่ได้เป็นแค่ผลผลิตจากความผิดพลาดอีกต่อไป
อ้างอิงจาก