ในช่วงวิกฤต COVID-19 สิ่งที่แพร่ได้ไกลและไวไม่แพ้เชื้อไวรัส ก็คือ ‘น้ำใจ’ ของคนในสังคม
(แน่นอนเราอาจมีคำถามได้ว่า หากรัฐจัดการได้ดีเพียงพอ ก็ไม่จำเป็นที่ผู้คนจะต้องออกมา ‘ช่วยกันเอง’ มากขนาดนี้ แต่ประเด็นนั้นมีคนพูดไว้ค่อนข้างเยอะแล้ว บทความนี้อยากชวนไปดูว่า ในเมื่อประชาชนต้องออกมาใช้น้ำใจเพื่ออุดความกระแพร่งกระแพร่งของภาครัฐ แล้วเราควรจะใช้น้ำใจนี้อย่างไรให้เกิดประโยชน์แก่กันและกันมากที่สุด)
จากวิกฤตโรคระบาดที่ยืดยาวมาตั้งแต่ปีใหม่ พร้อมกับการบังคับให้เว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ได้ทำให้ใครหลายคนสูญเสียรายได้ บางคนต้องตกงาน หลายคนไม่รู้อนาคต ขณะที่มาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ โดยเฉพาะเงินเยียวยา 5,000 บาท ก็มีปัญหา ล่าช้า ไม่ทันการณ์
เราจึงได้เห็นปรากฎการณ์ผู้มีน้ำใจ ลุกขึ้นมาตั้งโต๊ะทำของแจก ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลา อาหารแห้ง ไปกระทั่งเงินสด !
แน่นอนว่า วิธีดังกล่าวอาจช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่จะทำอย่างไรให้ยั่งยืน.. โครงการประเภท ‘ปันกันอิ่ม’ จึงเกิดขึ้น โดยเป้าหมายก็คือ คนมีก็ได้ให้ คนหิวได้กิน และที่สำคัญก็คือ ได้ช่วยเหลือธุรกิจต่างๆ ให้มีรายได้
ถือเป็นการ วิน-วิน-วิน ถึง 3 เด้งเลยทีเดียว
ว่าแต่อะไรคือการ ‘ปันกันอิ่ม’ ใครปัน ใครอิ่ม และกลไกของโครงการนี้ทำงานอย่างไร?
อธิบายง่ายๆ ก็คือการที่ใครสักคน จ่ายเงินซื้ออาหารไว้ที่ร้านค้าล่วงหน้า ‘เผื่อ’ ว่าคนที่หิวแต่ไม่มีเงิน จะได้เดินเข้ามากิน

ทราย-อินทิรา เจริญปุระ นักแสดงหญิง เป็นหนึ่งในผู้ที่ลุกขึ้นมาทำโครงการนี้ในช่วงวิกฤต COVID-19 โดยใช้แฮชแท็กว่า ‘เลี้ยงข้าวเพื่อน’ ซึ่งมีที่มาจากการที่เธอได้อ่านเรื่องราวของร้านกาแฟในอิตาลีที่เวลามีคนไปดื่มกาแฟจะจ่ายค่ากาแฟเผื่อไว้สำหรับคนที่ไม่มีเงิน เมื่อเข้ามาถามว่า “วันนี้มีคนเลี้ยงกาแฟไหม?” ถ้ามี ร้านจะได้ชงให้ดื่มทันที
มีศัพท์เรียกพฤติกรรมจ่ายเงินเผื่อเลี้ยงอาหารคนที่หิวโหยนี้เป็นภาษาอิตาลีว่า caffè sospeso (ตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า suspend coffee หรือ pending coffee) ที่ต่อมาได้ขยายการจ่าย ‘เผื่อ’ จากกาแฟ ไปเป็นขนม อาหารมื้อเล็ก หรือกระทั่งอาหารมื้อใหญ่
ว่ากันว่า วัฒนธรรมนี้มีในเมืองนาโปลีของอิตาลีมาเป็นร้อยปีแล้ว แต่ค่อยๆ จางหายไป กระทั่งถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ในช่วงสิบปีหลัง พร้อมกับสร้างเครือข่ายผลักดันวัฒนธรรมนี้
ออเรลิโอ เดอ ลอเรนติส ประธานสโมสรฟุตบอลนาโปลี คลับกีฬาอาชีพที่เป็นยิ่งกว่าศาสนาในเมืองใหญ่ทางตอนโต้ของอิตาลี (ดีเอโก้ มาราโดน่า นักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่และมีฉายาว่า ‘พระเจ้า’ เคยค้าแข้งอยู่กับสโมสรนี้ในช่วงเวลาหนึ่ง) มักจะจ่ายเงินสำหรับ caffè sospeso เป็นจำนวนสิบแก้ว ทุกครั้งที่สโมสรของเขาได้รับชัยชนะ
และมันก็กลายเป็นหนึ่งในวิธีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในยามยาก ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก

โครงการ ‘ปันกันอิ่ม’ ของร้านข้าวมันไก่ ในเครือข่ายของมูลนิธิพุทธิกา
โครงการปันกันอิ่ม เริ่มเข้ามาในไทยอย่างจริงจัง ภายใต้การดำเนินการของมูลนิธิพุทธิกา ราว 2-3 ปีก่อน โดยได้รับแรงบันดาลใจจากร้านราเมงเล็กๆ ย่านพระรามเก้าชื่อ Ramenga (อ่านว่า รา เมง อะ) ที่ให้คนซื้อราเมงเผื่อไว้สำหรับคนต่างๆ ไป แล้วเขียนชื่อไว้บนโพสต์อิตแปะไว้บนกระดาน จากนั้นผู้ที่อยากรับประทานก็จะนำโพสต์อิตนั้นมาแลกเป็นราเมงไปทาน โดยหลังกินเสร็จขอเสียงให้เขียนคำขอบคุณแปะคืนไว้ที่กระดาน
ปัจจุบันร้านอาหารที่อยู่ภายใต้โครงการปันกันอิ่มของมูลนิธิพุทธิกา มีทั้งร้านข้าวมันไก่ ร้านกาแฟโบราณ และร้านอาหารมังสวิรัติ
แต่ไม่ว่ารูปแบบจะเป็นอย่างไร รายละเอียดต่างกันแค่ไหน หัวใจสำคัญของโครงการนี้ก็คือการแบ่งปันกัน (ส่วนผู้ให้จะคิดว่าเป็นการทำบุญ ก็ไม่ขัดศรัทธาใดๆ)

โครงการ #ส่งต่อความอิ่ม ที่เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล กับเพื่อนๆ ริเริ่ม ในช่วงวิกฤต COVID-19
ในวิกฤต COVID-19 เท่าที่เรารู้ว่าหลายๆ คนนำแนวคิด ‘ปันกันอิ่ม’ หรือ caffè sospeso มาปรับใช้ เช่น
- เนติวิทย์ โชติภัทรไพศาล และเพื่อนๆ กับโครงการ #ส่งต่อความอิ่ม
- อินทิรา เจริญปุระ กับโครงการ #เลี้ยงข้าวเพื่อน
- ‘เพนนี’ เภสัชกรจิตอาสา ที่ไปทำโครงการ #แบ่งปันความอิ่ม ย่านสถานีบางซื่อ
- บริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง ที่ไปทำโครงการ #ปันอิ่ม ย่านสะพานใหม่
- กลุ่มคลองดีจัง ทำโครงการ #ปันกันอิ่ม รับบริจาคเงินทำคูปองอาหารให้คนคลองเตยหลายพันคนใช้ซื้อจากร้านค้าในชุมชน
- ฯลฯ
และมีโครงการปันกันอิ่มรูปแบบอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วนที่ถูกกระจายไปทั่วประเทศแล้ว แม้ผู้ริเริ่ม ชื่อ หรือรายละเอียดของโครงการอาจแตกต่างกันบ้าง แต่หัวใจก็คือการ ‘ช่วยเหลือ’ กันในยามทุกข์ยาก
การให้ข้าวปลาอาหาร หรือถุงยังชีพ ถือเป็นการช่วยเหลือเฉพาะหน้า แต่จุดอ่อนของมันก็คือไม่ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจที่จะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการในชุมชนในอีกทางหนึ่งด้วย
โครงการเช่นนี้ จึงตอบโจทย์ 3 ฝ่าย วิน-วิน-วิน แบบที่เขียนไว้ตั้งแต่ต้น
คนมีได้ให้ คนหิวได้กิน และร้านค้าเองก็ได้ค้าขาย ไม่ต้องปิดกิจการ เจ้าของร้านและลูกจ้างก็ไม่อดตายทางอ้อม
จะสู้กับวิกฤตอย่างน้อยๆ ขอให้อิ่มท้อง มีเรี่ยวมีแรงก่อน
สังคมไทย ไม่เคยขาดแคลนน้ำใจ และการแบ่งปันกัน