ข่าวเรื่องปัญหาการรับน้องที่รุนแรง ได้ย้อนกลับมาในสังคมไทยเรากันอีกแล้ว
อย่างล่าสุด มีกรณีที่นักศึกษาชายชั้นปีที่ 1 ถูกนักศึกษารุ่นพี่ทำร้ายร่างกาย ด้วยการใช้ก้านกล้วยฟาดที่หลังหลายครั้ง จนกลายเป็นแผลบวมแดงตามที่หลายๆ คนน่าจะได้เห็นในข่าว
คำถามที่ตามมาก็คือ ทำไมกิจกรรมลักษณะนี้ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องทุกปี? เราสามารถเรียนรู้จากบทเรียนในอดีตได้แค่ไหน? เพราะเอาเข้าจริงถ้าลองนึกย้อนเหตุการณ์ดูแล้ว ยังมีหลายครั้งที่การรับน้องได้บานปลายถึงขั้นมีคนเสียชีวิต
เพื่อการหาคำตอบที่น่าจะตรงกับโจทย์ที่เราตั้งขึ้นมากที่สุด The MATTER เลยเดินทางไปถึงห้องพักคณบดี ชวน อ.อนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมพูดคุยและไขข้อข้องใจกันตั้งแต่ปัจจัย และสาเหตุของการรับน้องแบบไทย ๆ รวมถึงทางออกที่ยั่งยืน ผ่านมุมมองของนักสังคมวิทยา
เราสามารถมองการรับน้องผ่านทฤษฎีทางสังคมวิทยาได้ยังไงบ้าง
มีการศึกษาพวกพิธีกรรมที่สามารถเทียบเคียงได้กับประเพณีการรับน้องเรียกว่า พิธีกรรมเปลี่ยนผ่าน พิธีกรรมเปลี่ยนผ่านมีอยู่ 3 ช่วง ช่วงแยกตัว ช่วงเปลี่ยนผ่านหรือช่วงก้ำกึ่ง และช่วงผนวกรวม ช่วงที่โดดเด่นที่สุด คือ ช่วงเปลี่ยนผ่านหรือช่วงก้ำกึ่ง (liminality) ช่วงนี้ทุกคนจะไม่มีความแตกต่าง ไม่ว่าก่อนหน้านั้นคุณจะร่ำรวยยังไง มาจากครอบครัวแบบไหน เมื่อเข้ามาสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านทุกคนจะเสมอกัน เช่นเดียวกับเด็กที่ไม่ว่าก่อนหน้านั้นจะมาจากโรงเรียนไหน เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เมื่ออยู่ในคณะนี้ มหาวิทยาลัยนี้แล้วทุกคนเสมอกันหมด
ก็ดูจะเป็นข้อดีในการละลายพฤติกรรมเด็กๆ นะ
สิ่งที่ซ่อนอยู่ และงานวิจัยบางส่วนไม่เคยพูดถึงก็คือ การยอมจำนนโดยดุษฎี หรือการยอมรับความเจ็บปวดโดยไม่ตอบโต้ ปกติเรามักจะไม่ยอมให้ใครมาลงโทษ หรือทำให้เจ็บปวด แต่ในพิธีกรรมเปลี่ยนผ่านช่วงสภาวะก้ำกึ่งเราจะยอมรับมัน ขณะเดียวกันนัยของการยอมรับนั้นก็เป็นการยอมจำนนโดยดุษฎี คือ เป็น total obedience แปลว่า ทุกคนเสมอกันก็จริง แต่ต้องฟังคำสั่งของผู้มีอำนาจสูงสุดเพียงแค่คนเดียว
แล้วการยอมจำนนแบบนี้ส่งผลอะไรกับตัวผู้ถูกกระทำ
