มีคำถามมากมายเกี่ยวกับ ‘โรคซึมเศร้า’ เกิดขึ้นในสังคม ทำไมหลายคนถึงป่วย? คนป่วยควรรักษาตัวเองยังไง? แล้วคนไม่ป่วยควรจะร่วมอยู่กับคนป่วยยังไง?
ในวันที่หลายคนในสังคมกำลังเผชิญหน้ากับโรคซึมเศร้า The MATTER ชวนคุยกับ ’ทราย เจริญปุระ’ ในฐานะหนึ่งในผู้ป่วยที่เผชิญหน้ากับโรคนี้ และในฐานะผู้ดูแลแม่ซึ่งกำลังป่วยด้วยโรคซึมเศร้าพร้อมกับโรคสมองน้อยเสื่อมด้วย
ทรายเล่าถึงการดูแลแม่ไปพร้อมกับที่ต้องดูแลอาการป่วยของตัวเอง สิ่งที่ทรายคิดในวันที่ตัดสินใจพาแม่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา พร้อมพูดถึงการอยู่ร่วมกับคนและสังคมที่เป็นโรคซึมเศร้า
’ทราย เจริญปุระ’ บอกเราในวันที่นั่งคุยกันว่า ไม่อาจคาดหวังให้ทุกคนบนโลกเข้าใจ แต่ที่ออกมาเล่า เพราะแค่อยากให้เห็นว่ามันมีเรื่องแบบนี้อยู่ และตัวเองในฐานะผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ก็อยากให้ทั้งคนที่เป็นและคนที่ไม่เป็น รู้สึกสบายๆ กับมันมากขึ้น
The MATTER : เริ่มเป็นโรคซึมเศร้าได้ยังไง
ทราย : ก่อนหน้านี้เรามีปัญหาเกี่ยวกับความเครียด แต่ยังไม่ได้ไปปรึกษาหมอ จนมาเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์รุนแรง คอหัก เข้าโรงพยาบาล อันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นจริงๆ ของการเป็นซึมเศร้าประเภท PTSD (Posttraumatic Stress Disorder) เป็นความสะเทือนใจหลังอุบัติเหตุ
จริงๆ แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ของเราคือเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างมารวมตัวกัน โป้ง! ไกในหัวเราก็ลั่น แล้วก็ป่วย ก็กินยาอยู่ประมาณปีนึง แล้วกลับมาทำงานได้
แต่สักพักแม่ก็ป่วย จากที่เป็นซึมเศร้าอย่างเดียว ก็มีอาการสมองน้อยเสื่อม ซึ่งก็ทำให้เขากลายเป็นใครก็ไม่รู้ที่อยู่ในร่างของแม่เรา เขาจำเราได้นะ คือหลายคนจะบอกว่าอัลไซเมอร์ อัลไซเมอร์ก็คือความเสื่อมของสมองส่วนนึง อย่างที่แม่เราเป็น ก็เป็นอีกส่วนนึง
จากที่ธรรมดาเขาก็เป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งทวีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นไปอีก เราก็ดูแลแม่จนเครียดมาก คือการดูแลพ่อแม่ในวันที่กลับกัน ในวันที่เราโตแล้ว แล้วเราต้องดูแลเขา ก็เครียดประมาณนึงอยู่แล้วสำหรับหลายๆ บ้าน แต่นี่คือการดูแลพ่อแม่ในวันที่กลับกัน แล้วเขาป่วย แล้วเขาเอาแต่ใจตัวเอง มันเครียดมาก
