ช้อนส้อมบนโต๊ะอาหาร แอบอิงคู่เคียงข้างจาน แม้จะใช้คู่กัน แต่มันไม่ได้ถูกพัฒนามาพร้อมกัน แถมยังไม่ได้ทำหน้าที่ส่งอาหารเข้าปากตั้งแต่แรก
เวลาเรานั่งลงทานอาหาร หลายครั้งเราอาจไม่ทันนึกว่าอุปกรณ์เล็กๆ ตรงหน้าที่เราใช้ทุกวัน มีประวัติศาสตร์ยาวนานเพียงใด มันไม่ใช่เพียงเครื่องมือสำหรับป้อนอาหารเข้าปาก แต่ยังเป็นวัฒนธรรม สัญลักษณ์ของชนชั้น และการต่อสู้ทางความคิดที่ผ่านกาลเวลามาหลายพันปี
ทุกโค้งเว้าของช้อน ทุกซี่ของส้อม จึงสะท้อนทั้งนวัตกรรม ความเชื่อ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังมื้ออาหารธรรมดาๆ จนอาจทำให้เราเริ่มมองเครื่องมือเหล่านี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มาไล่เรียงที่มาที่ไปของคู่หูบนโต๊ะอาหารนี้ไปพร้อมกัน

หากเรียงตามความอาวุโส คงต้องเริ่มกันที่ช้อนก่อน
อุปกรณ์ที่ไม่เคยหายไปจากห้องครัว ไม่ใช่แค่ใช้ตักอาหารเข้าปาก แต่ยังใช้ตวง ผสม คน และคลุกเคล้าส่วนผสมต่างๆ ผลิตขึ้นมาจากจากวัสดุที่แตกต่างกันตามวัฒนธรรม เพื่อวัตถุประสงค์ที่ต่างกันด้วย ช้อนตวง ช้อนชา ช้อนโต๊ะ และอีกมากมาย แต่เราขอกระชับเนื้อหาเข้ามาด้วยการพูดถึงช้อนทั่วไปบนโต๊ะอาหาร ช้อนที่ทำหน้าที่ตักอาหารเข้าปากเราในแต่ละมื้อ
ย้อนกลับไปไกลเกินกว่าจะนับ ตั้งแต่ก่อนที่มนุษย์จะรู้จักเครื่องมือโลหะ ช้อนในยุคแรกสุดทำจากวัสดุที่หาได้ง่ายที่สุด อย่างเปลือกหอยหรือไม้ที่เว้าเล็กน้อย ออกมาเป็นภาชนะตักอาหารอย่างง่ายที่มีไอเดียต่อยอดจากมือมนุษย์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการเก็บของเหลวและสิ่งที่นิ้วมือไม่อาจโอบอุ้มไว้ได้
ขยับมาในยุคที่เริ่มมีอารยธรรม ช่วงอียิปต์โบราณ ช้อนทำมาจากงาช้าง สำริด หรือไม้ ใช้ทั้งในชีวิตประจำวันและพิธีกรรมทางพิธีศาสนา จีนเองก็มีบันทึกการใช้ช้อนจากกระดูก โดยเน้นการกินข้าวต้มและซุป แอบกระซิบว่าใช้ช้อนกันตั้งแต่ก่อนที่จะมีตะเกียบเสียอีก ส่วนกรีกและโรมันโบราณ ได้เริ่มประดิษฐ์ช้อนสำริดและเงิน
เมื่อยุโรปก้าวเข้าสู่ยุคกลาง ช้อนทำจากเขาสัตว์ ไม้ พวกช้อนโละหะแพงๆ นี่ไม่ต้องพูดถึง ได้ประดับโต๊ะของบ้านมีอันจะกินเท่านั้น จนมีโลหะราคาถูกอย่างดีบุกและตะกั่ว ตีขึ้นรูป ช้อนโลหะจึงเริ่มแพร่หลายสู่ครัวเรือนทั่วไป
หน้าตาของช้อนตั้งแต่เริ่มไล่เรียงมา ต่างยุคต่างอารยธรรม ต่างก็มีหน้าตาเป็นของตัวเอง ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ตื้นบ้าง ลึกบ้าง ถูกปรับไปตามความเหมาะสมของผู้ใช้ในพื้นที่นั้นๆ ราวศตวรรษที่ 15–16 รูปแบบของช้อนจึงเริ่มใกล้เคียงกับที่เราใช้กันทุกวันนี้

ระหว่างทางนี้ ช้อนไม่ได้ถูกพัฒนาเพื่อเป็นอุปกรณ์การกินเพียงอย่างเดียว แต่หลายครั้งกลายมาเป็นเครื่องมือบ่งบอกถึงฐานะ อย่างชุดช้อนรูปอัครสาวก ในสมัยราชวงศ์ทิวดอร์ หรือการเจิมกษัตริย์พระองค์ใหม่ของอังกฤษด้วยช้อนในพิธีราชาภิเษก
เช่นเดียวกับสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ ที่แม้จะทำหน้าที่เหมือนกัน แต่ก็สามารถบ่งบอกฐานะ ชนชั้น ได้ด้วยความหรูหราของวัสดุ เมื่อเริ่มแพร่หลายมากขึ้น จึงจะเริ่มมีผู้คิดปรับเปลี่ยนให้มันกระจายไปสู่มวลชนทั่วไปได้
ด้วยความที่ช้อนเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่อยู่กับมนุษย์เรามาตั้งแต่ยังไม่รู้จักโลหะ สิ่งนี้จึงไม่ได้มีความแฟนซีอะไร ก็แค่ของใช้ที่อยู่คู่บ้านเรือนมาแสนนาน ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เรื่องราวของส้อมกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

