ชื่อของ POMME CHAN หรือ ปอม–ธัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง มักถูกรับรู้ในฐานะศิลปินที่มากฝีมือ และมีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในวงการนักวาดไทย รวมไปถึงระดับนานาชาติ จนเราเชื่อว่าเธอแทบไม่ต้องพิสูจน์อะไรในฐานะศิลปินอีกต่อไปแล้ว
แต่ในอีกแง่หนึ่ง ชีวิตของ POMME CHAN ในวันนี้ต้องดูแลรับผิดชอบชีวิตพนักงานและน้องๆ ในออฟฟิศ ‘Happy People Studio’ อีกหลายชีวิต หรือกระทั่งชีวิตของตัวเธอเองที่เดินทางมาสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
เธอเล่าให้เราฟังตั้งแต่เจอกันไม่กี่นาทีว่า แขนและมือขวาที่เธอใช้วาดรูปมาเกือบตลอดชีวิตกำลังอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ กระทั่งช่วงชีวิตที่เพิ่งผ่านพ้นวิกฤตหลายอย่าง และเส้นทางที่เผชิญหน้ากับความรู้สึก ‘โดดเดี่ยว’ ที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? บทสัมภาษณ์นี้ของ POMME CHAN จะช่วยให้ทุกเห็นถึงความเจ็บปวดในอดีต ว่ามันช่วยให้เธอแข็งแกร่งขึ้นได้ในหลากหลายมิติ
เมื่อเส้นทางการเป็นศิลปินไม่มีทางลัด เช่นเดียวการเป็น ‘หัวหน้าที่ดี’ ด้วยเหมือนกัน POMME CHAN เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ติดตามได้จากบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้
คุณบอกว่าปีนี้อยากเริ่มต้นวาดรูปด้วยมือซ้าย
เมื่อสี่ปีที่แล้วหมอบอกว่า เราจะวาดรูปได้อีกสามปี เพราะเรามีปัญหาบริเวณกล้ามเนื้อ ทั้งหลัง ไหล่ คอ บ่า โดยเฉพาะแขนขวาที่หนักมาก เราเจ็บแขนขวาทุกวินาที ไม่เคยหายปวดเลย ที่นั่งคุยกันตอนนี้ เราก็ยังเจ็บอยู่ เราพยายามแก้ไขอาการนี้ด้วยการออกกําลังกาย รวมถึงเล่นโยคะ ทำกายภาพ ฝังเข็ม เราทุกอย่าง และทำทุกอาทิตย์มาตลอด แต่มันก็ยังไม่หาย
เราคิดว่ามันคือค่าใช้จ่ายของศิลปิน เพราะเราวาดรูปมายี่สิบปี แน่นอนว่ามันเป็นงานที่ต้องใช้ร่างกายอย่างหนัก ศิลปินบางคนจะเสียที่ดวงตา บางคนอาจจะเป็นแขน หรืออะไรก็ตามบนร่างกาย
อาการนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน
มันเกิดมาตั้งแต่เราอายุได้สามสิบกว่า แต่เราก็ฝืนมาเรื่อยๆ เราก็เหมือนนักวิ่งที่ใช้กล้ามเนื้อเดิมอยู่เสมอๆ ในช่วงหลังๆ เราก็ได้ทดลองวาดรูปในหลายแบบ ซึ่งเราก็ร่างกายอย่างหนักหน่วงมาตลอดจริงๆ แล้วทุกวันนี้ก็เราก็ยังใช้แขนขวาได้ เพราะเราพยายามรักษา ถึงแม้หมอจะบอกว่า คุณวาดรูปต่อไม่ได้นะ แต่เราก็ยังดื้อ เราไม่ยอมให้เกิดสิ่งนี้กับชีวิตเรา
เราเองก็เป็นคนถนัดซ้ายมาตลอดตั้งแต่สมัยเด็กๆ แต่พ่อก็จะมีไม่ให้เราใช้มื้อซ้าย เขาเชื่อว่าเราต้องใช้มือขวาเขียนหนังสือเหมือนคนอื่นๆ สิ เราถึงได้ฝึกวาดรูปด้วยมือขวามาตลอด แต่พอมาถึงวันนี้ เรารู้สึกว่าเราอยากจะเปลี่ยนแก่นในงานของเรา และเราก็กำลังเดินเข้าสู่ชีวิตบทใหม่ เราเลยอยากจะลองกับความไม่คุ้นเคย เหมือนที่เราเคยลองวาดรูปในสมัยก่อน เพราะถ้าย้อนกลับไปตอนที่เพิ่งเริ่มอาชีพนี้ เราก็วาดรูปแบบคนไม่รู้จะวาดยังไง