แต่ก่อนเคยคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนไม่เครียด จนเจอเรื่องนี้แล้ว ใช่! เราเป็นคนเครียดมาก จนผ่านไปสักเกือบปี หมอที่ดูแลแม่เลยบอกว่า ไม่ไหวแล้ว คนที่ต้องกินยาด้วยก็คือทรายนี่แหละ เขาเตือนตั้งแต่แรกว่า เราเคยเป็นมาแล้วรอบนึง แล้วความเครียดจากการดูแลอาจจะทำให้เราป่วยได้อีกรอบนึง ซึ่งก็จริงตามคำทำนายของหมอ ก็ป่วยจริงๆ
The MATTER : ป่วยครั้งที่สองต่างจากครั้งแรกยังไง
ทราย : เป็นระดับ MDD (Major Depressive Disorder) คือเป็นโรคซึมเศร้าแบบออฟฟิเชียล
ตอนเป็นครั้งที่สองแย่มาก เหมือนคนเคยโดนไฟช็อตแล้ว แล้วรู้ว่าเดี๋ยวต้องโดนอีกแน่ๆ รู้แล้วถามว่าทำอะไรได้ไหม ไม่ได้ มันต้องโดดลงไปในหลุมนั้น เราไม่สามารถที่จะ.. แม่คะ เลิกยุ่งกับทรายได้แล้ว ทรายป่วย ไม่ได้ไง
เริ่มมีความยุบยิบอยู่ในเนื้อตัว เหมือนมีอะไรไต่อยู่ในตัว เรื่องนอนมีปัญหาอยู่แล้ว แล้วก็เริ่มระแวงเสียงโทรศัพท์ตลอด นอนไม่เต็มที่ ตื่นมาก็ห่วงว่าแม่โทรมาปะวะ แม่จะเอาอะไรปะวะ หยิบโทรศัพท์มาดู พอไม่ได้โทรมา เอ๊ะ ไม่ได้โทรมาเป็นไรปะวะ ไม่ได้มีความสบายใจเลยในชีวิต พอไปกองถ่ายก็ต้องบอกว่า ไม่เป็นไรค่ะ สบายดี เอาบทมาท่อง แต่เฮ้ย แม่โทรมา แทนที่เราจะโฟกัสกับอะไร กลายเป็นว่าไม่โฟกัสกับอะไรเลย
แล้วก็เริ่มกิน กินไม่หยุด เพราะว่าเราจะโดนแม่เรียกอยู่ตลอด แล้วเราก็จะรู้สึกว่าถ้าไม่กินตอนนี้ ก็จะไม่มีเวลากินแล้วนะ คือสามารถกิน แล้วก็กิน แล้วกิน กินไปเรื่อยๆ
จนวันนึงเริ่มผื่นขึ้น เราก็เออ สงสัยแพ้ ไปกองถ่าย เราก็ทายา แล้วมันก็ลามไปเรื่อย จนวันที่พาแม่ไปหาหมอ หมอก็แบบ เชิญคุณแม่ไปรอในรถก่อนนะคะ ทรายเชิญค่ะทางนี้ เราต้องมาพูดคุยกันเรื่องการกินยาละค่ะ คือมันปะทุออกมาแบบ ไม่ใช่แค่การกินการนอนที่เปลี่ยน มันมาถึงร่างกาย
The MATTER : แต่ทรายก็ยังรับหน้าที่ดูแลแม่แม้ในวันที่ตัวเองป่วย
ทราย : ก็ต้องทำสองอย่างพร้อมๆ กัน เพราะว่าเราล้มไม่ได้ คือ.. (เงียบไปสักพัก) เราทำงาน เราเป็นหัวหน้าครอบครัว จะมาขอไปกินยา 3 เดือนนะคะ แล้วค่อยกลับมาเล่นละครต่อ มันไม่ได้ไง ค่ายาแม่ก็ไม่หยุดนะ ค่าน้ำค่าไฟเราก็ต้องจ่ายตลอด
มันไม่ไหวแล้วทุกวัน แต่มันเป็นคาถามากเลยนะ ตั้งแต่เราป่วยครั้งแรกๆ ว่าแบบ เอาทีละวัน เอาทีละวัน อยู่กันแบบทีละวัน อย่าเพิ่งคิดถึงพรุ่งนี้เลย คือสำหรับคนไม่สบาย หายนะเกิดขึ้นทุกวันเลย แค่จะออกไปทำงานก็เครียดแล้ว