มันก็บ่มเพาะให้คุณยอมรับการใช้อำนาจโดยไม่ปริปาก เพราะในช่วงนั้นไม่ว่าเขาจะด่าทอ หรือลงโทษแบบไหนคุณก็ต้องยอมแต่โดยดี มันฝึกให้เราคุ้นเคยกับการยอมรับอำนาจเบ็ดเสร็จโดยไม่ตั้งคำถามอะไร ไม่ต้องสนใจว่าถูก ผิด หรือสมเหตุสมผลมั้ย พอเรียนจบออกไปสู่สังคมภายนอก ลักษณะแบบนี้จึงไม่เกื้อกูลให้เกิดการสร้างสังคมประชาธิปไตย สังคมที่ทุกคนเสมอหน้าเท่ากัน ถ้าจะฟังอะไรต้องมีการอภิปรายถกเถียงกัน ไม่ใช่ว่าคนนี้มีอำนาจแล้วบอกว่าต้องทำ อันนี้ถูก เถียงไม่ได้ ไม่ใช่ เราไม่ได้ต้องการสังคมแบบนั้น
ปัจจัยอะไรที่ทำให้การรับน้องยังมีอยู่
ที่น่าสนใจ คือ คณะหรือมหาวิทยาลัยที่ยังหลงเหลือความเข้มข้นในการรับน้องมักจะเกิดขึ้นในคณะที่มีลักษณะเป็นวิชาชีพ มีความยึดโยงกับหน่วยงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหน่วยราชการเป็นหลัก สิ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็น คือ เราคงไม่สามารถมองการรับน้องที่เกิดขึ้นเฉพาะในบริบทของมหาวิทยาลัยได้อีกต่อไป แต่มันยังโยงกับสังคมในวงกว้างด้วย
นอกจากกระชับความสมัครสมานสามัคคีในหมู่คณะแล้ว การเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีรับน้องยังเป็นช่องทางในการไต่เต้าความสำเร็จในอาชีพการงานด้วย ฉะนั้นก็ยากที่จะปฏิเสธ ถ้าไม่ยอมเข้าเป็นพวกเดียวกับพวกเขา ต่อไปในอนาคตเราจะก้าวหน้าได้อย่างไร ถ้าจะเป็นขบถเราก็ไปสู่เส้นทางนี้ไม่ได้ มันบีบให้เด็กต้องเลือกโดยปริยาย
การรับน้องช่วยกระชับความสัมพันธ์ในหมู่คณะจริงไหม
ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง’ พูดในทำนองว่า สงครามทำให้เกิดมิตรภาพ-ความเห็นอกเห็นใจกันในหมู่ทหาร แต่ประเด็นคือ บางทีเราก็ไม่ต้องการราคาที่แพงขนาดสงครามเพื่อทำให้คนมารักกัน
มนุษย์สามารถเห็นอกเห็นใจกันได้ รักกันได้ เป็นสหายได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปรบกับใคร มันมีเงื่อนไขในทางบวกที่ทำให้คนรักกันได้ แต่เมื่อถูกคิดบนเงื่อนไขทางลบ ทั้งความเครียด หรือถูกลงโทษอะไรด้วยกันก็เลยก่อให้เกิดความเป็นกลุ่มก้อน แต่ทำไมเราไม่คิดจากเงื่อนไขในทางบวกบ้าง
หรือเอาเข้าจริงแล้วก็ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นจะต้องรักกันมากก็ได้ ทำไมจะต้องรักกันแบบดูดดื่มไม่เห็นจำเป็น เพราะถึงที่สุดแล้วทุกคนต้องแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเองอยู่ดี
ถ้าไม่มีความรุนแรง การรับน้องนับเป็น orientation อย่างหนึ่งได้รึเปล่า
orientation สามารถทำได้ด้วยวิธีการอื่นๆ อย่างผมเคยไปเรียนที่อเมริกามา เขาไม่มีการรับน้องระดับมหาวิทยาลัยหรือคณะ แต่จะเป็นการตั้งกลุ่มสมาคม คล้ายๆ ว่าเป็นคลับของคนที่มีความยึดโยงอะไรบางอย่างด้วยกัน สร้างระบบคุณค่าร่วมกัน ก็จะมีกิจกรรมอะไรของเขาไป แต่มันจะไม่เกี่ยวกับคณะ ไม่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย รับน้องแบบนั้นไม่มี