แล้วรู้สึกอย่างไรเมื่อได้กลับมาวาดรูปด้วยมือซ้าย
สนุก เวลาเราได้ทําอะไรใหม่ๆ เราก็สนุก เพราะเราเป็นคนที่ชอบเอาความสนุกมากลายเป็นงาน เราชอบวิ่งหาความสนุกใหม่ๆ อยู่เสมอ
ได้ยินมาว่าทุกวันนี้คุณก็ยังหาเวลาให้ตัวเองได้วาดรูปอยู่ทุกวัน แม้ว่าตำแหน่งหน้าที่การงานของคุณจะรัดตัวมากๆ
เพราะมันเป็นความรัก มันเป็นความรักที่ดี เราอยากมีความรักที่ดีในทุกวัน เราคิดว่าการวาดรูปมันเป็นความรักที่ดีที่เราสร้างได้เอง เราทํางานสิบโมงครึ่ง เลิกงานหกโมงครึ่งทุกวัน และเราก็ไม่ทํางานเสาร์อาทิตย์ ชีวิตหลังหกโมงครึ่งของเราจะไม่คิดเรื่องงานแล้ว เราตัดเลย
เราเป็นคนวาดรูปไวมาก บางครั้งเราใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวสำหรับการวาดรูปหนึ่งรูป ทำเสร็จเราก็ฟินแล้ว หลังจากนั้นก็จะไปทำงานด้าน management (การจัดการ) ต่อ
การได้วาดรูปทุกวันมันดีต่อตัวคุณยังไง
มันช่วยเรื่องสมาธิ เรานั่งสมาธิมาได้สองปีกว่าแล้ว ซึ่งมันทํากระบวนการอะไรหลายอย่างทั้งในใจเรามากๆ เลย แล้วเรารู้สึกว่าการได้อยู่กับตัวเอง การได้นั่งวาดรูป มันคือการไม่ลืมตัวตนของเรา ขณะเดียวกัน การได้วาดรูปอยู่ทุกวัน ยังช่วยให้เราได้ค้นพบเทคนิคใหม่ๆ อยู่เสมอนะ แล้วเมื่อเราได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ จากการทําสิ่งที่เรารัก เราก็มีความสุข สุดท้ายแล้ว เราทำมันก็เพราะเราอยากที่จะมีความสุขในทุกวันแค่นั้นเอง
น่าสนใจที่คุณบอกว่าการวาดรูปมันเข้าไปทำกระบวนการหลายๆ อย่างในใจ
เราคิดว่าการวาดรูปมันช่วยเยียวยาเรา เราอาจจะตอบไม่ได้ว่ามันเยียวยายังไง ถ้าเราวาดรูปเสร็จหนึ่งชิ้น เราจะได้รับความรู้สึกเหมือนได้ complete อะไรไปบางอย่าง แล้วเราก็มีความสุขกับรูปที่เราวาดทุกรูปเลยนะ แม้เราใช้เทคนิคที่แตกต่างกันไปหรืออะไรก็ตาม ตอนนี้ข้อจำกัดในการวาดรูปของเรามันน้อยลงไปจากเมื่อก่อน เราเลยมีความสุขง่ายขึ้น
ข้อจำกัดที่ว่าคืออะไร
เมื่อก่อนมันก็จะมีการลงสี หรือว่าการวาดในบางแบบที่มันเป็นทั้งสไตล์ของเรา และจำกัดสไตล์ของเราไปในเวลาเดียวกัน แต่พอเรายกคําว่าสไตล์ออกไป เราก็ไม่จำเป็นต้องเป็น POMME CHAN ด้วยซ้ำ เราแค่วาดรูป แล้วนี่ก็คืองานของเรา เพราะการที่ถูกสไตล์มาจํากัดงานเป็นเวลาเกือบยี่สิบปี ถามว่าศิลปินอึดอัดไหม? อึดอัดนะ ใครจะมานั่งทําสิ่งเดิมๆ ได้ยี่สิบปี
แล้วคุณออกจากความน่าอึดอัดแบบนั้นยังไง
