‘Good pilgrim, you do wrong your hand too much,
Which mannerly devotion shows in this,
For saints have hands that pilgrims’ hands do touch,
And palm to palm is holy palmers’ kiss.’
ตอนที่โรเมโอพบและจีบจูเลียตในงานเต้นรำ ชายหนุ่มได้คว้ามือหญิงสาว ในการพบกันครั้งแรกนั้นเชกสเปียร์ใช้ความเปรียบที่มีนัยของศาสนา จูเลียต (เมื่อชายหนุ่มกุมมือเธอปุบปับ) เลยบอกปัด …หรืออาจจะท้าทายโดยเปรียบว่าการที่โรเมโอดั้นด้นมาหาเธอถึงที่นี่เป็นผู้แสวงบุญ และการจับแตะมือกันดุจนักบุญเวลาพบเจอก็เพียงพอแล้ว การสัมผัสของฝ่ามือก็เหมือนการจุมพิตอันศักดิ์สิทธิ์
ความเปรียบนี้แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณ (spiritual) เป็นความรักที่ทั้งสวยงาม และวาบหวามขี้เล่น จากการสัมผัสมือของนักบุญนำไปสู่การจูบครั้งแรกและครั้งที่สอง การจับมือของหนุ่มสาวจึงเต็มไปด้วยความหมายและการอ้างอิงทางวัฒนธรรม เชื่อมโยงความสัมพันธ์ทางโลกเข้ากับมิติที่สูงส่งกว่า
อ่านแล้วก็เขิน ในชีวิตประจำวันบางทีแฟนเราอยู่ๆ ก็คว้ามือเราไปจูง ด้วยมิติทางวัฒนธรรมเราอาจจะไม่ค่อยชินกับการแสดงความสัมพันธ์ในที่สาธารณะ รู้สึกเขินคนรอบข้าง แต่การเดินจูงมือถึงจะเขินหน่อยๆ แต่ก็ถือเป็นกิจกรรมที่รู้สึกดีแหละ ถ้าเป็นบ้านเรา สาวๆ เดินจับมือกันเป็นเรื่องปกติ ถ้าเป็นคนรักก็จับบ้าง ปล่อยบ้าง ส่วนผู้ชายด้วยกันเราไม่มีวัฒนธรรมการเดินจับมือ
การเดินจับมือกันเป็นทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์ และเรื่องของวัฒนธรรม เป็นมิติที่ว่าผู้คนในสังคมหนึ่งๆ จะแสดงความชิดใกล้กันแค่ไหน อย่างไร ไทยเราถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่มีการสัมผัสไม่มาก (low contact) เราไม่ค่อยถึงเนื้อถึงตัวหรือแสดงความรู้สึกกันในที่สาธารณะเท่าไหร่ แต่การจับมือกันมันดีนะ ทำไมเราถึงเดินจับมือ และบางครั้ง ในคู่รักเช่นคนรักเพศเดียวกัน ดูเหมือนการเดินจับมือ – การแสดงความรักในที่สาธารณะ – จะไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป
พลังต่อจิตใจจากการสัมผัสทางกายภาพ
การสัมผัสระหว่างของมนุษย์ถือเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญในการมีชีวิตอยู่ของพวกเรา นักจิตวิทยา Alberto Gallace และ Charles Spence พูดถึงความสำคัญของการสัมผัสกันในวารสาร Neuroscience & Biobehavioral Reviews ว่าการสัมผัส (touch) เป็นการรับรู้แรกที่มนุษย์มี การสัมผัสเป็นวิธีที่เบื้องต้นที่สุดที่เราใช้สัมผัสกับโลกภายนอก ดังนั้นการสัมผัสจึงไม่ใช่แค่การให้ความสบายใจ แต่เป็นแกนสำคัญของพัฒนาการมนุษย์และเป็นแกนสำคัญในชีวิตของเราด้วย
