หากเซ็กซ์ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับมนุษยชาติฉันใด ถุงยางอนามัยก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ฉันนั้น แค่หน้าตา วัสดุที่ใช้ อาจจะแตกต่างจนสร้างความประหลาดใจให้เราพอสมควร
โลกในยุคอารายธรรมแรก ไม่ต้องรอชุดความรู้สมัยใหม่ สัญชาตญาณก็พอทำให้เรารู้ว่าเพศสัมพันธ์ทำให้เกิดการปฏิสนธิ มีบางสิ่งวิ่งเข้าไปในช่องลับอันอบอุ่น จนเกิดเป็นหนึ่งชีวิต ผู้คนที่หวังเพียงความสุขสมจากกิจกรรมแนบชิด จึงต้องหาทางคุมกำเนิดก่อนใครจะมาเกิดเสียก่อน และชุดความรู้ก็เริ่มพัฒนาไปยุคสมัย นอกจากจะคุมกำเนิดแล้ว มนุษย์เรายังหันมาระแวดระวังโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงสรรสร้างสักสิ่งขึ้นมาเพื่อป้องกันผลอันไม่พึงประสงค์ (ไม่ว่าจะลูกหรือโรคก็ตาม)
เจ้าสิ่งประดิษฐ์ที่ป้องกันได้ดั่งใจที่ว่านั้นก็คือ ‘ถุงยางอนามัย’ ใช้สวมอวัยวะเพศชายขณะมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แม้จะป้องกันไม่ได้อย่างสุดแท้แน่นอนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ก็คุมกำเนิดถึง 98 % ป้องกันการติดเชื้อได้ HIV 70-87 % และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้ถึง 90%
ปัจจุบันถุงยางอนามัย ผลิตมาจากน้ำยางธรรมชาติและน้ำยางสังเคราะห์ บรรจุมาในหีบห่อพร้อมสารหล่อลื่น มีลูกเล่นเพิ่มสีสันให้กับเซ็กซ์อีกมากมาย ทั้งกลิ่น รส หวานหอม ผิวสัมผัสหลากหลาย รองรับแทบทุกขนาดตามค่าเฉลี่ย
ใช้งานสะดวก ง่ายต่อการพกพา ถุงยางอนามัยจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการคุมกำเนิดและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อันดับต้นๆ แค่ในประเทศไทย ยอดขายถุงยางอนามัยอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาทต่อปี (เสริมสักนิดว่าไทยเป็นประเทศที่ส่งออกถุงยางอันดับหนึ่งของโลก)
แต่กว่าถุงยางมันจะสะดวกใช้ หน้าตาเข้าใจง่ายอย่างในทุกวันนี้ มันเคยหน้าตาเป็นแบบไหน มาจากวัสดุอะไรบ้าง เราจะพาทุกคนย้อนกลับไปหาคำตอบนี้กัน

Credit: Matthias Kabel, Lund University Historical Museum
กษัตริย์ผู้มีแมงป่องออกมาจากจู๋
เรารู้ดีว่าถุงยางอนามัยมีไว้คุมกำเนิด แต่ใครจะไปคิดว่าคนแรกที่ริเริ่มใช้ จะเป็นกษัตริย์ผู้มีแมลงป่องออกมาจากจู๋ ย้อนกลับไปไกลที่สุดเท่าที่จะมีใครบันทึกไว้ สัก 3,000 ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์ไมนอสแห่งครีต (Minos of Crete) บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จากยุคสำริด (เคยปรากฎอยู่ในงานของโฮเมอร์ด้วย) ว่ากันว่ามีสนมคนไหนก็ตายหมด เพราะพระองค์มีงูและแมงป่องออกมาจากน้ำเชื้อ
ตายล่ะ จะทำยังไงล่ะทีนี้ กษัตริย์ไมนอสก็เลยต้องหาทางปกป้องชีวิตบรรดาสนมและสาวๆ ที่ต้องถวายงานรับใช้ รวมถึงตัวเองด้วย จึงคิดค้นเอากระเพาะปัสสาวะของแพะ บ้างก็ว่าเข้าไปในช่องคลอด บ้างก็ว่าคลุมที่แท่งหรรษาของกษัตริย์เอง มันเลยทำหน้าที่คล้ายถุงยางอนามัยในปัจจุบันของเรา และก็ได้ผลดั่งใจ ไม่มีสาวคนใดต้องสังเวยชีวิตบนเตียงของกษัตริย์อีกต่อไป
หากมองเป็นนิทานปรัมปราก็พอให้เข้าใจในความแฟนตาซีที่ว่ามานี้ได้ แต่ในแง่หนึ่ง งูและแมงป่องที่ว่านั้นอาจเป็นภาพแทนของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่คร่าชีวิตเหล่าสนมทั้งหลาย จนต้องหาทางป้องกันนั่นเอง
