คู่รักในอุดมคติคืออะไร? เป็นคู่รักที่ต้องเข้าใจกัน มีเวลาให้กัน ไม่ทะเลาะกันบ่อยๆ ใช่หรือไม่? หลายครั้งเวลาที่เราเห็นคู่รักบางคู่ดูราบรื่น ชื่นมื่นดี ไม่มีอะไรให้ทะเลาะกันมากนัก เราก็มักจะเหมารวมไปว่าพวกเขาเป็นคู่รักที่เพอร์เฟ็กต์และเข้ากันได้มากแน่ๆ
แต่จริงๆ การไม่ทะเลาะกันเลย บางครั้งก็ไม่ได้มีที่มาจากความสงบสุขเสมอไป แต่มันอาจหมายถึงการ ‘หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง’ ที่เกิดจากอำนาจที่ไม่เท่ากันในความสัมพันธ์ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายในระยะยาวก็ได้นะ
เราให้ เขารับ ความสัมพันธ์ที่ดูราบรื่นแต่กลับขมขื่นกว่าที่คิด
ที่กล่าวมาข้างต้น เรากำลังพูดถึงความสัมพันธ์ที่เรียกว่า Codependent Relationship ความสัมพันธ์แบบพึ่งพาหรือ ‘ยึดติดกันและกัน’ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่รู้จักอย่างแพร่หลายในปี ค.ศ.1950 โดยใช้กับความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งมี toxic shame เช่น ปมในวัยเด็ก อาการเสพติดบางอย่าง หรือความผิดปกติทางอารมณ์ และอีกฝ่ายหนึ่งมีลักษณะเป็นผู้ให้มากเกินไป จึงพยายามจะช่วยเหลือคนคนนั้น เช่น อาจจะช่วยปกปิดหรือคอยตามใจ ปล่อยให้เขามีพฤติกรรมดังกล่าวไปเรื่อยๆ
เบื้องต้นมันอาจจะฟังดูโรแมนติกกับการที่ฝ่ายหนึ่งยอมทุ่มเทอะไรหลายๆ อย่างให้กับคนรัก ไม่ว่าจะเป็นแฟน ครอบครัว เจ้านาย หรือเพื่อนสนิท แต่จริงๆ มันเป็นเรื่องของ ‘อำนาจ’ ที่ไม่เท่าเทียมกันที่ซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์ (imbalance of power) ต่างหาก
“จริงๆ มันคือสัญญาณเตือนขนาดใหญ่ที่บ่งบอกว่าคุณกำลังอยู่ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ และนั่นไม่ใช่ความรัก แต่เป็นการยึดติดและความรู้สึกสิ้นหวังต่างหาก” แดรี่เลวานี จอห์นสัน (Darylevuanie Johnson) นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านการปรึกษากล่าว
ความสัมพันธ์แบบนี้ตัวแปรสำคัญอยู่ 2 อย่าง ซึ่งมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากหนึ่งในนั้นไม่ใช่คนประเภท ‘หลงตัวเอง’ (narcissism) ในที่นี้หลายคนอาจจะนึกถึงพวกที่ส่องกระจกบ่อยๆ แล้วพูดว่า “เรานี่ก็หน้าตาดีเหมือนกันนะ” แต่จริงๆ คนที่หลงตัวเอง ยังมีพฤติกรรมอื่นๆ ที่สามารถนำมาอธิบายได้อีก เช่น เอาแต่ตัวเองเป็นหลัก ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และมักเอาเปรียบคนรอบข้างอยู่เสมอ ทำให้คนคนนี้มักจะเป็นคนที่ ‘ได้รับ’ และ ‘ต้องการ’ อยู่ฝ่ายเดียว
และจำเป็นจะต้องมีอีกคนหนึ่งที่เป็นขั้วตรงข้าม นั่นก็คือคนที่ ‘ไม่มีความมั่นใจ’ ในตัวเองเลย (low self-esteem) ซึ่งก็คือคนที่ชอบเอาอกเอาใจผู้อื่นอยู่เสมอ หรือที่เรียกว่าเป็น people pleaser ที่ความพึงพอใจของคนอื่นมักจะมาก่อนของตัวเองเสมอ และคิดว่าตัวเองไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ กับใครเลย เพราะการถูกปฏิเสธ ถูกบอกเลิก หรือไม่ได้รับการยอมรับ นับว่าเป็นเรื่องที่เจ็บปวดสำหรับคนประเภทนี้ ซึ่งหลายครั้งมันอาจจะถึงการที่จะต้องแลกหรือเสียสละเวลา พลังงาน ความฝัน ความต้องการส่วนตัวของตัวเอง เพื่อทำให้คนอื่นมีความสุขมากที่สุด ทำให้พวกเขามักจะ ‘ให้ไป’ มากกว่าที่ตัวเอง ‘ได้รับ’