เรารู้ว่าคนปกติ บางคนก็จะมี Bad Day คนทั่วไปมันจะมีวันที่ก้าวเท้าออกจากบ้านผิดข้างแน่ๆ เลย วันนี้ไม่ใช่วันของฉัน แต่นี่มันเหมือน Bad Day ทุกวันเลย
อย่างวันนี้เราว่าเราเสถียรละ เรากินยามาละ แม่ก็จะลุกขึ้นมาทำอะไรที่ ไม่! หยุดเดี๋ยวนี้ ซึ่งมันลุ้นกันอยู่อย่างนี้แบบวันต่อวัน แต่ถ้าถามว่าเราทำอะไรได้ไหม มันก็ทำอะไรไม่ได้ หมายถึงสิ่งที่เราทำได้ เราก็ทำไปทุกอย่างแล้ว งั้นเราก็ต้องยอมรับความจริงว่า แม่เขาป่วย ความจริงอย่างที่สองก็คือ เราก็ป่วย ได้แค่ไหนก็คือแค่นั้น
คือเขาเป็นคนดูแลตัวเองมาตลอด เขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับชีวิตเขา แล้ววันหนึ่งป่วย ทางแค่นี้ ถอยรถ แม่ชนไปตลอดทางเลยนะ ท้ายนี่บุบแบบเละไปหมด ไม่ใช่แค่แม่แล้วไง มันทั้งสวัสดิภาพแม่และคนใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ทรายไม่สามารถจะสปอยล์แม่ เพื่อให้แม่ออกไปทำร้ายลูกคนอื่นหรือพ่อแม่คนอื่นได้ แม่ก็บอกว่าเขาได้ จนสุดท้ายคือจนด้วยเหตุผล ก็จะลงไม้ลงมือ คือทุบก็ต้องทุบอะ ก็ให้ไม่ได้ แล้วทุกครั้งที่เราห้าม ก็จะกลายเป็นว่าเราเป็นลูกเนรคุณ อกตัญญู ซึ่งคนอื่นพูดเราก็ไม่ได้อะไรหรอก แต่นี่แม่เราแท้ๆ
รู้ไหมว่าเขาพูดเพราะโรค ก็รู้ว่าเขาพูดเพราะโรค แต่ว่าโดนทุกวัน ทั้งวัน มันก็แย่ แย่มากๆ
บางคนก็จะบอกว่าอย่าไปเครียดเลย เฮ้ย มันไม่เครียดไม่ได้ ก็แม่เรา เคยมีกระทั่งวันนึงที่เราลงมาแล้วรถไม่อยู่ ประตูบ้านเปิดทิ้งไว้ แม่ก็ไม่อยู่ แม่หายไป เราเดินร้องไห้เป็นอีบ้า เดินๆๆ ไป ซึ่ง.. แม่อยู่ร้านทำผม ก็โชคดีแล้วที่แม่อยู่แค่นั้น เราไม่สามารถอยู่ด้วยความอกสั่นขวัญแขวนแบบนั้นได้ทุกวัน
คือสำหรับลูกธรรมดาที่ดูแลพ่อแม่ เจอแบบนี้ก็เครียดแล้ว แล้วเราป่วย ป่วยเสร็จแล้วต้องไปทำงาน ต้องเอาความสติดีไปแลกเงินมา เราไม่สามารถสติไม่ดีไปกรีดร้อง ร่ำไห้ มันไม่ได้
The MATTER : นอกจากการกินยารักษา จัดการกับความเครียดยังไงอีก
ทราย : มันต้องระบายบ้าง แน่นอน โลกนี้มีเฟซบุ๊ก ก็ระบายไป แรกๆ ก็พยายามมองให้ขำ สนุกๆ ฮาๆ จะโพสต์หลังจากที่เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว จนหาหมอ หมอบอกว่าคุณต้องทิ้งระยะ ต้องเว้นจากแม่บ้าง ต้องปิดโทรศัพท์บ้าง เราก็บอกว่า ไม่ได้ เขาเป็นแม่ หมอก็เลยบอกว่า แต่คุณก็เป็นลูกไง ไม่งั้นก็พังกันทั้งคู่ แล้วยังไง สุดท้ายแม่ก็ไม่ดีขึ้น คุณก็ไม่ดีขึ้น หมอก็ได้คนไข้เพิ่มอีกคน
แล้วเราก็มาคิดว่า การคิดให้ตลก มันไม่ใช่วิธีที่ถูกปะวะ ไม่งั้นเราก็จะไม่มองปัญหาเป็นปัญหาซะที มันไม่สนุก แล้วมันก็ยาก ยากมากที่จะบอกแม่ว่า เราไม่ชอบสิ่งที่แม่ทำ ยากมาก ทุกวันนี้ก็ยังยากอยู่
