เมื่อใครสักคนทำความผิด เรามักจะเผลอด่วนสรุปว่าเขาเป็นคนไม่ดี เพียงเพราะเราไม่ทราบที่มาที่ไปของการกระทำนั้น แต่กลับกัน เมื่อเป็นคนใกล้ชิดที่เราเห็นหรือรู้จักมาเป็นเวลานาน เราจะหาเหตุผลมารองรับการกระทำไม่ดีต่างๆ และมองว่าเขาก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร
การที่มนุษย์เติบโตมาพร้อมกับอคติ (bias) ไม่ใช่เรื่องที่แปลก หรือเรียกได้ว่าทุกคนล้วนมีอคติกันทั้งนั้น เพราะด้วยสภาพแวดล้อม ประสบการณ์ และการรับรู้ ทำให้เราทุกคนต่าง ‘ปักใจเชื่อ’ อะไรสักอย่าง หรือ ‘สร้างรูปแบบความจริง’ บางชุดขึ้นมา เพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจ เช่น ปักใจเชื่อเฉพาะสิ่งที่ตัวเองเคยได้ยินมา (confirmation bias) ปักใจเชื่อว่าใครๆ ก็คิดเหมือนกับตัวเอง (false consensus effect) หรือปักใจเชื่อว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าจะต้องเหมือนกันไปเสียทั้งหมด (stereotypical bias)
ซึ่งจริงๆ แล้วอคติที่ซ่อนอยู่ภายใต้การรับรู้ของมนุษย์สามารถแตกย่อยออกไปได้หลายร้อยประเภทเลย (ดูตัวอย่างอคติอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่) แต่คราวนี้เราจะมาพูดกันถึงอคติที่เกิดจากความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์ที่ไม่ซับซ้อนอะไรมากนัก อย่าง ‘ความรักหรือความชอบ’ มาดูกันว่าอคติประเภทนี้จะส่งผลยังไงต่อพฤติกรรมและความคิดของเราบ้าง และการรู้เท่าทันอคติประเภทนี้มีประโยชน์กับเรายังไง
คนที่ใช่ทำอะไรก็ดีไปหมด
เวลาคนรักหรือเพื่อนสนิทมาบ่น มาระบายให้ฟังว่าเขาเกลียดคนนั้น เบื่อหน้าคนนี้ หรือไปมีเรื่องกับใครมา ในวินาทีแรกที่เรารับฟังเรื่องเหล่านั้น เราเลือกจะเข้าข้างและซัพพอร์ตใครมากกว่ากัน …ก็ต้องเป็นคนรักหรือเพื่อนสนิทของเราใช่มั้ย และบางทีเราก็อาจจะเผลอผสมโรงไปด้วยว่า “เออจริง เธอไม่ผิด มันอะผิด”
เราเรียกอคติประเภทนี้ว่า Loving/Liking Tendency หรือ Liking Bias เป็นอคติที่ทำให้เราเกิดความเอนเอียง หรือเข้าข้างคนที่เรารักหรือสนิทมากกว่าคนอื่นๆ เพราะความรู้สึกผูกผันของเราที่มีต่อเขา ทำให้เส้นความเป็นจริงเลือนลางไป ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมาหรือทำอะไรสักอย่าง เราก็มักจะเห็นดีเห็นงาม และยากจะปฏิเสธ ซึ่งอคติประเภทนี้ดูจะมีประโยชน์ในความสัมพันธ์ เพราะทำให้คนทั้งสองสนับสนุนกัน เชื่อใจกัน และยอมรับซึ่งกันและกันมากขึ้น (แต่..ทุกคนกำลังรอคำว่าแต่ใช่มั้ย ไว้เดี๋ยวเราจะพูดกันในหัวข้อถัดไป)
ไม่เพียงแต่จะมีประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ อคติประเภทนี้ก็มักจะถูกนำไปใช้เพื่อ ‘ผลประโยชน์ทางธุรกิจ’ ในสมัยนี้อยู่บ่อยๆ ด้วย โดยจุดเริ่มต้นน่าจะมาจากกรณีของทัปเปอร์แวร์ (Tupperware) แบรนด์ผลิตภัณฑ์บรรจุอาหารที่ก่อตั้งในปี ค.ศ.1946 ซึ่งขณะนี้ก็ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่โด่งดังทั่วโลก หรือเรียกได้ว่าเป็นกล่องข้าวที่มีทุกครัว ซึ่งเดิมทีจะวางจำหน่ายที่ห้างสรรพสินค้าและในแคตตาล็อกเท่านั้น จนกระทั่ง เอิร์ล ทัปเปอร์ (Earl Tupper) ผู้ก่อตั้งแบรนด์นี้ ตัดสินใจจ้าง บราวนี่ ไวส์ (Brownie Wise) ให้มาเป็นผู้นำฝ่ายขาย