แม้ความสัมพันธ์แบบนี้จะดูราบรื่นดี ไม่มีปัญหา ไม่มีการทะเลาะ ไม่มีความขัดแย้งใดๆ เพียงแค่คนหนึ่งให้ไป อีกคนหนึ่งก็รอรับ แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้ส่งผลดีต่อใครในความสัมพันธ์เลยสักคน และที่แย่ไปกว่านั้น มันทำให้ความสัมพันธ์กลายเป็น danger zone และอาจมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกอยู่ในอันตรายโดยไม่รู้ตัว
ซึ่งถ้าหากจำลองคนที่มีลักษณะต่างกันอย่างสุดขั้วนี้ มาอยู่ในรูปแบบของความสัมพันธ์แล้วล่ะก็ มันจะเป็น toxic relationship อย่างไม่ต้องคาดเดาเลย อยากให้ลองนึกถึงสามีภรรยาคู่หนึ่ง ที่สามีติดเหล้า เมากลับบ้านทุกวัน ตบตีภรรยาอยู่เสมอ แต่ภรรยาก็ยังคอยตามใจ ใครเตือนก็ไม่ฟัง แถมยังออกตัวให้ว่าเขาไม่ได้แย่อย่างที่คิดหรอกนะ หรือคนที่โดนแฟนทำร้ายร่างกายอยู่บ่อยๆ แต่กลับเห็นอกเห็นใจ มองว่าเขาป่วยและน่าสงสารจะตาย มันจะต้องมีทางออกหรือวิธีรักษาสักทางแหล่ะน่า
เมื่อยกตัวอย่างแบบนี้พอจะมองเห็นแนวโน้มความน่ากลัวในระยะยาวกันหรือยัง ซึ่งที่น่าตกใจมากกว่านั้นก็คือ ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้พบได้ทั่วไปมากกว่าที่เราคิดอีก
เราโหยหาการยอมรับมากไปจนทำให้ใจเจ็บหรือเปล่า?
สงสัยเหมือนกันหรือเปล่าว่า ทำไมความสัมพันธ์แบบนี้ถึงใช้คำว่า codependent ที่มีความหมายว่าพึ่งพาหรือยึดติดกันและกัน ในเมื่อมันดูเหมือนจะมีคนใดคนหนึ่งได้รับผลประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียว แต่อีกคนที่เป็น giver/caretaker/people pleaser เขาดูจะไม่ได้รับอะไรจากความสัมพันธ์นี้เลยแม้แต่น้อย
ลึกๆ แล้วมันมีประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ คนที่ได้รับการเอาอกเอาใจ การซัพพอร์ต เขาก็รู้สึกสะดวกสบายจากความสัมพันธ์นี้ ส่วนคนให้ก็รู้สึกดีที่ได้ให้ ได้เอาใจ รู้สึกว่าตัวเองมีความหมายต่อคนๆ หนึ่ง แต่นั่นอาจจะเป็น ‘ประโยชน์ปลอมๆ’ ที่ในระยะยาวจะวกกลับมาทำร้ายคนทั้งคู่
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ขั้วตรงข้ามของคนหลงตัวเองก็คือคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเลย ซึ่งคนประเภทนี้มักจะมีความสับสนใจเรื่องคุณค่าของตัวเอง คิดว่าตัวเองจะต้องอยู่เพื่อดูแล เพื่อเอาใจคนอื่นเท่านั้น ไม่สามารถทำตามใจตัวเองมากนัก อาจจะด้วยความกลัวว่าจะถูกโกรธ ถูกเกลียด ถูกปฏิเสธ ถูกบอกเลิก แล้วต้องกลับมาอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพัง จนทำให้บางครั้งคนประเภทนี้ยอมลดความต้องการหรือมาตรฐานอะไรหลายๆ อย่างที่ตัวเองตั้งเอาไว้
หรือลึกๆ เราไม่เชื่อว่า
เราจะสามารถมีความสุขได้
โดยปราศจากการมีอยู่ของอีกคน
ยกตัวอย่างเช่น ยอมให้คนรักติดยา ยอมให้คนรักไปมีชู้ ยอมให้คนรักไปเล่นการพนัน ยอมให้คนรักทำร้ายร่างกาย ยอมขอโทษทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ผิด ยอมให้เขาเอาเปรียบเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นการยอมเพื่อให้เขายังอยู่ด้วยกันกับเรา เป็นการยอมเพื่อลดความขัดแย้ง เพราะไม่ทะเลาะจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนลืมไปว่าความซื่อสัตย์ ความเกรงใจ และความเคารพซึ่งกันและกัน เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทุกคนควรจะได้รับ ไม่ว่าจะเข้าไปอยู่ในสัมพันธ์รูปแบบใดก็ตาม