มีงานศึกษาจำนวนมากที่บอกว่าการสัมผัสกันด้วยมือสื่อถึงความหมายและส่งผลทางจิตวิทยาอย่างลึกซึ้ง การจับและกุมมือกันไว้เป็นการให้พลังกับจิตใจ ซึ่งการสัมผัสกันในทำนองนี้ไม่ได้มีในแค่มนุษย์ เรายังเห็นสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่งที่มีพฤติกรรมทางสังคมคล้ายกับการจับมือ เป็นการแสดงออกถึงการสนับสนุนเสริมพลังซึ่งกันและกัน
ในงานวิจัยชื่อ Lending a Hand: Social Regulation of the Neural Response to Threat นักประสาทวิทยาจาก The University of Virginia และ The University of Wisconsin ทำการศึกษาที่เรียบง่ายเพื่อศึกษาพลังของการสัมผัสมือกันในภาวะตึงเครียด นักวิจัยสรุปผลว่า การที่เรามือใครสักคนจับมือเราไว้ เป็นการสร้างความมั่นคงมั่นใจให้กับเราในการผ่านเหตุการร้ายๆ ไปได้
ดังนั้นในทางสังคม จึงไม่แปลกที่เรารู้สึกอบอุ่นใจเมื่อมือของเราถูกประคองอย่างนุ่มนวลในอุ้งมือของอีกฝ่าย การจับจูงมือเป็นสัญญาณและสัญญาที่เราให้แก่กันว่าก้าวเดินที่คนทั้งสองกำลังก้าวไปด้วยกันจะเป็นก้าวแห่งการประคับประคอง การส่งเสริมและการเดินเคียงคู่กัน ไม่ว่าจะในเชิงมิตรภาพ ครอบครัวหรือความรักโรแมนติกก็ตาม
ในสหรัฐฯ มีการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างวัฒนธรรมฝรั่งเศสที่สัมผัสตัวกันมากกว่าของอเมริกาเอง พบว่าวัยรุ่นในสหรัฐฯ สัมผัส (ในความหมายและกิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น การการกอด หรือจับมือในโอกาสต่างๆ) กันน้อยกว่าวัยรุ่นฝรั่งเศส แถมวัยรุ่นอเมริกันมีแนวโน้มที่จะกลัวการสัมผัสกัน ผลคือ ในรายงานของ Touch Research Institute (บทความเชิงวิชาการ) บอกว่าวัยรุ่นอเมริกันที่กลัวการแตะเนื้อต้องตัวมากกว่าฝรั่งเศส มีความเสี่ยงกับพฤติกรรมรุนแรงและการฆ่าตัวตายมากกว่า
รายงานดังกล่าวหลักๆ พยายามเสนอการทบทวนกฎเรื่องการสัมผัสกัน เช่นในโรงเรียนที่อาจจะห้ามการแสดงออกทางสัมพันธ์ ทำให้เด็กๆ กลัวการแสดงออกด้วยการสัมผัสกัน ขณะที่คณะวิจัยมองว่าการสัมผัสกันเป็นองค์ประกอบหลักของมนุษย์
มิติทางวัฒนธรรมและการเมืองในการจูงมือ
การจูงมือเป็นเรื่องทางวัฒนธรรม ในบางวัฒนธรรมไม่ค่อยเปิดโอกาสให้คนแสดงออกทางความรู้สึกกันในที่สาธารณะเท่าไหร่ ดังนั้นเราอาจจะเขินๆ หน่อย เพราะแน่ล่ะว่าการจูงมือถือเป็นกิจกรรมที่แสดงออกว่าคนสองคนนั้นมีความสัมพันธ์ – มีความรู้สึกที่พิเศษต่อกัน จริงๆ ทุกวันนี้ บ้านเราเองการจับมืออาจจะถือเป็นเรื่องปกติมากขึ้น
