“อย่าสับสนระหว่างการแก้แค้นกับความยุติธรรม โทษประหารมีแต่จะทำให้เกิดความอยุติธรรมมากยิ่งขึ้น”
ซาอิด ราอัด อัล-ฮุสเซน
ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ
9 สิงหาคม 2559
เมื่อมีข่าวว่าอาชญากรก่ออาชญากรรมร้ายแรง อาจเป็นการข่มขืนเด็กน้อยไร้เดียงสา การลงมือฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยม ขบวนการค้ายาเสพติด ไปจนถึงนักการเมืองหรือข้าราชการที่โกงกินประเทศชาติ เสียงเรียกร้องจากคนจำนวนไม่น้อย พุ่งไปยังปลายทางของกระบวนการยุติธรรม โดยเรียกร้องให้คนๆ นั้นได้รับโทษสูงสุด
ต้องประหารชีวิต!
คนส่วนใหญ่มีสมมุติฐาน (บ้างก็ฟันธงไปแล้ว) ว่า ‘ประหารชีวิต’ คือการแก้ปัญหาอาชญากรรม ลดจำนวนอาชญากร ซึ่งนึกภาพตามก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ เมื่อคนเลวถูกกำจัด สังคมน่าจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่จากสถิติและงานวิจัยมากมายทั่วโลกพบว่า โทษประหารชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอาชญากรรม
ปี 2547 ประเทศสหรัฐอเมริกามีอัตราการฆาตกรรมเฉลี่ยในรัฐซึ่ง ‘มีโทษประหารชีวิต’ อยู่ที่ระดับ 5.71 ต่อประชากร 100,000 คน ขณะที่รัฐซึ่ง ‘ไม่มีโทษประหารชีวิต’ มีอัตราอยู่ที่ 4.02 ต่อประชากร 100,000 คน ฟากประเทศแคนาดา ปี 2546 หลังจากยกเลิกโทษประหารชีวิตแล้ว 27 ปี อัตราการฆาตกรรมลดลง 44 เปอร์เซ็นต์
บ่อยครั้งฆาตกรลงมือฆ่าคนอยู่ในสภาวะอารมณ์พลุ่งพล่าน หรือเป็นเพราะฤทธิ์ของยาเสพติด หรือมีสภาพจิตไม่ปกติ (นักโทษที่ถูกประหารชีวิตในสหรัฐฯ ตั้งแต่ พ.ศ.2520 อย่างน้อย 1 ใน 10 คนเคยเจ็บป่วยจากอาการทางจิตรุนแรง) ปัจจัยเหล่านั้นเข้ามามีอิทธิพลเหนือเหตุผล จนคำว่า ‘ประหารชีวิต!’ เลือนหายไปชั่วขณะ
ไม่เพียงเท่านั้น ขณะที่บางคนถูกประหารไปแล้ว แต่คนก่ออาชญากรรมคล้ายคลึงหรือร้ายแรงกว่า กลับไม่ได้รับโทษเช่นเดียวกัน เพราะนักโทษที่ถูกประหารหาใช่เพียงผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรง แต่ยังรวมถึงคนยากจนซึ่งไม่สามารถว่าจ้างทนายความที่มีฝีมือเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองได้
ข้อมูลเหล่านั้นสะท้อนว่า โทษประหารชีวิตไม่ได้ช่วยให้สังคมปลอดภัยขึ้น แต่กลับส่งผลกระทบเลวร้ายต่อสังคม การที่รัฐอนุญาตให้มีการประหารบุคคล แสดงถึงการสนับสนุนการใช้กำลังและการส่งเสริมวงจรความรุนแรง
ข้อมูลจากรายงาน “สถานการณ์โทษประหารชีวิต และการประหารชีวิตปี 2559” (Death Sentences and Executions in 2016) ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่าปัจจุบันมี 141 ประเทศ (มากกว่า 2 ใน 3 ของโลก) ที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตแล้ว ทั้งในทางกฎหมายและทางปฏิบัติ โดยเลขาธิการใหญ่สหประชาชาติได้ออกมาประกาศว่า การประหารชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ในศตวรรษที่ 21 และเมื่อปลายปี 2559 มี 117 ประเทศร่วมลงนามสนับสนุนข้อตกลงเพื่อพักใช้โทษประหารชีวิตชั่วคราวของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