แล้วบราวนี่ ไวส์ มีส่วนสำคัญยังไงในการสร้างยอดขายให้กับทัปเปอร์แวร์? สำคัญมากเลยล่ะ เพราะตั้งแต่เธอเข้ามาอยู่ในฝ่ายขาย เธอได้ปรับเปลี่ยนประสบการณ์ซื้อของผู้บริโภคใหม่ ให้กลายเป็น ‘ปาร์ตี้ทัปเปอร์แวร์’ ที่สนุกสนานและดูกระฉับกระเฉงมากขึ้น แทนที่จะไปเคาะตามบ้านและท่องประโยคที่ถูกฝึกมาเหมือนฝ่ายขายคนอื่นๆ ไวส์ได้มีการจัดงานเลี้ยงเล็กๆ เพื่อเป็นการทดสอบให้เห็นถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์หรือภาชนะให้กับเหล่าแม่บ้าน และเมื่อพวกเขาได้เห็นว่ามันทำงานยังไง ด้วยท่าทีที่น่าสนใจ พวกเขาจะเกิดอคติจากความชอบ ตัดสินใจซื้ออย่างไม่ลังเล และมีแนวโน้มที่จะบอกต่อกันไปเรื่อยๆ อีกที
โดย โรเบิร์ต ชาลดินี (Robert B. Cialdini) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและการตลาด หรือผู้แต่งหนังสือเรื่อง The Psychology of Persuasion ได้ศึกษาและวิเคราะห์ตัวอย่างการใช้อคติจากความชอบของทัปเปอร์แวร์ และเรียกว่ากลยุทธ์นี้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะทำให้เกิดยอดขายมากกว่า 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวัน และเขาก็ได้ชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของความชอบ ความรัก ความหลง ที่มีแนวโน้มจะถูกใช้ในการตลาดยุคต่อๆ ไป
“ถ้าคุณชอบคนขาย
คุณจะอยากซื้อของที่เขาขาย”
– โรเบิร์ต ชาลดินี (Robert B. Cialdini)
เหมือนเวลาเดินดูของอะไรสักอย่างที่ไม่ได้อยากซื้อ แต่พอคนขายเดินออกมาพูดจาดีๆ ด้วย เราก็จะเกิดความใจอ่อน มองว่าเขาเป็นคนดี และอยากที่จะอุดหนุนสักชิ้นสองชิ้นเพื่อตอบแทน หรือถ้าเรามีไอดอลสักคนในดวงใจ แล้วเขาไปรับงานเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าไหน เราก็อยากจะไปอุดหนุนสินค้านั้น แม้ว่าเราจะไม่ได้ต้องการมาก่อนก็ตาม
แต่นอกเหนือจากคนรักหรือคนสนิท liking bias ยังเกิดขึ้นกับคนที่มีลักษณะบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกพึงพอใจและอยากจะเชื่อคนๆ นั้น เช่น
Similarity : คนที่พูดคุยด้วยแล้วเขามีทัศนคติหรือความชอบที่คล้ายคลึงกับเรา เช่น แต่งตัวคล้ายกัน ฟังเพลงคล้ายกัน มีประสบการณ์คล้ายกัน หรือแม้แต่มีบุคลิกท่าทางคล้ายกันกับเรา เพราะเราจะรู้สึกปลอดภัยและมองว่าเขาเป็นพวกเดียวกันกับเรา
Being Liked : มนุษย์มักจะรู้สึกดีเวลาเป็นที่ชื่นชอบ ถ้าใครพูดชื่นชมเราบ่อยๆ เราก็จะเกิดความเอนเอียงไปทางเขามากขึ้น เพราะการปฏิบัติตัวของเขาดูเป็นมิตรกับเรา
Physical Attractiveness : ผลวิจัยเผยว่า คนส่วนใหญ่มักจะเหมารวมว่าคนที่ดูดี สวย หล่อ เป็นคนที่เก่ง ฉลาด มีความสามารถ และน่าเชื่อถือ ทำให้เราเลือกที่จะชอบและเชื่อใจคนที่ดูดี จนเกิดเป็นที่มาของ Halo Effect หรือ ‘การบวนการคิดเชิงเทิดทูน’ ที่เราเข้าข้างคนที่ดูดีและให้โอกาสพวกเขามากกว่าคนอื่นๆ