เรากระโดดออกมาจากความอึดอัดแบบนั้นหลายรอบแล้ว ยกตัวอย่าง คนมักจะบอกว่าซิกเนเจอร์เราคือเส้น swirl (เส้นหมุนวน) ใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้ปกติถ้าลูกค้ามีบรีฟแบบนั้น เราก็จะไม่ค่อยรับแล้ว หรือเราเองก็อาจจะใส่สไตล์นั้นเข้าไปแค่นิดเดียว อาจจะเหลือแค่สิบเปอร์เซ็นต์ หรือว่าบางอัน เพราะชอบเปลี่ยนสไตล์ไปเรื่อยๆ แต่คนจับไม่ได้ว่าเราเปลี่ยนสไตล์นะ (หัวเราะ) แต่ว่าบางคนก็ดูแล้วก็ยังรู้สึกว่าเป็นงานเรานะ เพราะเขาจำสีที่เราเลือกใช้ได้ มันยังดูเป็นตัวเราอยู่ ซึ่งสีที่เราใช้มันจะมีอยู่ไม่กี่พาเลท
ฟังแล้วนึกถึงที่คุณเคยสัมภาษณ์ว่า เวลาเห็นงานของคุณแล้ว ไม่จำเป็นแล้วคิดว่านี่คืองานของ POMME CHAN ก็ได้ แต่ต้องดูแล้วไม่คิดว่าเป็นงานของคนอื่นก็แล้วกัน
ใช่
แต่ว่าบางทีการทำงานเป็นศิลปินอาจจะต้องหวังให้คนจำลายเซ็นของตัวเองได้รึเปล่า
อัตตาเราไม่สูงขนาดนั้น เราคิดว่ามันเป็นเรื่องของตัวตนและการมองเห็นตัวเอง การที่เราไม่มีตัวตนหรือทลายตัวตนไปได้ แล้วสร้างใหม่เรื่อยๆ มันก็สนุกนะ
คุยกับคุณได้ไม่ถึงสิบนาทีก็รู้สึกได้ว่า ตัวตนคุณตอนนี้เกิดจากการเปลี่ยนผ่านจากหลายๆ เรื่องมาเยอะมาก
เพราะว่าเราได้นั่งสมาธิมาสองสามปีกว่าแล้ว สมาธิมันทําให้เห็นตัวเองเยอะ พอมันเห็นตัวเอง เราก็จะเห็นข้อดีข้อเสีย เห็นจุดที่ดีมากและจุดที่น่าเกลียดมาก เราได้เห็นว่าเราเคยยึดถือตัวตนเราเอาไว้แค่ไหน แล้วเราก็หงุดหงิดกับตัวเราที่เคยเป็นแบบนั้น
เราเห็นความหงุดหงิดของเราจาก expectations (ความคาดหวัง) ที่เราไม่ได้รับ เราเห็น อะไรหลายอย่างเลย แต่สุดท้ายสมาธิเองก็สอนให้เราเห็นเรื่องดีๆ มากกว่าเรื่องไม่ดี เราได้เห็นกําลังใจของทีม เห็นทีมเวิร์ค เห็นทีมที่เป็นมนุษย์แต่ละคน เห็นอะไรเยอะแยะมาก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตขึ้นเมื่อปลายปี ปีนี้กลับมาโสด ตรงนี้เขียนได้นะ (หัวเราะ) ปีนี้กลับมาโสดอีกครั้ง คําว่าคู่ชีวิตหายไป แก่นของคนเราเมื่อหั่นออกมา ก็จะเห็นว่ามันประกอบไปด้วยครอบครัว คู่ชีวิต งาน เพื่อนฝูง และบ้าน ซึ่งตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา แก่นเราหายไปทั้งคู่ชีวิตและบ้าน รวมถึงเพื่อนบางกลุ่มที่หายไปพร้อมกัน ส่วนที่ทํางานก็แน่นอนว่าจะต้องมีน้องที่เรารักบางจากลากันไปด้วยเหมือนกัน นอกจากนั้นเราก็เปลี่ยนที่อยู่
ทุกอย่างในตัวเราบางลงมากเลยบางจนเราต้องหันมาพึ่งพาตัวเอง เพื่อให้แก่นนี้มันฟูขึ้น แข็งแรงขึ้นด้วยตัวเอง ตอนที่แก่นต่างๆ มันหลุดออกไป เรารู้สึกว่าเราจะใช้ชีวิตบางลงอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเราจะอ่อนแอ แต่เราจะทํายังไงให้แก่นเราฟูขึ้น มี ecosystem ที่สมบูรณ์เหมือนเดิม แน่นอนมันคือการเปิดสู่โลกใหม่ เพื่อนใหม่ รวมไปถึงการกล้าทําอะไรหลายหลายอย่างแหละ
ความเข้มแข็งที่เราจะต้องสร้างเอง เพราะถ้าตัวเราไปขึ้นอยู่กับคนอื่นอีก ถ้าวันหนึ่งเขาไม่อยู่ แก่นเราก็บางลงอีกเหมือนเดิม แต่ถ้าเราสามารถมีแก่นที่ช่วยให้เราเข้มแข็งได้ด้วยตัวเรา แก่นนี้มันจะไม่ได้บางลงอีกแล้ว