เราไม่ได้ถูกเลี้ยงมาอย่างเพื่อน เราถูกเลี้ยงมาแบบแม่คือพระเจ้าสูงสุด แล้ววันนึงเราต้องบอกว่าสิ่งที่เขาสั่งมันไม่ดี เราพูดแล้วก็รู้สึกไม่ดีเอง แต่ก็ต้องบอกว่าอันนี้ไม่ได้ เราประสาทเสียมาก กับการที่ตกลงเราต้องทำอะไร แม่คือปัญหาของเรา แล้วเราต้องบอกเขาว่าเขาคือปัญหาของเราเหรอ แต่ว่าเขาเป็นแม่เรานะเว่ย
ตอนแรกๆ ที่ตัดสินใจออกมาพูด ก็รู้สึกว่าจะต้องเจอคำวิจารณ์หนักมาก แต่เราไม่ได้บอกว่าแม่เป็นแม่ที่เลวร้ายอะไรนะ เขาก็เป็นมนุษย์ แม่ก็เป็นคน เราก็เป็นคน เพราะงั้นคนควรจะปฏิบัติต่อกันยังไง ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น
หมอก็บอกว่าในเมื่อเขาเป็นคน คุณก็ต้องยอมรับว่าเขาก็มีทั้งดีและไม่ดี อันไหนไม่ดี คุณก็ต้องบอกเขา และเขาก็มีสิทธิ์บอกเหมือนกันว่าอันนี้ไม่ชอบ แล้วก็หาทางมาปรับกันตรงกลางให้เจอ ไม่ใช่แม่ทำอะไรก็ถูกหมดเลย
คือวันนึงพอมันสลับบทบาทกันแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบาลานซ์ ว่าเออลูกโตแล้ว ลูกก็เป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน มีสิทธิ์จะออกความเห็น มีสิทธิ์ที่จะไม่ชอบการตกแต่งห้องแบบนี้ที่พ่อแม่เคยตกแต่งให้ในสมัยก่อน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่รัก เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
มนุษย์มีหลายล้านอย่างบนโลก เราไม่ได้หวังให้ทุกคนบนโลกเข้าใจ คือการเล่าออกมา เราไม่ได้หวังให้ทุกคนบนโลกมาเข้าใจเรานะ เราแค่บอกว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ เราแค่อยากให้เห็นว่ามันมีเรื่องแบบนี้อยู่ คุณจะตัดสินเรายังไงก็ได้นะ แต่ว่าคุณไม่ได้มายืนอยู่ตรงที่เราอยู่
The MATTER : วันที่พาแม่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา มีความเห็นหลายด้านจากสังคม ทรายรับมือยังไง
ทราย : ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ ก่อนจะไปถึงศรีธัญญา แอดมิตมาหลายโรงพยาบาลแล้ว เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่โรงพยาบาลเฉพาะทาง เหมือนคนเป็นมะเร็งก็ต้องไปศูนย์โรคมะเร็ง คนเป็นโรคหัวใจก็ต้องไปศูนย์โรคหัวใจ ต้องไปที่ที่มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องของการกินยารักษาโรคอย่างเดียว ต้องมีกิจกรรมบำบัด ต้องมีครอบครัวบำบัด ต้องมีสังคมบำบัด