ในประชาคมอาเซียน กัมพูชาและฟิลิปปินส์ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดทางอาญาทุกประเภทแล้ว ส่วนลาว พม่า และบรูไน ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ (ไม่มีการประหารชีวิตประชาชนมากกว่าสิบปีติดต่อกัน) ขณะที่ประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ยังมีโทษประหารชีวิตในทางกฎหมาย และในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ยังคงมีการประหารชีวิตผู้กระทำผิดอยู่ (ประเทศไทยมีการประหารชีวิตครั้งสุดท้าย ปี 2552)
ในวาระที่ ราเฟนดิ จามิน อดีตผู้อำนวยการประจำสำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้องค์การ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งตำแหน่งผู้อำนวยการเครือข่ายทำงานเพื่อยุติโทษประหารชีวิตในอาเซียน เดินทางมาประเทศไทยเพื่อบรรยายเรื่องการยุติโทษประหารชีวิตให้กับคนทำงานในภาคส่วนต่างๆ ของประเทศไทย เราเลยถือโอกาสใช้เวลาสั้นๆ ถามมุมมองของเขาต่อประเด็นดังกล่าว เนื่องในวันที่ 10 ตุลาคมของทุกๆ ปี ซึ่งเป็นวันยุติโทษประหารชีวิตสากล
The MATTER : ย้อนกลับไปก่อนเกิดการรณรงค์ให้ยุติโทษประหารชีวิต เพราะอะไรถึงมีโทษประหารชีวิต
ราเฟนดิ จามิน : โทษประหารชีวิตถือเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์เลย มีมาตั้งแต่กำเนิดของมวลมนุษยชาติ เวลาเกิดความขัดแย้งระหว่างคนกับคน ต้องมีวิธีการที่มาจัดการ เขาใช้หลักการตาต่อตาฟันต่อฟัน คุณจบชีวิตใครคนนึง คุณก็ต้องจบชีวิตคุณไปด้วย แต่คอนเซ็ปต์นี้เปลี่ยนไปตามยุคสมัย หลังปี 1948 การเกิดขึ้นของ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เกิดคำว่า สิทธิในการมีชีวิต (right to life) จึงมีการพูดคุยและหาข้อตกลงร่วมกัน โดยมองว่าโทษประหารชีวิตเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน การเคารพสิทธิของคน ไม่ใช่การเอาชีวิตของอีกคนไป ถ้าอย่างนั้นแล้ว โทษประหารชีวิตยังจำเป็นอยู่ไหม ทั้งโลกมี 193 ประเทศ ปัจจุบันมี 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ยังมีการประหารชีวิตอยู่ มันลดลงไปมาก และทุกปีก็ลดลงเรื่อยๆ
The MATTER : การยุติโทษประหารชีวิตจะแก้ปัญหาอะไร
ราเฟนดิ จามิน : เมื่อผู้คนเคารพสิทธิในการมีชีวิตมากขึ้น ถ้าใครสักคนทำผิดร้ายแรง ไม่ได้แปลว่าเราต้องพรากชีวิตเขา ขณะเดียวกัน ยังเป็นการให้โอกาสคนๆ นั้นในการเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย เมื่อทำผิดไปแล้ว เขายังสามารถกลับมาสู่สังคมเพื่อสร้างประโยชน์อื่นๆ ได้อีก อย่างไรก็ตาม เหตุผลสำคัญเลย คือภายใต้คอนเซ็ปต์ว่าระบบยุติธรรมไม่มีความสมบูรณ์แบบ ถ้าประหารชีวิตใครไป เขาตาย หลังจากนั้นพบว่าเป็นการตัดสินผิดพลาด เราเอาชีวิตคนกลับมาไม่ได้แล้ว ซึ่งความผิดพลาดในระบบยุติธรรม ยิ่งเลวร้ายในประเทศที่มีคอร์รัปชั่น
คอร์รัปชั่นเกิดขึ้นได้จากหลายระดับ อาจเป็นตำรวจ อัยการ ศาล เราไม่รู้ว่าคนที่ทำผิดจริงๆ อยู่ในกระบวนการยุติธรรมหรือเปล่า แล้วคนที่อยู่ในกระบวนยุติธรรมคือคนที่ทำผิดหรือเปล่า โดยเฉพาะอาชญากรรมเกี่ยวกับยาเสพติด ระหว่างทางมีการคอร์รัปชั่นสูงมาก เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมหาศาล มีงานวิจัยบอกว่า อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด คนที่ตกเป็นเหยื่อมักเป็นกลุ่มคนชายขอบหรือคนจน เพราะเขาไม่สามารถจ้างทนายความเก่งๆ มาสู้คดีได้ รวมทั้งบางคนก็โดนผู้มีอิทธิพลผลักให้มารับโทษแทน เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะตามตัวนายใหญ่ไม่ได้ ซึ่งถือเป็นการคอร์รัปชั่นอย่างหนึ่งของระบบยุติธรรม