อีกอย่าง คือ ผมว่ามันโยงเข้ากับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนของบ้านเราด้วย ถ้าไปดูที่อเมริกาเขาไม่มีการบริหารในลักษณะที่เป็นคณะใหญ่โตแบบเรา เด็กไม่ได้ผูกตัวเองว่าอยู่กับคณะไหน แต่ผูกว่าตัวเองอยู่กับเมเจอร์และไมเนอร์ตัวไหน ไม่มีความเป็นคณะหรือสถาบันในตัวเด็ก ด้วยลักษณะนี้เลยทำให้ประเพณีการรับน้องเกิดขึ้นไม่ได้ด้วย เพราะการรับน้องจะเกิดขึ้นได้ต้องมีคณะ มีความเป็นสถาบัน เมื่อคุณไม่มีความเป็นสถาบันก็รับน้องไม่ได้
อาจารย์คิดยังไงกับคำพูดที่ว่า วิธีการรับน้องจำเป็นกับสังคมมหาวิทยาลัย เพราะทุกคนมาจากหลากหลายสังคม
ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘Doctor Zhivago’ ของบอริส ปาสเตอร์แน็ก มีตอนหนึ่งตัวเอก คือ ดร.ชิวาโก พูดว่า “มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากกว่าการบังคับให้ต้องมารักกัน” อย่างที่ผมบอก อยู่ด้วยกันแค่ไม่เกลียดกันก็พอ ทำไมต้องบังคับให้ทุกคนเป็นเพื่อนกัน ถ้ามีอะไรคล้ายคลึงกันเขาก็คงจะไปอยู่ด้วยกันเอง
แต่สิ่งที่เราทำตอนนี้ คือ จับเอาคนร้อยพ่อพันแม่ที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยมารวมกัน ในระยะสั้นอาจจะได้ผล แต่ระยะยาวมันก็ต้องแตกออกไปเป็นกลุ่ม จะไม่ดีกว่าเหรอถ้าปล่อยให้เขาแสวงหาสมาคมกันเอง ทำไมต้องไปบังคับให้คนที่มีรสนิยมต่างกันมารักกัน สุดท้ายระยะยาวจะเป็นผลลบมากกว่า
เห็นว่าตอนเรียนปริญญาตรีอาจารย์เคยเป็นพี่ว้ากด้วย ตอนนั้นช่วยให้สนิทกับเพื่อนๆ จริงไหม
ตอนผมจบมาใหม่ๆ ผมก็ยังกลับไปคณะไปดูแลน้องอะไรอยู่ แต่ถึงตอนนี้เรามองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่า มันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และมันก็มีทางเลือกอื่นอีกหลายทางที่เราจะสามารถมีประสบการณ์เช่นนั้นได้ หรือยังมีทางเลือกอื่นอีกหลายทางที่เรายังจะคบหาสมาคมกับเพื่อนๆ ได้ ทำไมเราถึงยังคบกับเพื่อนมัธยมได้โดยที่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ผ่านการรับน้องอะไร หรือเพื่อนมหาวิทยาลัยบางทีเจอหน้าน้อยกว่าด้วยซ้ำไป เพื่อนที่สนิทใจรู้ใจกันจริงๆ ก็ไม่ใช่เพื่อนมหาวิทยาลัยอีก