มีงานศึกษาที่ขี้สงสัยว่า แล้วการจับมือมันมีความหมายโดยนัยมั้ย เช่นในความสัมพันธ์แบบหญิงชาย การจูงมือมีการเมืองหรือนัยทางอำนาจอยู่ในนั้นรึเปล่า คงคล้ายๆ ความเชื่อบ้านเราที่ว่ามือใครอยู่สูงคนนั้นมีอำนาจมากกว่า จากการศึกษางานสำรวจ 9 ชิ้นที่กินพื้นที่กลุ่มตัวอย่างที่หลากหลายทั้งวัย อายุ และกลุ่มวัฒนธรรมพบว่า ในการจับมือของคู่รักชายหญิง ผู้ชายมักจะจับมือโดยมือของตัวเองอยู่ด้านบนของฝ่ายหญิง ในด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นถึงสถานะของฝ่ายชายที่เป็นฝ่ายประคับประคองดูแลฝ่ายหญิง หรืออีกด้านอาจหมายถึงการรับบทผู้นำในความสัมพันธ์นั้น
ในแง่ของความสัมพันธ์ทั่วไป การเดินจับมือถือเป็นเรื่องที่ปกติมากขึ้น ในหลายวัฒนธรรมถือเป็นเรื่องธรรมดาที่คู่รักจะแสดงความรักในที่สาธารณะ ถ้าไม่นับในบางวัฒนธรรม เช่นกลุ่มประเทศอาหรับที่ผู้ชายเดินจับมือกันเพื่อแสดงถึงมิตรภาพ การจับมือของกลุ่มคนรักเพศเดียวกันถือเป็นกิจกรรมที่ยากลำบากและมีปัญหาอยู่ – แม้ในโลกสมัยใหม่
ถ้ามองว่าการเดินจูงมือกันเป็นการแสดงสถานะที่เปิดเผยของความสัมพันธ์นั้นๆ ดังนั้นในความสัมพันธ์ที่หลากหลาย เช่นในกลุ่มเกย์เอง การเดินจับมือแม้แต่ในประเทศที่เปิดกว้างเรื่องเพศก็ยังถือเป็นกิจกรรมที่ก่อความลำบากใจ โดยนัยอาจแสดงถึงปัญหาเรื่องการยอมรับความหลากหลายของความสัมพันธ์ ในอังกฤษมีการสำรวจในปี 2017 และพบว่า คู่รักเกย์ยังประสบปัญหาถึงขนาดกลัวการเดินจับมือคนที่ตัวเองรักในที่สาธารณะ ในการสำรวจทำนองเดียวกัน ในคู่หญิงเองก็มีความลำบากใจในการเดินจูงมือในที่สาธารณะไม่ต่างกัน
ถ้าเรามองว่าความรัก-ความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะในรูปแบบใด การแสดงออกถึงความสัมพันธ์นั้นอย่างเปิดเผยเช่นการจูงมือจึงไม่ควรเป็นเรื่องต้องห้ามหรือถูกเหยียดหยาม ออสเตรเลียเองถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ให้ความสำคัญและมีกฏหมายรองรับความรักที่หลากหลายจึงออกแคมเปญรณรงค์สนับสนุนการจับมือ
Australian bank ANZ ออกโฆษณาที่แสดงการสนับความรักในทุกรูปแบบ เคมเปญ #HoldTight ของทางธนาคารให้ภาพคนรักที่เป็นเพศเดียวกันเดินจับมือกันเพื่อผ่านพ้นสายตาและการตีตราต่างๆ จากคนรอบข้าง โฆษณาดังกล่าวเหมือนเป็นการบอกว่า เป็นความชอบธรรมที่จะรัก แสดงความรัก และก้าวผ่านสายตาและการตัดสินของคนอื่น
ในเมื่อเราต่างรู้ว่าความรักเป็นเรื่องที่ดี การจับมือในฐานะการแสดงออก…ที่ก็ไม่ได้เอิกเกริกอะไร แถมยังส่งเสริมความรู้สึกทั้งของเราเองและส่งเสริมความรู้สึกของคนที่เรากุมมือด้วย การจับมือไม่ว่าจะในสถานการณ์หรือความสัมพันธ์รูปแบบใดก็ตามก็น่าจะถือเป็นกิจกรรมที่ให้ผลเชิงบวก
ถึงมันจะเขินๆ หน่อย แต่ก็ลองจับมือและให้กำลังใจคนข้างๆ ดู …ไม่เลวเนอะ
อ้างอิงข้อมูลจาก