Cooperation : เรามักจะชอบคนที่ให้ความร่วมมือกับเรา เช่น พนักงานขายที่แสดงให้เห็นว่าเขาอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา หรือกรณี ‘ตำรวจดีและตำรวจเลว’ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เอาไว้จับคนร้ายหรือเค้นเอาคำสารภาพผิดจากผู้ต้องสงสัย โดยจะให้ตำรวจคนหนึ่งทำตัวเป็นศัตรู และให้ตำรวจอีกคนหนึ่งพยายามสงบสติอารมณ์เขา และแสร้งทำเป็นมีท่าทีที่นุ่มนวลต่อผู้ต้องสงสัย ทำให้ผู้ต้องสงสัยเกิดความชื่นชอบในจิตใต้สำนึกของตำรวจฝ่ายดี และยอมให้ความร่วมมือ
ความรักทำให้คนตาบอด
แม้อคติประเภทนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ข้อเสียก็คือเราอาจมีแนวโน้มที่จะ ‘เพิกเฉย’ ต่อการกระทำผิดของคนรักด้วย อ้างอิงจาก ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) นักลงทุนชาวอเมริกา ที่ได้เสนอไว้ว่า liking bias นั้นทำให้เรามีแนวโน้มที่จะเกิดเงื่อนไข 3 ข้อต่อคนที่เรารักหรือชอบ ได้แก่
- เราจะเพิกเฉยต่อความผิดพลาดของเขา และยอมทำตามความปรารถนาของเขา
- เราจะเลือกสนับสนุนผู้คน ผลิตภัณฑ์ หรือการกระทำเพียงเพราะเรารักเขา
- เราจะยอมบิดเบือนข้อเท็จจริงบางอย่างเพื่อเอื้อต่อความรักนั้น
อย่างที่ได้กล่าวไปตอนต้นว่าทุกอคติล้วนแล้วแต่ทำให้เราเกิดความสบายใจ แต่ทุกอคติก็มีข้อเสียคือทำให้เรามองอะไรเพียงแค่ ‘ด้านเดียว’ เพราะอคติเกิดขึ้นจาก ‘ความผิดพลาด’ ในการรับรู้ของเรา และนี่ก็เป็นข้อเสียของ liking bias เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่คนรักของเรามีส่วนกระทำความผิด เราจะเผลอปกป้องเขาโดยไม่ลืมหูลืมตา หรือแม้จะรู้ดีแก่ใจ แต่ยากที่จะบอกเขาไปตรงๆ ว่าเป็นความผิดของเขา
เหมือนในกรณีข่าวอาชญากรรมหลายข่าว ที่เมื่อมีนักข่าวสัมภาษณ์คนใกล้ชิดของผู้ก่อเหตุ ก็มักจะได้รับประโยคที่ค่อนข้างตรงข้ามกับการกระทำในเนื้อข่าวนั้น อย่างเช่น “ลูกฉันเป็นคนดี” “ลูกฉันไม่ผิด” “เขาไม่ทำแบบนั้นหรอก” จึงไม่แปลกใจถ้าอคตินี้จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘ความรักทำให้คนตาบอด’ เพราะพวกเขามักจะเลือกเข้าข้างคนที่รักและผูกพันเสมอ
ทุกอคติล้วนแล้วแต่ทำให้เราเกิดความสบายใจ
แต่ทุกอคติก็มีข้อเสียคือทำให้เรามองอะไรเพียงแค่ ‘ด้านเดียว’
เมื่อเราหลับหูหลับตาต่อการกระทำแย่ๆ ของเขา และปล่อยเป็นเช่นนั้นไปเรื่อยๆ นานวันเข้าเราอาจสูญเสียอำนาจในการพูดคุยหรือตักเตือนคนรักของเราไปโดยไม่รู้ตัว หรือโดนกดความมั่นใจที่จะยืนหยัดอะไรสักอย่างเพื่อตัวเอง
เคยได้ยินความสัมพันธ์ที่ชื่อ Codependent Relationship กันหรือเปล่า? เป็นความสัมพันธ์ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแลกความสุขทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ แม้เขาจะทำตัวแย่แค่ไหนก็ตาม เช่น ติดเหล้า ติดยา ไปมีชู้ แต่ด้วยความที่เราขาดความมั่นใจในตัวเอง ผสมกับมี liking bias และ loving tendency ทำให้เราเลือกที่จะปล่อยให้เขามีพฤติกรรมเหล่านั้นต่อไป เพราะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งหรือการทะเลาะกันเกิดขึ้น ซึ่งที่หยิบยกความสัมพันธ์รูปแบบนี้มาพูด เพราะมีบางลักษณะที่คล้ายคลึงกับเงื่อนไขของ liking bias นั่นก็คือ เราจะพยายามปกปิดปัญหาของอีกฝ่าย และยากจะปฏิเสธเวลาเขาเรียกร้องอะไรจากเรา (อ่านเรื่องความสัมพันธ์รูปแบบนี้เพิ่มเติมได้ที่นี่)
