เทศกาลผ่านไป ใครยังนก วันนี้คุณอาจจะได้ไลน์ใครสักคน จัดการนัดแนะใครคนนั้นไปกินข้าวดูหนัง แหม่แบบนี้เรียกว่าเดทได้สิเนอะ
เดทแรก ฟังแล้วให้ความสารพัด ทั้งโรแมนติก ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว เราจะผ่านเดทแรกไปได้มั้ยนะ เธอหรือเขาจะชอบเรารึเปล่า เดทแรกเป็นเหมือนวันสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ใหม่ๆ จะได้ไปต่อมั้ย เดทแรกนี่แหละเป็นตัวตัดสินสำคัญ
การไปเดท คือการที่เราสร้างการเชื่อมต่อ (connection) กับคู่เดท อันหมายถึงคนที่มีความเป็นไปได้ที่จะกลายไปมีความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกและลงหลักปักฐานเป็นคนรักกันต่อไป Fredric Neuman แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วยการจัดการความวิตกกังวลและความกลัว พูดถึงการสร้างความเชื่อมต่อและความประทับใจในเดทแรกว่า อย่าพยายามที่จะ ‘มีเสน่ห์’ แค่พูดก็รู้สึกว่าทำแสนจะยากแล้ว การพยายามมีเสน่ห์ทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่เป็นธรรมชาติ สุดท้ายกลายเป็นทำอะไรล้นๆ เสร่อ แกบอกว่าลองทำตัวสบายๆ แล้วก็ ‘เป็นมิตร’ คือสนอกสนใจอีกฝ่ายอย่างพอเหมาะดู
การเดทก็ถือเป็นอีเวนต์ใหญ่ประจำชีวิต การเดทเป็นเรื่องของจังหวะ โอกาส และความรู้สึกของคนสองคนที่สามารถคอนเนกต์กันได้และต่างฝ่ายต่างเลือกที่จะพัฒนาความสัมพันธ์และทำความรู้จักกันต่อ ด้วยความที่การเดทเป็นเรื่องสำคัญ การมีองค์ความรู้บางอย่างมาเป็นแนวปฏิบัติ เป็นความเข้าใจ การรู้เคล็ดวิชาบางอย่างไปก่อนก็น่าจะช่วยให้เดทของเราดีขึ้นได้ – ได้ก้าวผ่านความนกกับเขาเสียที
เขินได้ไม่เป็นไร บอกให้รู้ว่าเรามีหัวใจ
‘เขิน’ คงเป็นอาการแรกเมื่อเราคิดถึง และเดินออกจากบ้านเพื่อไปเดท ยิ่งเจอหน้าสบตาคนที่แสนจะชอบแล้วละก็ เรียกได้ว่าหน้าแดง ปากสั่น ท้องไส้ปั่นป่วนเหมือนเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์ เราอาจรู้สึกว่า ต้องไม่เขินซิเฟ่ย ต้องกัดฟันกำจัดความเขินออกไปจะได้รับมือกับเดทนี้ให้ดีได้ แต่งานศึกษาบอกว่า การเขินถือ ‘ความตื่นเต้น’ แบบหนึ่ง เจ้าความตื่นเต้นนี้ถือเป็นแรงกระตุ้นเชิงบวก เปลี่ยนความตื่นเต้นเป็นความมั่นใจและเป็นความสนอกสนใจ
มีงานศึกษาในปี 2012 บอกว่าการเขินอาย กลายเป็นการแสดงออกที่ส่งผลเชิงบวก คือการแสดงออกทางอารมณ์ดีกว่าการไม่แสดงออกใดๆ การที่อีกฝ่ายรับรู้ความรู้สึกของเราได้ อีกฝ่ายมีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่า เออ ไอ้นี่ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ส่งผลเพิ่มความไว้ใจและความชื่นชอบในตัวของคนที่เขิน เอาจริงถ้าเรารับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเขิน – อย่างพองาม เราก็รู้สึกว่า เออ ดีอะ น่ารักเนอะ แต่เขินแล้วก็ช่วยมีสติแล้วทำอย่างพอดี คุยให้รู้เรื่องรู้ราวด้วย ไม่งั้นจากน่ารักอาจกลายเป็นน่ารำคาญ
สบตาพอหอมปากหอมคอ
ดวงตาเป็นหนึ่งในช่องทางในการแสดงออกทางความรู้สึกของมนุษย์
การสบและหลบตาจึงเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะในการสื่อสารเชื่อมต่อกับผู้คน แน่นอนว่าการสบตาเป็นสิ่งจำเป็นในการสนทนา แต่มีงานศึกษาพบว่าการสบตาที่มากเกินไปนำไปสู่ความรู้สึกคุกคามได้ – แน่สิ นึกสภาพใครมานั่งจ้อง เราต้องรู้สึกว่าไอ้นี่จะมาอะไรกับเรารึเปล่า ในทางกลับการการไม่สบตาเลยก็น่าจะเป็นการสื่อสารที่ไม่ครบถ้วน มีงานที่บอกว่าบางครั้งเราหลบตาเพราะสมองของเรากำลังประมวลหรือใช้ความคิดอยู่ ดังนั้นการสบและหลบตาอย่างพอเหมาะพอดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างบรรยากาศการเดทที่อบอุ่นน่ารัก
สำหรับคนที่บอกว่า โอ้ย พอเหมาะคือแค่ไหน บางคนมองวินาทีเดียวก็ไม่ไหวแล้ว บางคนห้านาทีก็จ้องได้ไม่มีปัญหา The Wall Street Journal บอกว่า การสบตาที่เหมาะสมอยู่ที่ 7-10 วินาทีต่อครั้ง สบตาแล้วก็ถอนสายตาออก มองไปรอบๆ ตรงนี้จะแอบหว่านเสน่ห์สักนิดหน่อยก็ได้
สังเกตและลองลอกเลียนท่าทาง
เวลาที่เราใช้เวลากับบางคนมากๆ เราเองมีแนวโน้มที่จะทำท่าทางเหมือนคนคนนั้นโดยไม่ตั้งใจ การลอกเลียน (mimic) ท่าทางนี้เป็นพฤติกรรมระหว่างบุคคลรูปแบบหนึ่ง เป็นการส่งสัญญาณถึงความสนิทสนม ความชอบพอต่อกัน
งานศึกษาจำนวนหนึ่งจึงพบว่าคนเรามีแนวโน้มที่จะชอบพออีกฝ่ายเมื่ออีกฝ่ายทำท่าทางเหมือนเรา ด้านหนึ่งการลอกเลียนอีกฝ่ายเกิดเมื่อฝ่ายหนึ่งส่งอิทธิพลหรือดึงดูดใจอีกฝ่าย แต่การลอกเลียนนี้ถือเป็นการกระทำที่ต้องพอดีและเป็นธรรมชาติอีกเหมือนกัน บางครั้งเราอาจจะต้องสังเกตท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่าย ก่อนจะค่อยๆ ทำสิ่งนั้นตามอย่างนุ่มนวล เช่น ถ้าอีกฝ่ายแตะแก้วน้ำ เท้าคาง ไขว่ห้าง การที่เราสังเกตแล้วค่อยๆ ทำท่าทางเหล่านั้นตามถือเป็นการส่งสัญญาณลับบางอย่างให้อีกฝ่ายรับรู้ความรู้สึกได้ – และอีกครั้ง ถ้าทำเยอะและไม่เนียน จากน่ารักจะกลายเป็นน่ากลัว
สุ่มคำถาม เลี่ยงเรื่องน่าเบื่อๆ
การไปเดทคือการมองหาจุดเชื่อมต่อระหว่างเรากับอีกฝ่าย ดังนั้น กฎแรกที่สุดคือการให้ความสนใจในตัวอีกฝ่าย พูดเรื่องตัวเองในลักษณะของการแลกเปลี่ยนข้อมูล ไม่ใช่พูดแต่เรื่องของตัวเอง โยนคำถามที่ทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น หลายคำแนะนำบอกให้ลดคำถามพื้นๆ น่าเบื่อๆ แล้วนำไปสู่คำถามที่พาเราเข้าไปสู่ตัวตนหรือปลุกเร้าความรู้สึกพิเศษขึ้นมา
จากคำถามแบบที่ว่ามีพี่น้องกี่คน ทำงานอะไร อาจจะนำไปสู่คำถามที่ลึกซึ้งและเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดถึงความรู้สึกบางอย่าง ชวนคุยเรื่องสิ่งที่ชอบ สถานที่พิเศษ การเดินทาง ความกลัว ความรัก ความทรงจำ ในที่สุดถ้าอีกฝ่ายเป็นคนที่ใช่ เราก็จะพบจุดเชื่อมโยงของกันและกัน ก่อนที่จะนำไปสู่การพัฒนาความรู้สึกให้ลึกซึ้งขึ้นไปได้
แลกเปลี่ยนความลับ