โรงพยาบาลบ้า เรารู้ว่าภาพพจน์ที่นี่เป็นอย่างนั้น แล้วคนก็จะมีภาพว่าตัวร้ายในละครทุกเรื่องต้องจบลงที่นี่ เราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าภาพลักษณ์มันเป็นยังงั้น ถามว่าแม่เราไปถึงขึ้นที่เราเห็นในละครไหม มันก็เกือบแล้วนะ แล้วทำไมเราต้องรอให้แม่เดินหายไปจากบ้าน ถ้าเรามีทางเลือกที่ดีกว่านั้น ทำไมเราจะไม่ทำ
เรารู้ว่าจะต้องมีคนพูด มีคนพูดกระทั่งว่าเอาความเป็นบ้าของแม่มาหากิน คือเราไม่ได้รวยขึ้นจากการที่แม่เป็นบ้าหรอก มันไม่ใช่แย่เพราะว่าแม่ต้องไปอยู่ศรีธัญญาด้วยนะ แต่มันแย่เพราะเรารู้สึกว่าเราล้มเหลวในความเป็นลูก แต่ถ้ามันจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างราบรื่นขึ้น เราในฐานะที่เป็นหัวหน้าครอบครัว เราก็ต้องชั่งน้ำหนักตรงนั้นไง หลังๆ เขาไม่ได้แค่มาลงกับเรา เขาก็เริ่มมาลงกับน้องชาย เรื่องขู่ฆ่าตัวตายนี่วันเว้นวัน เราไม่รู้ว่าวันไหนถ้าเขาทำจริงขึ้นมาแล้ว.. (เงียบไป)
The MATTER : การรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญาเป็นยังไงบ้าง
ทราย : ก็เหมือนโรงพยาบาลปกติ ซึ่งเขาก็แจ้งไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรก ตั้งแต่เข้ารับการรักษา จริงๆ ใช้สิทธิ์ 30 บาทก็ได้ แต่ถ้าคุณอยากได้มากกว่านั้นก็จ่ายเพิ่มไป ซึ่งเราก็รู้ว่าเรามีกำลัง หรือถ้าเราไม่มีกำลัง เราก็จะทำตัวเองให้มีกำลังจะจ่ายให้ได้ เพราะเราอยากให้แม่โอเค
คือพอเป็นบุคคลที่สามพูด มันง่ายกว่าลูกพูด เราไม่รู้ว่าพ่อแม่บ้านอื่นเป็นรึเปล่านะ แต่เขาก็จะทะเลาะเฉพาะกับลูกเนี่ยแหละ แต่พอคนอื่นพูดเขาก็จะโอเค แล้วไม่ใช่ว่าให้ผู้ป่วยกินยา แล้วให้เอากลับมาไว้ที่บ้าน เขาให้ทำกิจกรรม มีตารางมา แล้วญาติก็ไม่ใช่ว่าคุณเอามาปล่อย แล้วออกไปท่องโลก เวลาเยี่ยมก็ต้องมีกำหนด ต้องมีการนัดเข้ากลุ่ม เพื่อคุย สร้างความเข้าใจกันระหว่างผู้ดูแลและผู้ป่วย ผู้ป่วยต้องเข้าใจสังคมด้วย
อย่างที่ไปล่าสุด มีการสอนว่า คุณต้องให้พื้นที่กับคนอื่นบ้าง คุณต้องเว้นที่ว่างให้คนอื่นบ้าง ซึ่งแบบ นี่แหละ มันอาจจะเป็นหัวใจก็ได้ เราทุกคนต้องการพื้นที่ระหว่างกัน ใช่ ในโลกแห่งอุดมคติ เราก็อยากอยู่กับแม่ พัวพันกันตลอดเวลา แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงคือค่ายาแพงมาก เราก็ต้องทำงานไง คือคุณต้องมีชีวิตเป็นของตัวเองด้วยให้ได้
The MATTER : แม่มีโอกาสที่จะหายไหม