คนที่จะรู้ใจจริงๆ มันสร้างไม่ได้จากเงื่อนไขของคณะหรือความเป็นสถาบันแบบนั้นหรอก หรือถ้ามันเกิดขึ้นมันก็เพราะมันสร้างข้อจำกัดให้คุณเจอคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นไง คุณถึงรู้สึกว่าเป็นเพื่อนร่วมคณะ ก็คุณมีตัวเลือกแค่นี้ แต่พอจบมาโลกคุณกว้างขึ้น ตัวเลือกเยอะขึ้น ก็จะพบว่า คนที่จะสนิทสนมด้วยอาจจะไม่ใช่เพื่อนมหาวิทยาลัยแบบนั้นอีกต่อไป
อาจารย์หมายความว่า การว้ากไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนได้อย่างนั้นหรอ
ทั้งแคบและก็ไม่ยั่งยืนด้วย ความชอบธรรมที่จะดำรงอยู่ก็เบาบางมาก ผมคิดว่าสิ่งที่ควรจะเป็น คือ ให้อิสระในการเลือกของคนที่เข้ามาใหม่ อยากจะไปสมาคม ชมรม หรือสังสรรค์กับใครก็เป็นทางเลือกของเขา แต่อย่าไปบังคับ ถ้าให้เลือกก็ต้องเลือกแบบอิสระจริงๆ ไม่ใช่ว่าถ้าไม่เลือกจะได้หรือเสียอะไร คุณยังได้สิทธิประโยชน์เต็มเปี่ยมเหมือนกับทุกคนที่เข้ามาในที่นี้ต้องเป็นอย่างนั้น ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมที่เสริม
พูดตรงๆ มหาวิทยาลัยก็คงไม่ใช่การเข้ามาเรียนอย่างเดียว มันก็ต้องการทักษะทางสังคมด้วย และทักษะทางสังคมจะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากการเป็นกลุ่มก้อน แต่ถ้าจะเป็นอย่างนั้นขอได้ไหมว่า ให้มันเกิดขึ้นจากความสมัครใจ ถ้าใครไม่เลือกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบทางลบ ทำอะไรก็ทำกันไป และคิดให้มันไกลกว่าการสร้างสัมพันธ์แบบพี่น้อง ไกลกว่าสถาบัน คิดถึงเหตุผลที่มันใหญ่กว่านั้น
ปลายทางของการทำให้รักกันคืออะไร เพราะสุดท้ายเรียนจบก็ต้องแยกย้ายแบบนั้นหรือเปล่า
ใช่ แต่ประเด็นก็คือ จะให้คนรักกันมันไม่จำเป็นต้องเกิดจากเงื่อนไขในทางลบ คุณสร้างเงื่อนไขในทางบวกให้คนรักกันก็ได้ กับอีกอย่างคือ มันจะต้องรักกันสักขนาดไหน แค่อยู่ด้วยกันธรรมดาแค่นั้นก็ได้ใช่มั้ย ไม่เห็นต้องลงทุนลงแรงอะไร สุดท้ายก็ต้องแยกย้ายไปทำหน้าที่อะไรกันอยู่ดี หรือรักกันบนเงื่อนไขอื่นได้มั้ยที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้ความเป็นคณะ ชั้นปีเดียวกัน อาจจะรักกันบนเงื่อนไขที่มีจุดยืนทางการเมืองเดียวกัน อยากจะเห็นโลกที่สวยเหมือนกัน แบบนั้นได้มั้ย ไม่ต้องอยู่บนเงื่อนไขแบบเก่าได้มั้ย
อาจารย์คิดว่ารับน้องจะยังคงอยู่ไหมถ้ายังยึดโยงกับ hierarchy แบบสถาบันหรือระบบราชการ
ผมคิดว่าจะยังคงอยู่ ถ้ายังสร้างสำนึกความเป็นสถาบัน และสำนึกแบบนั้นไปยึดโยงกับอาชีพการงานในอนาคต เรามีระบบราชการที่เทอะทะแต่ไร้ประสิทธิภาพ ตรงนี้มันหนุนเข้าไปเพราะในแง่หนึ่งความก้าวหน้าในอาชีพการงานไม่ผูกกับความสามารถเสมอไป จำเป็นจะต้องใช้ตัวนี้เข้ามาช่วยเสริม ทำให้ส่วนที่ยังคงอยู่ไร้ประสิทธิภาพเข้าไปอีก