“ที่อีกคนคอยให้หรือช่วยเหลืออีกฝ่ายอยู่เสมอ นั่นก็เพราะพวกเขาต้องการการยอมรับ และอยากถูกมองว่าเป็นฮีโร่ ผู้ช่วยชีวิตคนอื่น ซึ่งนั่นได้กลายเป็นหนึ่งในบุคลิกของพวกเขาในอนาคต” เมย์ร่า เมนเดซ (Mayra Mendez) นักจิตบำบัด กล่าว “และคนที่เป็นผู้ให้หรือผู้ดูแลก็มักจะละเลยปัญหาของตัวเอง โดยมุ่งไปที่ปัญหาของอีกฝ่ายมากกว่า ซึ่งฝ่ายที่มีปัญหาก็จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของตัวเอง แล้วยกให้กับผู้แลแทน”
ทีนี้อยากให้ลองสำรวจตัวเองว่า ความสัมพันธ์ของเรานั้นเข้าข่ายยึดติดกันและกันเกินไปหรือเปล่า และเรากลายเป็นคนที่ต้องยอมแลกทุกอย่างเพื่อความสัมพันธ์ที่เป็นพิษนี้หรือไม่ ผ่านการตั้งคำถามกับตัวเอง และตอบในใจพร้อมๆ กันว่า ที่ผ่านมาเรามีพฤติกรรม ความคิด หรือความรู้สึกเช่นนี้หรือไม่?
- ความต้องการส่วนใหญ่ของเราคือการเสียสละ และทำให้อีกฝ่ายพึงพอใจมากที่สุด
- เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธหรือพูดคำว่า ‘ไม่’ เวลาอีกฝ่ายเรียกร้องอะไรจากเรา
- เราพยายามปกปิดปัญหาของอีกฝ่าย เช่น เสพติดยา เสพติดแอลกอฮอล์ ใช้ความรุนแรง หรือทำผิดกฎหมาย
- เรามักจะกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา
- รู้สึกติดบ่วงและออกมาจากความสัมพันธ์ครั้งนี้ยากเหลือเกิน
- ต้องคอยเงียบและข่มความรู้สึกเอาไว้ เพื่อไม่ให้เกิดการทะเลาะกัน
และถ้าคำตอบออกมาว่า ‘ใช่’ เกือบจะทุกข้อ นั่นแปลว่า คุณก้าวขาเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์ที่ยึดติดนี้แล้วล่ะ และในไม่ช้า ความสัมพันธ์นี้จะทำลายคนทั้งสองคน ด้วยการทำให้คนหนึ่งมีอาการเสพติดและใช้ความรุนแรงไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็บังคับให้อีกคนละทิ้งความฝัน ความต้องการ หรือความเป็นตัวเองไป เพื่อทำให้อีกฝ่ายสบายใจอยู่คนเดียว
รีบออกมาให้ไว ก่อนอะไรจะแย่ไปกว่านี้
ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีทวีตหนึ่งกล่าวไว้ประมาณว่า “ใครที่มีแฟนที่เผลอใช้ความรุนแรงเวลาโกรธ ต่อให้ไม่ใช้กับเรา แต่ใช้กับข้าวของรอบตัว อยากให้มองว่าเป็น red flag ให้หมด และควรจะเดินออกมาให้ไว” ซึ่งยอดรีทวีตและยอดรีพลายนั้น ก็ทำให้เห็นว่ามีหลายคนที่เผชิญกับความสัมพันธ์เป็นพิษ ที่เกิดจากการใช้กำลังหรือความรุนแรง แล้วก็เผลอหาข้ออ้างให้กับพฤติกรรมแย่ๆ นั้นและเข้าข้างคนที่เรารักโดยไม่รู้ตัว
ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่เราอยู่ในความสัมพันธ์ที่เราไม่สามารถสื่อสารความต้องการของตัวเองออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้ได้เลย ในที่สุด มันก็ไปจบลงที่อาการหมดไฟที่จะอยู่ต่อ แม้ทั้งคู่จะไม่ได้มีการทะเลาะกันมากนัก (เพราะปัญหาทั้งหมดถูกเอาไปซุกไว้ใต้พรมจนมิด) แต่มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าอยู่แล้วสบายใจสักเท่าไหร่
เป็นความสัมพันธ์ที่คนทั้งสองขาดกันไม่ได้
เพราะกลัวตัวเองจะโดดเดี่ยว
แต่อยู่ไปก็ไม่มีความสุขกันทั้งคู่