ตอนนี้แก่นสําคัญในชีวิตของคุณคืออะไร
น่าจะเป็นการ appreciate ใน ecosystem ที่เหลืออยู่ในชีวิตเรา หมายถึงคนที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นทีม หรือว่ากัลยาณมิตร เพื่อน รวมไปถึง ลูกค้าที่ยังรักเราอยู่ รวมไปถึงความกล้าของตัวเอง กล้าที่โอบกอดตัวเอง กล้าที่จะสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาใหม่
แล้วการย้อนไปมองเห็นความไม่น่ารักของตัวเอง มันทำให้คุณรู้สึกและรับมือกับตัวตนด้านนั้นยังไง
เรามองเห็นความดื้อของตัวเอง และความคาดหวังของตัวเองเป็นส่วนมากนะ มันคือความคาดหวังที่เรามีต่อตัวเองและมีต่อผู้อื่น คือเรามักจะเสียใจ เมื่อเราไม่ได้สิ่งที่เราคาดหวัง เราก็เลยมองเห็นตัวตนที่เราแบกอยู่ด้วยซ้ำ
ความคาดหวังมันทําร้ายคุณเยอะไหม
เยอะมากพอกับที่มันทําลายทุกคน เราคิดว่าทุกคนก็มีความคาดหวังอยู่เสมอ ความรู้สึกที่ไม่ได้สิ่งที่ได้รับอย่างที่คาดหวัง ก็เหมือนทุกคน
แต่พวกเราก็ต้องอยู่ด้วยทุกความคาดหวังอะไรบางอย่างรึเปล่า
เราคาดหวังนะ แต่ยืดหยุ่นขึ้น แน่นอนว่าการทํางานมันต้องมีเป้าหมายแหละ แต่เรายืดหยุ่นทั้งในเรื่องเป้าหมายและวิธีการ จากที่เมื่อก่อนชัดเจนในเป้าหมายและชัดเจนในวิธีการ เราเริ่มเปลี่ยนเป็นคนที่ชัดเจนในเป้าหมาย แต่ยืดหยุ่นในวิธีการ มาถึงตอนนี้ เรากลายเป็นทั้งยืดหยุ่นในเป้าหมาย และยืดหยุ่นในวิธีการไปแล้ว เพราะว่าเป้าหมายของเรามันเปลี่ยนไปได้ตามตัวเราที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ถ้าย้อนกลับไปมองตัวเราเองเมื่อหนึ่งปี เราก็ไม่ใช่คนเดิมกับปีที่แล้วนะ
เรื่องวิธีการของคุณมันเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
เมื่อก่อนเคยเป็น fast and furious ที่มันเร็วมากๆ แล้วก็ดุ แต่เราก็เบาลงแล้ว เราตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราจำเป็นต้องเร็วขนาดนั้นไหม ถ้ามันไม่จําเป็น slow down ลงก็ได้ หรืออันนี้มันจะต้องเกิดขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์แบบนั้นไหม? สมมติเราแพลนจะทําอะไรแล้ว ถ้าเจอปัญหาระหว่างทาง เราก็จะแบบ กูไม่แคร์ จะต้องไปถึงตรงนั้นให้ได้ คนรอบข้างเราก็ถูกแผดเผากันไป แต่มาถึงวันนี้ เรากลายเป็นว่า ถ้าเราทำสิ่งนี้ไม่ได้ แต่มันยังมีทางเลือกอื่นๆ อีกไหมที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้ มันเราทำตามแบบเดิมไม่ได้จริงๆ งั้นเรามาดูทางเลือกอื่นๆ กันดีไหม มาหาทางเลือกที่พวกเราจะไม่เหนื่อยจนเกินไป
แล้วเรื่องเป้าหมายล่ะ