ส้อมอาจตามมาทีหลังเสียหน่อย ในช่วงที่เราเริ่มมีอารายธรรมแล้ว นักโบราณคดีได้ค้นพบส้อมยุคแรกๆ ทำจากกระดูก ในแหล่งขุดค้นในมณฑลกานซู่ ทางตอนกลางเหนือของจีน และพบเรื่อยมาตั้งแต่ยุคสำริด ประมาณ 2400–1900 ปีก่อนคริสตกาล และต่อมาอีกหลายร้อยปีหลังจากนั้น แต่ส้อมเหล่านี้ถูกตั้งข้อสงสัยว่า มันไม่ได้มีหน้าที่ส่งอาหารเข้าปาก ไม่ได้อยู่บนโต๊ะอาหารเหมือนกับช้อน เพราะมันเป็นส้อม 2 ง่าม (และขนาดออกจะใหญ่เกินกว่าใช้บนโต๊ะอาหาร) จึงสันนิษฐานว่าส้อม 2 ง่ามนี้ใช้สำหรับการปิ้ง ย่าง เนื้อสัตว์บนเตาเท่านั้น
แล้วส้อมเริ่มขึ้นมาบนเป็นอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารเมื่อไหร่กัน?
จากหนังสือ Consider the Fork: A History of How We Cook and Eat เล่าย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 11 เป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงแห่งไบแซนไทน์ ผู้สมรสกับดยุกแห่งเวนิส แต่กลับถูกเย้ยหยันเพราะเธอใช้ส้อมทองคำในบนโต๊ะอาหาร เพราะส้อมนั้นหน้าตาเหมือนคราดในมือปีศาจ โดยเฉพาะจากฟากฝั่งศาสนจักร นักบวชบางคนมองว่าพระเจ้าได้ประทานมือให้มนุษย์แล้ว เหตุใดต้องประดิษฐ์สิ่งใหม่มาทดแทน
ส้อมไม่ได้ถูกรับเชิญร่วมโต๊ะอาหารอย่างอบอุ่นนัก ส้อมต้องเฝ้ารอจนถึงช่วงศตวรรษที่ 17 จึงจะเริ่มได้รับการยอมรับ ไต่ขึ้นมาบนโต๊ะอาหาร โดย โทมัส คอร์ยัต (Thomas Coryat) นักเดินทางชาวอังกฤษ ว่ากันว่าเป็นผู้ริเริ่มนำส้อมเข้าสู่อังกฤษในปี 1608 หลังจากได้เห็นในอิตาลี ในตอนแรก ชาวอังกฤษมองว่าช้อนส้อมเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่ต่อมาก็ค่อยๆ ได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นสูง แต่ต้องเป็นช้อนส้อมที่ทำจากวัสดุราคาแพง เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะ

เวลาใกล้เคียงกันในปี 1633 พระเจ้าชาลส์ที่ 1 ทรงประกาศว่าการใช้ส้อมเป็นสิ่งที่เหมาะสมบนโต๊ะอาหาร และทรงมอบชุดช้อนส้อมเงินเป็นของขวัญให้กับพระโอรสของพระองค์
บางแหล่งข้อมูลอ้างถึง แคทเธอรีน เมดีชี่ (Catherine de Medici) ได้อภิเสกสมรสไปยังฝรั่งเศส และนำส้อมลวดลายวิจิตรตระการตา ไปเผยแพร่ในราชสำนักฝรั่งเศสด้วย ทิศทางลมเริ่มเปลี่ยน ส้อมแพร่กระจายไปยังส่วนที่เหลือของยุโรป และจากนั้นก็ไปยังประเทศต่างๆ ที่ถูกยุโรปยึดครอง ตามข้อมูลของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งแคลิฟอร์เนีย ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ชาวฝรั่งเศสได้ออกแบบส้อม 4 ซี่เป็นเวอร์ชั่นปรับปรุงเพื่อให้จับอาหารได้ดีขึ้น
ในที่สุด ช่วงศตวรรษที่ 18–19 ส้อม 4 ซี่ กลายเป็นมาตรฐานในยุโรปและอเมริกาเหนือ เพราะใช้งานสะดวกกว่าแบบ 2 ซี่ เริ่มสร้างเครื่องใช้เฉพาะสำหรับอาหารเกือบทุกประเภท รวมถึงส้อมสำหรับกุ้งล็อบสเตอร์ หอยทาก สตรอว์เบอร์รี สลัด และแม้แต่ไอศกรีม
ช้อนส้อมบนโต๊ะ จึงทำให้เราเห็นว่ามันไม่ใช่เพียงเครื่องมือกินอาหาร แต่คือร่องรอยของประวัติศาสตร์มนุษย์ ที่เต็มไปด้วยการประดิษฐ์ ความเชื่อ และการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ซ่อนอยู่หลังทุกมื้ออาหาร
แล้วเจ้าหญิงไบแซนไทน์จะน้อยใจแค่ไหนกันนะ หากรู้ว่าการที่แคทเธอรีนหยิบส้อมขึ้นมาใช้บนโต๊ะอาหาร ไม่ได้ถูกเย้ยยัน แต่กลับเป็นการปลุกกระแสส้อมในฝรั่งเศส จนลามไปทั่วยุโรปในที่สุด
อ้างอิงจาก
Invention of the Fork | FoodUnfolded
Why the Fork Was Once Considered Scandalous
Which Came First, the Spoon, Fork, or Knife? – JSTOR Daily