ก้าวเข้าสู่โลกในยุคอารยธรรมต่างๆ โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) นักโบราณคดี พร้อมกับทีม ได้ค้นพบสิ่งที่ทำหน้าที่คล้ายถุงยางอนามัยอายุประมาณ 1,350 ปีก่อนคริสตกาล ในหลุมฝังศพของฟาโรห์ตุตันคาเมน โดยทำจากผ้าลินินเนื้อดีที่แช่ในน้ำมันมะกอกและผูกติดกับเชือก นักวิจัยคาดว่าเชือกนั้นทำหน้าที่ผูกไว้รอบเอว ยังมีการบันทึกว่า ถุงลินินมีสีสันสดใสแตกต่างกันไป สามารถบ่งบอกถึงชนชั้นในสมัยนั้นได้ นอกจากเพื่อคุมกำเนิดแล้ว ยังป้องกันโรคเขตร้อน เช่น โรคพยาธิใบไม้ในตับอีกด้วย
เช่นเดียวกับในอารยธรรมโรมันโบราณ มีการใช้ถุงลินิน ลำไส้หรือกระเพาะปัสสาวะของแกะและแพะ เชื่อว่าจุดมุ่งหมายส่วนใหญ่ใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่ออย่างซิฟิลิสที่ระบาดอย่างหนักในตอนนั้น แต่ไม่ใช่เพื่อคุมกำเนิดแต่อย่างใด
อารยธรรมฝั่งตะวันตกอย่างจีนและญี่ปุ่นก็มีบันทึกถึงสิ่งสวมสำหรับคุมกำเนิดและป้องกันโรคในลักษณะคล้ายกัน เพียงแต่เปลี่ยนจากลินินเป็นไหม
ก้าวข้ามมาถึงปี 1564 ช่วงที่โรคซิฟิลิสระบาดอีกครั้ง กาเบรียลโล ฟัลโลปิโอ (Gabriello Fallopio) นักกายวิภาคชาวอิตาลี ได้แนะนำให้ประชาชนใช้ถุงลินินรัดด้วยริบบิ้นเพื่อป้องกันโรคซิฟิลิส นึกภาพคล้ายๆ ปลอกหมอนข้าง แน่นนอนว่าไม่ได้เป็นแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง แต่สามารถซักและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และมักใช้ร่วมกับยาขี้ผึ้งและยา
ถัดมาในปี 1660 พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เริ่มรู้สึกว่าลูกนอกสมรสมีมากเกินจะนับนิ้วไหว เลยขอคำแนะนำจากแพทย์ เลยได้ลำไส้แกะที่ทาด้วยน้ำมันเพื่อใช้เป็นถุงยางอนามัย จากแพทย์ที่มีชื่อว่า ดร. คอนดอม (Dr.Condom) เลยว่ากันว่าคำว่า Condom ก็มาจากเหตุการณ์นี้นี่แหละ แต่บางส่วนก็เชื่อว่าคำนี้มันมาจากภาษาละติน Condus ที่แปลว่าภาชนะต่างหาก (แต่ใครถูกนั้น ก็ไม่อาจทราบได้)
ถุงยางอนามัยที่มาจากยาง
สำหรับในโลกยุคก่อน จะเรียกถุงยางอนามัยก็ไม่เต็มปากนัก ในเมื่อมันมาจากสารพัดสิ่ง ยกเว้นยางน่ะสิ แล้วถุงยางอนามัยที่ทำมาจากยางจริงๆ จะมาตอนไหน?
มาในโลกยุคใหม่นี่แหละ เหตุที่มาช้าหน่อย เพราะเราต้องรอการมาถึงของ ชาร์ลส์ กู๊ดเยียร์ (Charles Goodyear) นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เขาค้นพบกระบวนการวัลคาไนเซชัน ยางทำปฏิกิริยากับกำมะถันทำให้ยางกลายเป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่นและทนทานได้มากขึ้น ลองนึกถึงยางธรรมชาติที่ไม่ผ่านขั้นตอนใดๆ หากเจออุณหภูมิร้อนก็จะเหลว ยืด แต่เมื่อเจออุณหภูมิเย็นก็จะจับตัวแข็งเป็นก้อน แต่กระบวนการวัลคาไนเซชันจะทำให้ยางคงสภาพได้ดียิ่งขึ้น ถุงยางอนามัยจึงถูกผลิตเป็นล่ำเป็นสัน จนถุงดั้งเดิมที่ทำจากสัตว์ไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป
แต่นั่นก็ทำมาจากยางเฉยๆ ยังไม่ถือว่าเป็นถุงยางอนามัยในแบบที่เราใช้ในทุกวันนี้เสียทีเดียว จนกระทั่งปี 1920 น้ำยางถูกคิดค้นขึ้นในปีนั้น กลายมาเป็นยางแปรรูปเป็นอีกหนึ่งวัสดุสำคัญ และเป็นนวัตกรรมที่ทำให้ถุงยางอนามัยกลายมาเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ด้วยการระบาดของโรคเอดส์ ในปี 1980 ทำให้ถุงยางอนามัยเป็นที่นิยมในฐานะสิ่งคุมกำเนิดและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จากการศึกษาของสหประชาชาติ พบว่าถุงยางอนามัยสำหรับผู้ชายเป็นวิธีคุมกำเนิดที่นิยมใช้กันมากเป็นอันดับสองของโลกในปี 2019
การคิดค้นอะไรสักอย่างมาป้องกัน ตั้งแต่กระเพาะปัสสาวะสัตว์ ผ้าลินิน มาจนถึงน้ำยางในปัจจุบัน ในแง่หนึ่งมันแสดงถึงความพยายามในการจัดการกับปัญหาด้านการคุมกำเนิดและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เสมอมา ไม่ว่าจะเป็นโลกยุคเก่าเท่าใดก็ตาม
แล้วเราอยู่ในโลกยุคนี้ ที่มีฉีกซองพร้อมใช้ แล้วเราจะไม่ใช้มันหน่อยหรอ?
อ้างอิงจาก