The MATTER : แล้วกรณีระบบยุติธรรมไม่ผิดพลาดล่ะ ถ้าคนๆ นั้นทำผิดคดีร้ายแรง ทำไมถึงไม่ควรถูกประหารชีวิต
ราเฟนดิ จามิน : แน่นอนว่าคนทำผิดควรได้รับโทษ แต่ต่อให้เป็นความผิดร้ายแรงขนาดไหน โทษนั้นต้องไม่ใช่การประหารชีวิต มนุษย์ทุกคนมีสิทธิในการมีชีวิต อีกทั้งการให้โอกาสครั้งที่สองก็เป็นเรื่องสำคัญ คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้ กลับมาใช้ชีวิตต่อในสังคม ดังนั้น ไม่ควรใช้วิธีการตาต่อตาฟันต่อฟันมาแก้ปัญหา
แล้วถ้ามองเรื่องนี้ในมุมของญาติเหยื่อ ถ้ากรณีฆ่าคนตาย เมื่อมีใครมาฆ่าน้องสาวของเรา เป็นธรรมดาที่เราต้องอยากแก้แค้น คำถามคือการใช้โทษประหารชีวิตมันแก้ช่วยญาติเหยื่อจริงไหม จริงๆ แล้วปัญหาของญาติเหยื่อคือเรื่องสภาพจิตใจ ต่อให้ลงโทษด้วยการประหารชีวิต มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาสภาพจิตใจ เขายังต้องดำเนินชีวิตต่อไป สิ่งที่มาเยียวยาญาติเหยื่อจริงๆ คือการใช้วิธีการทางจิตวิทยาโดยนักจิตวิทยา วิธีการช่วยเหลือคือการได้พูดถึงปัญหาจริงๆ ไม่ใช่ว่าลงโทษแล้วทุกอย่างจะจบ ขณะเดียวกัน คนที่ถูกตัดสินประหารชีวิต เขาก็มีพ่อแม่พี่น้อง มันเป็นการสร้างปัญหาต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเลย
The MATTER : ถ้าญาติเหยื่อบอกว่า วิธีการเยียวยาคือการประหารชีวิตผู้กระทำล่ะ
ราเฟนดิ จามิน : ใช่ เหยื่อและญาติเหยื่อหลายคนบอกแบบนั้น การฆ่าจะทำให้จิตใจเขาดีขึ้น แต่เคยมีงานวิจัยออกมาแล้ว ว่าการฆ่าผู้กระทำผิด ไม่ได้ทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นเลย แต่ไม่ได้หมายความว่ายกเลิกโทษประหารชีวิต แล้วจบ โทษจำคุกตลอดชีวิตก็ต้องมีกระบวนการทางจิตวิทยาเปลี่ยนแปลงให้ผู้ทำผิดกลับสู่สังคม ซึ่งมันเป็นไปได้ มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองและกลับมาสร้างประโยชน์ให้สังคมได้
The MATTER : เป็นไปได้ไหมว่าคนๆ นั้นจะกลับมาทำผิดซ้ำอีก
ราเฟนดิ จามิน : การลงโทษ กับ กระบวนการเปลี่ยนแปลงให้ผู้กระทำผิดกลับสู่สังคม มันต่างกันนะ คนๆ นั้นจะกลับมาทำผิดอีกหรือไม่ อยู่ที่ระบบนั้นว่าเป็น การลงโทษ หรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงคน ถ้ากระบวนการดี คนก็ไม่กลับมาทำผิดซ้ำสอง ถ้ามีคนทำผิดซ้ำสอง ก็ควรตั้งคำถามว่า กระบวนการที่ทำอยู่มีประสิทธิภาพหรือเปล่า ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการประหารชีวิต
The MATTER : คุณไปรณรงค์ยุติโทษประหารชีวิตที่ประเทศต่างๆ ในอาเซียน เสียงต่อต้านมักเกิดขึ้นด้วยเหตุผลอะไร
ราเฟนดิ จามิน : ประเทศในอาเซียนมีความหลากหลาย มีแค่ 4 ประเทศที่ยังประหารชีวิตคนจริงๆ คือ เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ประเทศอื่นๆ ที่มีโทษประหารชีวิต แต่ไม่นำมาใช้ในทางปฏิบัติ แต่โดยภาพรวมแล้วก็มีแนวโน้มในการเปลี่ยนแปลง ความคิดเห็นของคนทั่วไปจะบอกว่า จำเป็นต้องมีโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ และมีคนอีกกลุ่มมองว่า แม้ในทางปฏิบัติจะไม่มีการประหารชีวิตแล้ว แต่ก็ควรมีโทษประหารชีวิตไว้ มีไว้เพื่อให้เกิดความอุ่นใจ อย่างไรก็ตาม ความคิดนี้เปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับการให้ความรู้กับคนเหล่านั้น