เพราะทุกคนก็ไม่ได้คิดที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร ถ้าเราทำให้ระบบราชการเล็กและหดแคบลง ไม่เป็นรัฐราชการ โดยปริยายก็จะส่งผลให้ความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันนี้ หรืออยู่ภายใต้ระบบโซตัสที่การรับน้องเป็นหนึ่งในฟันเฟืองของระบบจะค่อยๆ ถดถอยไปเอง พอเป็นสถาบันเช่นนี้มันไม่ได้พิสูจน์กันด้วยความสามารถบุคคลแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นพวกไหน เป็นเด็กใคร ไม่เป็นประโยชน์กับสังคมโดยรวม เราจึงไม่ประสงค์ที่จะให้สิ่งเหล่านี้อยู่ต่อไป
ในกรณีที่บางมหาวิทยาลัยไม่มีรับน้องโซตัส แต่พอจบไปเราก็ยังยึดระบบคุณค่าความเป็นสถาบันอยู่ดี อาจารย์จะอธิบายตรงนี้ได้ยังไงบ้าง
ต้องไปถึงการปฏิรูประบบราชการ หนึ่ง คือ ลดขนาดลง สองทำยังไงให้มีธรรมาภิบาลภายในสถาบันมากขึ้น ลดการใช้เส้นสายสมัครพรรคพวก ใช้ความสามารถของบุคคลเป็นเกณฑ์ในการกำหนดว่า ใครควรจะได้อยู่ตรงไหน ถ้าทำได้มันจะไปเปลี่ยนตัวของสถาบันกับเรื่องความจำเป็นในการรับน้อง เงื่อนไขตรงนี้ก็จะลดลงโดยปริยาย
พอพูดแบบนี้แล้วก็จะโยงไปถึงสังคมโดยรวมอีกว่า เราเป็นสังคมแบบอุปถัมภ์ มีการเล่นเส้นสายอยู่ตลอดเวลา มันจึงค่อนข้างยากที่จะให้สถาบันการศึกษาเปลี่ยนโดยตัวของมันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการศึกษาที่มีความยึดโยงแบบนี้ ถ้าสังคมโดยรวมยังไม่เปลี่ยน อาจจะต้องทำไปพร้อม ๆ กัน
แล้วเหตุผลหลักๆ ที่แก้ไขไม่ได้สักทีคืออะไร
เป็นเพราะเหตุผลทางสังคม เป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับความเป็นสถาบันสูง
ถ้าใช้มุมมองสังคมวิทยาอธิบาย อะไรที่ทำให้ยังฝังรากลึกขนาดนี้
‘สังคมประเพณี’ ชีวิตของคนขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ทางสังคมมากกว่าความสามารถส่วนบุคคล คุณจะประสบความสำเร็จมั้ย เพื่อนจะให้ความสำคัญมั้ย ใครจะให้ความเคารพนับถือคุณหรือไม่อย่างไร อะไรแบบนี้มันไม่ได้ผูกกับความสามารถเฉพาะตัวเท่าๆ กับการที่คุณมีความสัมพันธ์ทางสังคมแบบนั้น มันก็เลยทำให้ความเป็นสถาบันโดดเด่นขึ้นมา
อันนี้ไม่ใช่ว่าผมอธิบายแบบปัจเจก-เสรีนิยมสุดโต่งนะ แต่ผมคิดว่า อย่าปิดโอกาสการแสดงความสามารถของคนด้วยเงื่อนไขของการเป็นพรรคพวกกลุ่มก้อนเดียวกัน เพราะสังคมแบบนี้ไม่น่าจะเป็นประโยชน์กับใครในระยะยาว
อาจารย์คิดว่า ว้าก กับ เผด็จการ เป็นเรื่องเดียวกันไหม