ในการเดทมีมนต์วิเศษที่เรียกว่าการ ‘เชื่อมต่อกันอย่างฉับพลัน’ (instant connection) เคยมั้ยที่เรารู้จักกับใครสักคนแล้วกลับรู้สึกเชื่อมโยงอย่างทันที รู้สึกเหมือนว่าเราใกล้ชิดรู้จักคนๆ นี้อย่างลึกซึ้งแม้ว่าบางครั้งจะใช้เวลาด้วยกันเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง นี่แหละคือการเชื่อมต่อกันโดยทันที และนักวิทยาศาสตร์บอกว่าบางครั้งคนที่เราคลิกได้อย่างทันทีนี้ – ความลึกซึ้งของความรู้สึก อาจจะมากกว่าความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนาน สรุปว่า ความสัมพันธ์ บางครั้งเวลาก็ไม่ใช่ปัจจัยในการกำหนดความลึกแต่อย่างใด
หัวใจของการเชื่อมต่อกันได้ในทันทีอยู่ที่การแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนตัวไปจนถึงความรู้สึกพิเศษๆ บางอย่างต่อกัน ตรงนี้เป็นวิธีการที่มนุษย์สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน เป็นเหมือนการให้ชิ้นส่วนสำคัญบางส่วนของตัวตนของเรา แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
ถกอย่างออกรสออกชาติ
ตรงนี้ในแต่ละสำนักเริ่มที่จะให้ความเห็นไม่ตรงกัน บางผู้เชี่ยวชาญบอกว่าในการเดทครั้งแรก เราอย่าเพิ่งออกตัวแรง จุดไฟในบทสนทนาให้ร้อนฉ่าด้วยการเริ่มชวนถกเถียงเรื่องต่างๆ เพราะจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่มั่นใจ อีกด้านบอกว่า อย่าทำให้การเดทมีแต่เรื่องน่าเบื่อจืดชืดเลย ลองชวนคู่สนทนาถกเถียงบางเรื่อง (ที่ก็ เอ้อ ไม่ใช่ว่าจะสุดโต่งเกินไป) ก็จะทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวาและเป็นโอกาสที่จะดูท่าทีและทัศนคติของอีกฝ่ายไปในตัว
ถ้าเรามองว่าในระยะยาว สุดท้ายการเถียงกันย่อมต้องอยู่ในสมการความสัมพันธ์ การอั้นประเด็นจึงอาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นเท่าไหร่ และการรักษาบรรยากาศให้นิ่งอาจนำไปสู่ความชืดชาก็ได้ ลองชวนถกเถียงในบางเรื่องที่เชื่อมโยงกับบางแง่ในชีวิต เช่นทัศนคติต่อเรื่องต่างๆ รอบตัว เท่าที่คิดว่าไม่เกินเรื่องเกินราวมากไป
พูดถึงแฟนเก่าบ้างดีไหม?
คนเราเคยมีอดีตทั้งนั้น เดทกับคนใหม่ บางทีคนเก่า ความกลัวไปจนถึงความทรงจำเก่าๆ อาจจะยังอยู่ในใจ บางคนบอกว่าเราไม่น่าจะพูดถึงคนรักเก่าจะดีกว่า เพราะมันจบไปแล้วไง เรากำลังจะก้าวไปสู่ดินแดนของความสัมพันธ์ใหม่ๆ
ในทางกลับกัน Susan Krauss Whitbourne จาก University of Massachusetts บอกว่าการพูดถึงคนรักเก่าในเดทแรกไม่ควรจะเป็นเรื่องต้องห้ามขนาดนั้น โดยเฉพาะถ้าเดทแรกนั้นอาจนำไปสู่เดทๆ อื่น ข้อคิดเห็นแรกเลยคือ เธอบอกว่าเราทุกคนต่างมีอดีตทั้งนั้น และการเก็บอดีตไว้มันเหมือนการที่เรามีความลับหรือโกหกปิดบังกันตั้งแต่แรก เธอบอกว่าถ้าเรากลัวว่าการพูดถึงคนรักเก่าแล้วคู่เดทเราจะตาร้อนด้วยความอิจฉาแต่แรก ก็เป็นสัญญาณว่าคนๆ นี้อาจยังไม่ใช่คนที่ใช่ก็ได้
แน่นอนว่าในทางกลับกัน ถ้ามีการยกเรื่องแฟนเก่าขึ้นมาเราก็จะอ่านทางลมได้ เช่น ถ้าคู่เดทเราเอาแต่พูดเรื่องแฟนเก่า ก็แปลว่าเขาหรือเธอยังไม่พร้อมที่จะไปต่อละมั้ง ถ้าอีกฝ่ายยังมาเริ่มความสัมพันธ์ด้วยแว่นตาของคนรักเก่า ก็ถือเป็นโอกาสที่เราจะเข้าใจสถานการณ์และนำไปสู่ความระแวงระวังในการลงทุนความรู้สึกต่อไป นอกจากนี้ การที่คู่เดทเราพูดถึงแฟนเก่าอย่างไร ก็มีแนวโน้มว่าต่อไปเขาจะทำกับเราแบบไหนต่อด้วย
อ้างอิงข้อมูลจาก