ทราย : ไม่หายอะ ดีขึ้น ชะลอ แต่มันไม่หาย เหมือนถ้าคุณนิ้วขาดแล้วคุณก็ไม่งอกแล้ว แต่คุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับนิ้วที่เหลือให้ได้ อันนี้สมองส่วนที่มันเสื่อม ก็จะเสื่อมไป คุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับส่วนที่เหลือให้ได้ โดยไม่ลากมันลงไปด้วย ซึ่งอันนี้เราทำแทนแม่ไม่ได้ แม่ต้องทำเอง
เป็นความเครียดอย่างนึง ที่เราบอกแม่ก่อนที่แม่จะไปเข้าโรงพยาบาลว่า แม่ไม่ได้ป่วยอยู่คนเดียวบนโลก มีคนอีกเยอะนะที่ป่วยเหมือนกัน เขาก็จะแบบ ไม่! พระเจ้าลงโทษเขา ชีวิตเขาเป็นอยู่คนเดียว กินยาแล้วแบบ 1 2 3 หายสิ! คือมันเป็นไปไม่ได้แม่
หมอบอกว่าจริงๆ แล้วผู้ป่วยควรจะต้องไปเห็นผู้ป่วยคนอื่นด้วย เพราะส่วนใหญ่จะโดนสปอยล์จากบ้านมาหมดแหละ แล้วก็รับไม่ได้ที่ตัวเองจะต้องมาป่วย กลายเป็นว่าคนที่รับได้คือเรา คือลูก แต่คนที่เขารับไม่ได้คือตัวคนป่วยเอง ซึ่งเราทำแทนเขาไม่ได้ ความเข้าใจตรงนี้ เขาต้องทำด้วยตัวเอง
The MATTER : คิดยังไงกับการที่ทุกวันนี้ หลายคนในสังคมต้องเผชิญหน้ากับโรคซึมเศร้า
ทราย : ด้วยความที่ว่าซึมเศร้ามันแตกออกไปเยอะมาก บางคนเป็นแล้วหายได้ด้วยตัวเอง บางคนเป็นแล้วก็ยืดเยื้อ พอมันมีความรู้เยอะขึ้นว่ามันเป็นจากอะไรได้บ้าง บางคนเขาแค่เลือกจะไม่ทน บางคนเขาก็เลือกที่จะหาหมอไง กับบางคนมันคือภาวะเครียด ด้วยข้อแม้บางอย่างในชีวิต
เราไม่ได้เป็นเพื่อเรียกร้องความสนใจ โรคนี้มันไม่สนุกนะ ของพวกนี้มันมีราคาที่ต้องจ่าย แล้วคุณก็ต้องจ่ายด้วยจิตใจคุณ ซึ่งอ่อนเปลี้ยเพลียแรงกลับมาบ้านทุกวัน ต้องกินยาสม่ำเสมอ ซึ่งมันไม่สนุก ส่วนใครที่คิดว่าตัวเองเป็น แนะนำให้ไปหาหมอ เพื่อที่หมอจะได้บอกว่า ไม่เป็น คุณจะได้สบายใจ หรือถ้าเป็น คุณจะได้รีบกินยาไง หมอเขาไม่ล้อหรอกนะ ถ้าไปแล้วไม่เป็น
แล้วด้วยความเครียดของทุกสิ่งทุกอย่าง เดี๋ยวนี้มันก็เป็นได้ง่ายขึ้น ด้วยความที่ชื่อโรคมันชื่อซึมเศร้า มันเลยแบบเราอ่อนแอ เราบอบบาง ซึ่งมันก็คือป่วยน่ะแหละ
The MATTER : เราควรดูแลหรืออยู่ร่วมกับคนที่ซึมเศร้ายังไง
ทราย : คนซึมเศร้าก็มีนิสัยเป็นของตัวเอง เหมือนคนที่ไม่ได้เป็นน่ะแหละ แล้วมันก็ไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่ใช่ให้กินน้ำอุ่นเยอะๆ ห่มผ้า แล้วมันจะดีขึ้น อย่างเราป่วย สิ่งที่เราต้องการมากๆ ช่วงดาวน์ๆ ก็คือหนังบู๊ หนังแอ็กชั่น หนังบางเรื่องเราไม่ดูเลย บางคนก็อาจจะขอออกไปเที่ยวต่างจังหวัด มันไม่มีอะไรเหมือนกันเลย