เป็นเรื่องเดียวกันเพราะคือการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จ ถือเป็นการบ่มเพาะอยู่กลายๆ ให้เราคุ้นเคยกับการใช้อำนาจในลักษณะแบบนี้ ถ้าไม่ทันระมัดระวังมันก็จะซึมซับเข้าไปในตัวของคุณแหละ ทั้งเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมัน หรือเห็นดีเห็นงามกับวิธีการอย่างนี้ ไม่ต้องประหลาดใจถ้าสังคมเราจะมีการเรียกหา สฤษดิ์ ธนะรัชต์ อยู่บ่อยๆ มันไม่มีหลักประกันอะไรหรอกว่า คนๆ หนึ่งจะคิดถูกต้องอยู่ตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้
แล้วทางออกอย่างยั่งยืนจากเรื่องนี้คืออะไร
สังคมไทยควรจะเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ยอมรับความแตกต่าง ต้องให้คนที่แตกต่างอยู่ด้วยกันได้อย่างสมัครสมาน ทำไมไม่เริ่มต้นว่า ก็ปล่อยให้เขาหลากหลายไปตั้งแต่แรก ไม่ต้องหลอมให้เป็นเนื้อเดียว เพราะไอเดียการรับน้อง คือ การสลายความต่าง สลายภูเขาน้ำแข็งอะไรก็ว่าไป แทนที่จะคิดถึงสังคมที่เป็นเนื้อเดียว สมัครสมานสามัคคี ทำไมไม่คิดถึงสังคมที่ยอมให้คนที่แตกต่างอยู่ด้วยกัน ต่างก็อยู่กันไปไม่เห็นเป็นอะไร ไม่จำเป็นต้องสลายความแตกต่างตรงนั้นให้เหลือเนื้อเดียว อัตลักษณ์หนึ่งเดียว ไม่จำเป็น เพราะนัยหนึ่งมัน คือ การสร้างชุมชนอย่างหนึ่ง ชุมชนนี้ทุกคนเหมือนกัน มีสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวกัน
ทำไมเราถึงไม่จินตนาการสังคมอีกแบบหนึ่ง สังคมที่คนไม่ต้องเหมือนกันมาอยู่ด้วยกันได้ เคารพในความต่างซึ่งกันและกัน มนุษย์มีความต่างของมัน ปล่อยให้มีความเชื่อของเขาก็ปล่อยเขาไป
ไม่เฉพาะสังคมในมหาวิทยาลัย แต่ไปไกลถึงระดับชาติในภาพใหญ่ด้วย
ใช่ เพราะปัจจุบันสิ่งที่เป็นอันตรายสำหรับชาติไทย คือ สังคมที่ไม่มีความอดทนอดกลั้นกับความแตกต่าง โดยเฉพาะความแตกต่างทางการเมือง เราเห็นถึงการล่าแม่มด หรืออะไรหลายๆ อย่าง เพียงเพราะเขาเห็นต่างทางการเมือง เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราคิดว่าสถาบันการศึกษาจะเอื้ออำนวยการสร้างสังคมที่น่าอยู่กว่ามันก็ต้องไม่กระทำในสิ่งที่ไม่รับความแตกต่าง ควรจะเปิดพื้นที่ของความต่างตั้งแต่แรก นั่นคือจุดเริ่มต้น
หลังจากนั้นความแตกต่างทั้งหมดจะอยู่กันยังไงก็ให้เลือกกันไป เช่น กลุ่มนี้เชื่อแบบนี้ก็ให้อยู่กันไป โดยที่ไม่จำเป็นต้องบังคับให้เหลือแค่ช่องทางเดียวที่คนจะอยู่ด้วยกันได้ ไม่งั้นมันจะกลายเป็นเงื่อนไขให้กับสังคมเผด็จการ
สังคมเล่นพรรคเล่นพวก สังคมที่ความก้าวหน้าของบางคนขึ้นอยู่กับคุณเป็นคนของใคร ไม่ใช่เรื่องของความสามารถที่เขามี