ตอนนี้เริ่มรู้ว่าเวลาตั้งเป้าหมายอะไร อย่าตั้งไกลแบบห้าปีสิบปี เพราะมันจะเจ็บปวด การที่เราคิดแบบนี้ได้ ย้อนกลับไปปีที่แล้วเรามี exhibition ที่ครบรอบการทำงานยี่สิบปีของตัวเราเอง ซึ่งปีที่แล้ว มันเหมือนว่า เราได้ทำความฝันทุกอย่างที่เราเคยมีตั้งแต่อายุยี่สิบสำเร็จแล้ว ตั้งแต่การทํางานกับลูกค้าที่อยากทํา รวมไปถึงการออกหนังสือของตัวเอง รวมไปถึงการมี exhibition ที่เรากล้าพูดได้ว่าเป็นการรวบรวมงานยี่สิบปีและงานใหม่ ด้วย มันครบหมดแล้ว แล้วพอมันจบปีที่แล้วในใจคือมันว่างเปล่าไปเลยเพราะมันไม่มีเป้าหมายถัดไป
แล้วเราใช้เวลาประมาณหกเดือนที่ผ่านมา พยายามทําความเข้าใจกับตัวเอง ในวันนี้ที่ไม่เหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ กับเป้าหมายใหม่ที่ต้องคิดขึ้นมา เพื่อเดินทาง เราใช้เวลาหกเดือนนะ ทั้งไปนั่งสมาธิ ทั้งแบบไหนถึงไปทริป นั่งสมาธิ เดินทางภายใน ลองทำอะไรมาเยอะแยะมากมาย จนตกตะกอนได้ว่า ชีวิตที่เหลือหลังจากนี้ ตัวเราเองอยากจะโฟกัสในเรื่องของ fine art มากที่สุด เพราะว่าเมื่อก่อนเราไม่รู้ว่าเราจะทํา fine art ยังไง เพราะว่าเราไม่มีเรื่องที่อยากจะพูดออกมาเยอะขนาดนั้น เราไม่ได้คิด เราไม่ได้ทําการบ้านกับตัวเอง เราไม่ได้วิ่งลงไปหาตัวเอง เรามีแค่ทําสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเหมือนออกรบ แล้วก็ทํา วิ่ง วิ่ง วิ่ง ไปเรื่อยเรื่อย แต่พอเรามีช่วงเวลาที่เราได้ ค้นหาตัวเองได้ทําการบ้านภายใน มันก็เกิดหลายอย่างกับชีวิตมากเลย มันทําให้เรามีของที่เราอยากจะพูดออกไปเป็นภาษาของ visual ในแบบของ fine art
ส่วนในทางธุรกิจ เรายังมี vision เหมือนเดิม คือการขยายการนําภาพประกอบไปใช้บนชีวิตประจําวันของผู้คน ซึ่งมันเลยกลายเป็นเรื่องของ ได้กลายเป็นเรื่องของการตกแต่งบ้าน และสินค้าต่างๆ ช่วงหกเดือนที่ผ่านมาเราปั้นดิวิชั่นใหม่เล็กๆ ด้วยชื่อว่า Happy People House ก่อนหน้านี้เรามี Happy People Studio ที่ทําหน้าที่ออกแบบ ส่วนดิวิชั่นใหม่นี้จะทําของชําร่วย ทำงานแบบ B2B บีทูบีเข้าบริษัท เพราะว่าเวลาเราได้ของชําร่วยจากที่ต่างๆ ช่วงปลายปี ของเหล่านั้นมักจะไม่สวยเนอะ ก็ต้องยอมรับความจริงว่ามันไม่สวย แล้วเรามักจะเอาไปให้คนอื่นโดยที่ไม่ได้ใช้เอง ทุกอย่างมันเสียทรัพยากรโลกมาก เราเลยตั้งคำถามว่าแล้วทําไมถึงไม่เคยมีบริษัทไหนที่อยากจะทําของชําร่วยสวยๆ แบบที่เราอยากจะเก็บเอาไว้เองบ้าง ก็เลยตรงกับเป้าหมายของเราพอดี พอเรารู้สึกว่าจริงๆ มันไม่ได้ต่างจากสิ่งที่เราทํา product ตัวอื่นอยู่ มันเป็นแค่การขยายที่เข้าไปสู่ของชําร่วยในรูปแบบบริษัท และทําให้เรามีสินค้าเพิ่มขึ้นในขณะเดียวกัน บางคนอาจจะรู้สึกว่า แล้วคุณมาทําของชําร่วย แล้วเราแค่เอาโลโก้มาแปะแค่นี้ มันจะสวยหรอ ประเด็นคือเราก็ไม่ได้ทำแค่นั้น เราทํา template เอาไว้ให้เลือกด้วย แล้วมันจะสวยงามมาก คุณแค่เอาโลโก้ของคุณมาใส่ มันก็จบแล้ว
ตัวคุณในวันนี้ ต่างจากตัวคุณในวัยยี่สิบ-สามสิบแค่ไหน