มันไม่มีคู่มือการใช้มา เพราะบางทีคนป่วยก็รบกับตัวเองอยู่ คนป่วยต้องรู้จักตัวเองมากกว่าใคร เพื่อที่จะได้แจ้งวิธีใช้ให้กับเขา กับคนรอบๆ ตัวว่า เออเธอ เรื่องนี้เราไม่ไหวจริงๆ ขอความช่วยเหลือ หรือไม่ต้องหวดตัวเองว่าจะกลับไปร่าเริงได้เหมือนเดิม
สิ่งที่คนไม่เป็น ที่อยู่ข้างๆ คนเป็น พอจะทำได้ ก็คือการพูดจาอย่างตรงไปตรงมากับเขา ว่าอันนี้ไม่โอเค บอกได้ บอกได้จริงๆ แต่ไม่ใช่บอกด้วยความล้อเลียน อย่างถ้าเธอมีเพื่อนเป็นหวัด เธอก็ไม่ควรชวนมันไปตากฝนปะวะ มันไม่ใช่แบบว่าแตะต้องไม่ได้เลย คนที่ป่วยแล้วยังไม่ยอมกินยา เราถือว่าไม่รับผิดชอบตัวเองนะ ถือว่าคุณจะทิ้งสังคม ดังนั้นสังคมก็จะทิ้งคุณเหมือนกัน
คุณไม่มีความพยาม ไม่ได้สิ เราต้องทำให้กลุ่มประชากรที่ออนยาของเรา มีภาพพจน์ที่ดีในสายตาสังคม ว่าเราทำงานได้ เราฟังก์ชั่น อาจจะมีนิสัยเฉพาะตัวนิดหน่อย ไม่ใช่ป่วยแล้วแตะต้องไม่ได้ เพราะจะทำให้คนที่ป่วยอื่นๆ ไม่กล้ามาบอกว่า เราป่วย มันยิ่งแย่ไง
The MATTER : เห็นว่าทรายกำลังจะออกหนังสือเพื่อสื่อสารเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า เรากำลังจะได้อ่านอะไรในนั้น
ทราย : เราไม่อยากให้รู้สึกว่าเป็นการระทมเพียงอย่างเดียวของการเป็นซึมเศร้า คือเราโดนถามมาเยอะมากว่า เราจะทำอะไรกับคนเป็นซึมเศร้าได้บ้าง หรือเราต้องไม่ทำอะไรกับคนเป็นซึมเศร้า ก็ทำได้ทุกอย่าง ถ้ากินยานะ แล้วที่ว่าทำไม่ได้นี่คือนายจะทำอะไรกะเขา
เราอยากเขียนเพื่อให้คนที่เป็นและคนที่ไม่เป็นด้วย ให้เขารู้สึกสบายๆ กับมันมากขึ้น ถ้าเราทำงานออฟฟิศเดียวกับคนนี้ เราควรจะทำยังไงดีกับเขา หรือคนที่ป่วยอยู่ จะมีชีวิตไปทำงานแบบเดิมได้ไหม เพราะเรารู้ว่าเวลามันดาวน์ มันเหมือนกับว่าจะไม่มีวันกลับมาทำอะไรได้เหมือนเดิม บางครั้ง แม้แต่เดินไปกินข้าวก็ไม่ได้ ชีวิตมันยากเหลือเกิน
ซึ่งจริงๆ มันได้ ไม่รู้จะบอกยังไงนอกจากว่ามันได้ เพียงแต่ว่าแข็งใจไปหาหมอก่อน ซึ่งเราก็จะเขียนบอกแหละว่า วิธีลดความเครียดในการไปหาหมอต่างๆ คืออะไร โดนมาหมดแล้วไง สำหรับคนป่วย การไปหาหมอมันไม่ใช่แค่ไปหาหมอ คนจะมองปะวะ จะเจอคนรู้จักปะวะ กินแล้วมันจะดีขึ้นเลยปะวะ แล้วถ้ามันไม่ดีขึ้น แล้วถ้าคนรู้ล่ะ รวมถึงคนที่อยู่ข้างๆ ด้วยว่า กินแล้วเมื่อไหร่มันจะดีขึ้นวะ แล้วเราบอกว่าเราไม่ชอบมันได้ไหม เป็นแฟนกันแล้วถ้าวันนึงมันป่วย เราเลิกกับมันได้ปะ
ก็ไม่ได้เขียนแบบฟูมฟายอะไรใดๆ เราแค่บอกว่าเป็นปกติได้ เพียงแต่ต้องกินยาเท่านั้นเอง