ถูกอย่างที่ทวีตนั้นพูด พฤติกรรมแย่ๆ โดยเฉพาะอะไรที่เข้าข่ายความรุนแรง (abusive) ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ใช่แค่เรากำลังอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงขั้นที่ชีวิตเราอาจเกิดอันตรายขึ้นเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นการอยู่ต่อในความสัมพันธ์นี้มีแต่ความเสี่ยงและความไม่ยั่งยืน หากอีกฝ่ายไม่คิดจะปรับเปลี่ยน และเราเองก็สิ้นหวังที่จะตักเตือน ทางเดียวเท่านั้นที่จะจบเรื่องนี้ก็คือการเดินออกมา
โดยอย่างแรกเลยเราต้องยอมรับก่อนว่า การให้หรือซัพพอร์ตคนคนหนึ่งโดยปล่อยให้เขาทำเรื่องไม่ดีต่อไป ไม่เพียงแต่ตัวเราที่จะตกที่นั่งลำบากจากความไม่ปกติของเขา แต่ยังถือเป็นการทำร้ายเขารูปแบบหนึ่งด้วย เพราะตัวเขาเองจะไม่มีทางรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นก่อให้เกิดผลกระทบยังไงทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง รู้ตัวอีกที เขาอาจจะเสียเงิน เสียเวลา เสียสุขภาพไปโดยที่เอากลับคืนมาไม่ได้
และต่อให้เราอยากจะซัพพอร์ตเขาในแง่ที่อยากให้เขาหายดี เราก็ต้องยอมรับด้วยว่าเราไม่สามารถเซฟใครในชีวิตได้ทั้งหมด ถ้าเขาเลือกจะเดินไปในเส้นทางที่ผิด เพราะบางเรื่องมันอาจจะเกินความสามารถของเราไปเยอะมาก เนื่องจากเราไม่ใช่จิตแพทย์ ไม่ใช่หมอ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่นักจิตบำบัด ที่จะเข้าไปซ่อมแซมใครให้หายดีได้ทันที
จากนั้น มองย้อนกลับมาที่ตัวเราเอง ซึ่งก็ต้องการแรงซัพพอร์ตจากคนอื่นๆ บ้างเช่นเดียวกัน ฉะนั้น พยายามเอาตัวเองไปอยู่กับผู้คนที่เราสบายใจ ผู้คนที่สามารถให้เราแสดงออกทางความรู้สึก หรือบอกความต้องการของตัวเองออกมาได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนโกรธหรือเข้าใจผิด เพื่อสะท้อนความคิดในหัวของตัวเองว่าเรามีความสุขกับความสัมพันธ์นี้จริงๆ หรือเปล่า? ที่ผ่านมาเราเหนื่อยเกินไปมั้ย?
และเมื่อได้คำตอบที่แน่ชัดแล้ว ก็อยากให้มี self-compassion หรือความเมตตาต่อตัวเองให้มากๆ เพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกผิดที่ต้องเดินออกมาจากความสัมพันธ์ที่กัดกินจิตใจเรามานาน ก่อนที่อะไรๆ มันจะสายเกินกว่าจะแก้ไข เพราะการฟังเสียงของคนอื่นมากเกินไป จนมองข้ามความต้องการของตัวเอง นานวันมันสามารถนำไปสู่การก่อตัวของ ‘ความซึมเศร้า’ อย่างเงียบๆ ด้วยเช่นกัน
แม้วันนี้เราอาจจะยังเอาตัวเองออกมาจากจุดนั้นไม่ได้ทั้งหมด (ก็แหงล่ะนะ เคยมีกันมานานเท่าไหร่แล้ว) แต่อยากให้เชื่อในการเปลี่ยนแปลงจากก้าวเล็กๆ ทีละก้าว เช่น นึกถึงความชอบ ความสนใจที่ตัวเองเคยมี อาจจะเป็นการกลับมาทำงานอดิเรกที่เคยทำ แม้นั่นจะหมายถึงการที่เราต้องทำมันเพียงคนเดียวตามลำพัง แต่แล้ววันหนึ่งเราจะสัมผัสได้ว่าจริงๆ คุณค่าของเราไม่ได้ยึดโยงกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากแต่เป็นกิจกรรมตรงหน้า สถานที่ที่เราสบายใจ และตัวของเราเองมากกว่า
ความรู้สึกของคนอื่นเป็นเรื่องที่เหนือการควบคุมเสมอ เราอาจจะไม่สามารถทำให้ใครพึงพอใจหรือสมหวังไปเสียทั้งหมด แต่มีอย่างหนึ่งที่เราสามารถควบคุมได้แน่ๆ โดยไม่ต้องคาดเดาผลลัพธ์ให้วิตกกังวล นั่นก็คือ เราสามารถมอบความสุขให้กับตัวเองได้ทันที โดยการเลือกที่จะออกมายืนในจุดที่เราสบายใจมากที่สุด และเจ็บปวดน้อยที่สุด
อ้างอิงข้อมูลจาก