ต่างมาก เราน่าจะเริ่มต้นทําอาชีพนี้จริงๆ ตอนอายุประมาณยี่สิบสาม แต่ว่าก็เริ่มวาดรูปมาก่อนหน้านั้นแล้วนะ ช่วงวัยยี่สิบถึงสามสิบเป็นช่วงวิ่งสู้ฟัด ไม่รู้จักคําว่าเหนื่อย ไม่รู้จักคําว่าไม่ได้ เราวิ่งชนทุกอย่างแบบหัวชนฝา พลังเยอะมาก ส่วนมากเป็นไฟ
ช่วงวัยสามสิบต้นๆ เป็นช่วงที่รู้สึกว่าทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตมันดีมาก มันดีมากจนเราเหลิง แล้วพออายุได้ 32 เรากลับมาอยู่ไทย เราเริ่มเปิดสตูดิโอ เราเริ่มทํางาน เยอะขึ้นแบบเป็นเวลามากขึ้น มีทีมมากขึ้น จากก่อนหน้านี้เป็นฟรีแลนซ์ ในช่วงที่เริ่มคุมทีม เราเป็นหัวหน้าที่แย่มากๆ
เราเคยมีความคาดหวังที่ให้คนอื่นเป็นเหมือนเราเองสูงมาก เลยทําให้เป็นคนที่ไม่น่ารักในการทํางานด้วยเลย สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสามสิบต้นๆ จนถึงประมาณ 38 ยังทำให้เรารู้สึกผิดกับคนอื่นๆ เยอะมาก เรายังรู้สึกผิดมาจนถึงตอนนี้ มันคือช่วงที่เราเคยคาดหวัง หรืออาจจะไม่ได้มี empathy ในการมองเห็นคนอื่นๆ
เป็นการวิ่งในอีกแบบหนึ่ง เป็นวิ่งที่เครียด เป็นวิ่งที่ทรมานขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ชื่อเสียงมันก็มาเยอะขึ้น เหลิงนิดหน่อย ถ้าพูดจริงๆ จากใจเราเลยคือ เป็นช่วงเวลาที่เรายิ้มกับโลกทั้งใบที่เราเชื่อว่าเป็นของเรา จนเราก็ผ่านอะไรไปเริ่มเยอะขึ้น พอช่วงสามสิบปลายๆ มันเป็นช่วงที่เรามองเห็นชีวิตอีกแบบหนึ่ง มองเห็นความสุขจากการใช้ชีวิตอีกแบบ มองเห็นตัวตนตัวเอง และการเติบโตอีกแบบ แล้วเราก็ค่อยๆ อยากที่เราจะเปลี่ยนตัวเอง
จุดไหนที่ทำให้คุณรู้สึกตัวว่าเป็นเจ้านายที่ไม่ดีเลย
ตอนนั้นมีน้องคนนึงที่ตอนนี้เป็นนักวาดชื่อดังแล้ว ซึ่งเราดีใจกับน้องเขามากเลย น้องเคยทํางานกับเรา แล้วเรารักเขามาก แล้วมันมีวันหนึ่งที่เขาออกไปแล้ว แล้วตอนหลังเราเพิ่งมารู้ว่า ช่วงที่เขาทํางานกับเรา เวลาที่เขานั่งรถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน เขาร้องไห้บ่อย
พอรู้แบบนั้น เราจ๋อยเลย เสียใจ ถึงแม้เราไม่รู้ตัวแต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้าง หลังจากนั้นก็คิดกับตัวเองได้ว่า เราก็ต้องหัดรู้ตัวไหม เพราะถ้าเราไม่รู้ตัว เราก็จะไปทําอะไรที่ทําให้ใครคนหนึ่งที่เรารักเสียใจ มันไม่ใช่ข้ออ้างที่บอกไม่รู้ แล้วเราจะผ่านมันไปได้ ก็เลยต้องมาเริ่มค่อยๆ เฝ้ามองการกระทําของตัวเองแล้วเปลี่ยนที่ตัวเอง เพราะเราไม่อยากให้ใครรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว
เราเคยเป็นมนุษย์ที่วิ่งไปข้างหน้า โดดเด่นเรื่องคิดแบบ strategy แต่ความ empathy เราเกือบเป็นศูนย์ การที่เราต้องพัฒนาอะไรที่มันไม่เคยเป็นตัวเรา มันยากสําหรับเราเนอะ เรียกว่ามันยังเป็นการเดินทางที่เราพยายาม บางครั้งเราอาจจะไม่ได้สามารถไปมี empathy ได้โดยที่เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา หรือเขาไม่ได้บอกเรา เพราะเราอ่านคนไม่ออก แต่ถ้าเขามาพูดคุยด้วย เราก็ตั้งใจตั้งแต่จุดนั้นมาเสมอว่าจะรับฟังด้วยใจที่เย็นขึ้น พยายามที่จะคิดอะไรจากในมุมเขามากขึ้น
พอเป็นแบบนี้แล้วความหวังที่คุณมีต่อน้องๆ ในทีมมันเปลี่ยนไปด้วยไหม
เปลี่ยนมากเลย เมื่อก่อนน่ะ สมัยสามสิบต้น เราคาดหวังว่า ทําไมแค่นี้น้องถึงทําไม่ได้? ตอนเราอายุเท่าเขา เราก็ทําได้นี่ แต่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นแล้ว เพราะเรากับเขาก็มาจากคนละยุคสมัย ในเจนเราในวัยนั้น มันคือความพยายามที่มันไม่สิ้นสุด แต่น้องๆ ในเจน นี้เขามี tools ต่างๆ ที่ช่วยเขาได้เยอะ แล้วเขาจะต้องมาพยายามอย่างเราทำไม แล้วเขาอาจจะถนัดอย่างอื่นที่เราไม่ได้ถนัดไง เราจะไปหวังให้เขาถนัดเหมือนเราอย่างนั้นได้ยังไง แล้วเงื่อนไขของตัวเขาแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันน่ะ
ถ้าเฝ้ามองดีๆ สมมติไปดูที่ energy ของเด็กฝึกงานหรือพนักงานก็ตาม เราก็จะเห็นว่า energy ของคนที่มาทํางานแบบแม่มาส่ง กับ energy ของคนที่ต้องต่อรถเมล์มาสามต่อเพื่อมาทำงาน พวกเขาก็มี energy ที่ไม่เหมือนกันนะ มันแตกต่างเพราะสภาพชีวิตที่เกิดขึ้นด้วย แล้วเราจะไปคาดหวังให้ทุกคนเป็นเหมือนกันไปหมดได้ยังไง ตอนนี้ถ้ากลับไปดูทุกโพสต์เรื่องงาน จะเห็นว่าเราให้เครดิตเป็น happy people studio อยู่เสมอ คือเราให้เครดิตทุกคนที่ทำงานด้วยกัน และเราก็ไม่ได้ต้องการเป็น leader อะไรเลยนะ ตอนนี้เราต้องการแค่เป็น one of the team เท่านั้นเลย
ทุกวันนี้เราไม่เคยมองตัวเลขเป็นเป้าหมายสำหรับการทำงาน ไม่ว่าจะมีธุรกิจหรือมีอะไร เราไม่เคยมี KPI เป็นตัวเลขเลย เพราะเราเป็นครีเอเตอร์ที่คิดเพียง เราไม่ได้โฟกัสในเรื่องของเม็ดเงินขนาดนั้น แน่นอนว่าทำธุรกิจก็ต้องไม่ขาดทุน แต่เราไม่จําเป็นต้องตั้งเป้าสูงหรืออะไรขนาดนั้นขึ้นมา ถ้าเกิดว่า เจ้าของบริษัทคนนั้นเป็น sales ที่โคตรเก่งมาก่อน เขาคงจะมี billing ที่โตมากในบริษัท เพราะว่านั่นคือความถนัดของเขา ในขณะที่เรามาจากสาย creative เป็นหลัก เพราะฉะนั้นเรื่อง creative จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แล้วความสุขของเราจริงๆ คือการทํางานกับทีม ทํางานกับผู้คน ความสุขของเราตอนนี้คือการได้วาดรูป ได้ไปเที่ยวพักผ่อน
ทุกวันนี้คุณคุยงานหรือคอมเมนต์งานกับคนในทีมยังไง
เราอยากให้ความจริงใจและความซื่อสัตย์ในการคอมเมนต์งาน ถึงแม้เราอยากจะคอมเมนต์อะไรไป แต่มันก็มีวิธีพูดที่นุ่มนวลได้นะ แต่ว่าทุกคนต้องรู้ความจริง คือเราเชื่อว่าการที่พยายามรักษาความสัมพันธ์อะไรไว้โดยไม่พูดความจริง ถือว่าไม่ให้เกียรติกัน แต่การพูดอะไรออกไปนั้น เราก็เลือกใช้วิธีการพูดได้