เมื่อผิดก็ว่าไปตามผิด อาจดีต่อคนรักมากกว่า
ที่ชวนให้รู้จักความเอนเอียงประเภทนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่ข้างคนรักในวันที่เขาทำตัวแย่ไม่ได้ แต่การที่เราอยู่ข้างๆ โดยหลับหูหลับตาทำเป็นมองไม่เห็นปัญหา หรือปล่อยให้เขาทำผิดต่อไปซ้ำๆ ซากๆ นั่นอาจจะเป็น ‘ทำร้าย’ เขามากกว่าเดิมโดยที่เราไม่รู้ตัว แล้ววันหนึ่ง ตัวเราเองก็อาจจะตกที่นั่งลำบากไปด้วย ในฐานะ ‘ผู้สนับสนุน’ ความผิดนั้น
ซึ่งวิธีที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากความเอนเอียงที่เผลอสานต่อการกระทำแย่ๆ ของเขาได้ อย่างแรกเราจะต้อง ‘รู้ให้ทันอคติของตัวเอง’ ก่อน ว่าที่กำลังปกป้องเข้าข้างเขาอยู่ เป็นเพราะเรามองว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องแล้ว หรือเพียงเพราะเขาเป็นคนรัก คนสนิทของเรากันแน่
แต่ก็ไม่ง่ายเลยใช่มั้ยล่ะที่จะหาคำตอบเหล่านั้น ในเมื่อเรายังคงมีอคติที่เกิดจากความรัก ความใกล้ชิด และความผูกพันบังตาอยู่ ต่อให้คิดอีกกี่ตลบเราก็คงออกมองไม่เห็นความผิดของเขา เพราะเรามีแต่ความเข้าอกเข้าใจเต็มไปหมด ฉะนั้นเราอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจาก ‘คนนอก’ ดูบ้าง หรือถามความเห็นจากคนที่ไม่ได้รู้จักหรือสนิทกับคนๆ นั้นว่าพวกเขามองเรื่องนี้ยังไง เป็นการกระทำที่สมควรแล้วหรือไม่ บางทีคนนอกนี่แหละก็ช่วยเคาะสติเรากลับมาได้ดีที่สุด
เมื่อรู้แล้วว่าที่เรากำลังเห็นดีเห็นงามกับเขาอยู่ เป็นเพราะ liking bias หรือ loving/liking tendency และเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ถูกไม่ควร ถ้าเราอยู่ในฐานะที่พอจะพูดคุยเพื่อตักเตือนได้ ก็อยากให้ลองพูดคุยด้วยท่าทีที่ไม่จู่โจมจนเกินไป เพราะการที่เราเป็นคนสนิทของเขา เขาย่อมคาดหวังว่าเราจะต้องเข้าข้างและเข้าใจเขามากที่สุด แต่การไม่พูดอะไรเลย ก็เหมือนกับการปิดกั้นไม่ให้เขาได้เรียนรู้และเติบโตในโลกที่เขาไม่ใช่ศูนย์กลางของทุกอย่าง แบบนั้นจะทำให้เขาเจ็บปวดมากกว่าเดิมที่ไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองกำลังทำสิ่งที่ผิดอยู่ ซึ่งการที่ได้รับคำเตือนจากปากของคนที่ใกล้ชิดย่อมดีกว่าการโบยตีด้วยคำพูดรุนแรงจากคนไม่รู้จักอยู่แล้ว
การเลือกที่จะตักเตือนนั้น ไม่สามารถรับประกันได้หรอกว่าจะคุ้มค่ากับความสัมพันธ์หลังจากนี้หรือไม่ มันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือการแตกหัก สุดท้ายก็คงขึ้นอยู่กับการเปิดใจรับฟังของอีกฝ่ายด้วย แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งเราก็ได้หยิบยื่นโอกาสในการปรับปรุงตัวเองให้กับเขาไปแล้ว
เพราะถ้าเรารักและเป็นห่วงเขามากพอ เราจะอยากเห็นเขาเติบโตไปในทิศทางที่ดี
อ้างอิงข้อมูลจาก