The MATTER : คุณให้ความรู้หน่อยสิ ทำไมถึงไม่ควรมีโทษประหารชีวิต
ราเฟนดิ จามิน : เอาง่ายๆ เลย เริ่มจากสร้างความเป็นมนุษย์ เมื่อใดที่มีการประหารชีวิตคน มันมีความเป็นมนุษย์อยู่ในนั้น เพราะเป็นการเอาชีวิต อย่างแรกคือ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือระบบยุติธรรมยังขาดความยุติธรรม มันเกิดขึ้นกับคนโดนประหารชีวิตหลายกรณี ถ้าบอกว่ามีปัญหาในระบบยุติธรรม คนจะสามารถเข้าใจได้นะ หรือในตัวคนกระทำความผิด เขาก็มีครอบครัว เมื่อมีคำตัดสินโทษประหารชีวิต คนๆ นั้นยังไม่ถูกประหารทันที ต้องใช้เวลา 7-10 ปี คนในครอบครัวต้องรอลุ้นว่าจะจบลงยังไง ซึ่งช่วงเวลานั้นคือการทรมานจิตใจ
The MATTER : วิธีการไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย แต่ความเป็นจริงคงไม่ง่ายอย่างนั้น ปัจจัยที่ทำให้คนในสังคมหนึ่งๆ ยอมรับการยุติโทษประหารชีวิตคืออะไร
ราเฟนดิ จามิน : ขึ้นอยู่กับคุณถามความคิดเห็นคนทั่วไปยังไง ถ้าตั้งคำถามว่า “เห็นด้วยกับโทษประหารชีวิตไหม” คำตอบของคนส่วนใหญ่ย่อม “เห็นด้วย!” แต่ถ้าถามว่า “ถ้าระบบยุติธรรมยังมีความผิดพลาด คุณเห็นด้วยกับการฆ่าคนไหม” เป็นการสอดแทรกความเป็นมนุษย์เข้าไปในคำถาม เพราะมนุษย์ทุกคนมีความเป็นมนุษย์ พร้อมที่จะเห็นอกเห็นใจกันอยู่แล้ว มนุษย์ทุกคนผิดพลาดได้ ใช่ เราต้องหยุดไม่ให้เกิดอาชญากรรม แต่มันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ควรให้โอกาสครั้งที่สอง เพื่อให้มนุษย์คนนั้นกลับตัว กลับมาสร้างประโยชน์ให้สังคม
The MATTER : ประเทศที่ยังมีโทษและยังมีการประหารในทางปฏิบัติ หลายประเทศมีความเป็นศาสนาพอสมควร ทั้งที่ทุกศาสนาไม่สอนให้ฆ่าคน กลายเป็นว่าศาสนากับสิทธิมนุษยชนขัดแย้งกันเอง คุณมองเรื่องนี้ยังไง
ราเฟนดิ จามิน : ใช่ ถูกต้อง ทุกศาสนาสอนให้เคารพชีวิต ไม่ได้สอนให้ฆ่า แต่ปัญหาคือการตีความศาสนามันผิด นี่คือเหตุผลที่เราต้องให้ผู้นำทางศาสนามามีส่วนร่วมในการถกเถียงว่า โทษประหารชีวิตควรมีอยู่ไหม โดยให้ผู้นำทางศาสนาเหล่านั้น ระลึกอยู่เสมอว่า ศาสนาต้องการอะไร
The MATTER : เวลาพูดถึงการยุติโทษประหารชีวิตในประเทศไทย จะมีชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยบอกว่า “อย่ามาโลกสวย!” คุณจะตอบคนเหล่านี้ยังไง
ราเฟนดิ จามิน : (หัวเราะ) ใช่แล้ว ชีวิตคือสิ่งสวยงาม เราควรมีความสุขกับการมีชีวิต แต่เราจะอยู่ในโลกที่สวยได้ยังไง มันเป็นหน้าที่ของรัฐในการออกแบบระบบยุติธรรมที่มาทำให้โลกของเราทุกคนสวย เมื่อมีอาชญากรรมขึ้นมา ระบบยุติธรรมที่ดีจะมาแก้ปัญหาได้ มันมีงานวิจัยออกมาจริงๆ ว่าการยกเลิกโทษประหารชีวิตทำให้อาชญากรรมลดลงได้
ลองดูในประเทศที่มีโทษประหารชีวิตอยู่ ทำไมนักโทษในเรือนจำถึงมีเป็นจำนวนมาก แต่ในประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตแล้ว นักโทษในเรือนจำกลับมีจำนวนน้อยกว่า