อะไรแบบนี้เลยทำให้ออฟฟิศนี้ดูมีพลังและสนุกอยู่เสมอๆ
เราสนุกกับงานทุกวันอยู่แล้ว เดินเข้ามาที่นี่ก็จะรู้สึกได้เลยว่าคึกคัก รู้สึกว่าเออมีพลังงาน เอาจริงๆ นะ ช่วงที่เราเดินทางไปต่างประเทศ แล้วเราปล่อยให้ทีมคุมกันเองไป พอเรากลับมาทุกคนแทบจะวิ่งมากอดกัน เราไม่ใช่คนเก่งทางด้านธุรกิจ เพราะฉะนั้นพี่คุม management ไม่ค่อยได้นะ ทําไม่เป็นเพราะไม่เคยอยู่องค์กรใหญ่ เราชอบอะไรเล็กๆ เราก็ อยู่กันอย่างนี้
แน่นอนว่าการทำงานก็ต้องเจออุปสรรคแน่ๆ อยากรู้ว่าความเชื่อแบบไหนที่คุณยึดถือไว้ในวันที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ที่ยากๆ
มันคือความรู้สึกว่าทีมเราไปกันต่อได้ แค่หันมามอง แล้วรู้ว่าไม่ได้เดินคนเดียวนะ ขอเล่าย้อนไปในตอนปี 2021 มันคือจุดเปลี่ยนมากเลย เพราะปีนั้นน้ําท่วมสตูดิโอ เพราะฝนตกหนัก จนทําให้เราสูญเสียพื้นที่ประมาณสามเดือน ผู้เช่าร่วมย้ายออก จนเราต้องแบกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง มันคือปั่นป่วนที่สุดตั้งแต่เปิดออฟฟิศมา สตูดิโอพังแต่ค่าเช่ายังต้องจ่าย แล้วในช่วงนั้นก็มีคนที่ที่ขอลาออกด้วย ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในชั่วข้ามคืน ตัวเราไปทํา research อยู่ต่างจังหวัด ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดมันอยู่นอกเหนือความควบคุมของเราหมดเลย นั่นคือวันแรกที่เริ่มนั่งสมาธิ มันคือวันที่ใจห่อเหี่ยวมาก
ตอนนั้นเราไม่มั่นใจว่านี่เราต้องปิดสตูดิโอหรือเปล่า? จะทํายังไงดี? แถมเรายังอยู่ท่ามกลางโควิด ซึ่งเราไม่เคยลดเงินเดือนพนักงานด้วยซ้ำ และเราให้โบนัสทุกปี เราเดินกลับเข้าที่สตูดิโอแบบน้ําตาจะไหลอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่า หันไปหาทีมน้องที่ยังเหลืออยู่ว่า สถานการณ์เป็นแบบนี้ ทุกคนจะอยู่กันไหม สิ่งที่เราได้รับกลับมาคือ คนที่อยู่เหลือกันไม่กี่คนยิ้มแล้วบอกว่า “ไหวสิคะพี่ เอาอยู่ค่ะ สบายมาก”
เชื่อไหมว่ากําลังใจตรงนี้ทำให้น้ำตารื้นเลย เราขอบคุณโมเมนต์นั้นนะ ขอบคุณโมเมนต์นั้นกับทุกคนที่อยู่ด้วยกันตรงนั้นน่ะ สิ่งนี้มันทําให้เราผ่านพ้นปัญหาไปได้ แล้วผ่านไปได้ยาวเลย เพราะมันคือความรู้สึกว่า เราไม่ได้เดินอยู่คนเดียว
ถ้าประสบการณ์ยากๆ ในการทำงานมันสร้างแผลให้กับเรา คุณรับมือกับมันยังไง
อย่าไปคิดว่ามันเป็นแผล ทั้งหมดอยู่แค่ในหัวเราคือเคยได้ยินประโยคที่บอกว่า monster is only in your head ไหม? เพราะมันเป็นแค่นั้นจริงๆ คือลองนึกภาพนะ เราเดินเข้าสตูดิโอมาโดยที่แก้วน้ําเราว่างเปล่า แต่เมื่อมีปัญหา ก็เหมือนกับว่าปัญหานั้นมันถูกรินเข้ามาจนแก้วน้ำใบนี้มันเต็ม เราก็แก้ปัญหากันไป พอตกกลางคืน เราทิ้งแก้วน้ําไว้ที่นี่ ปล่อยให้มันระเหยออก เราไม่ได้เอาแก้วน้ํากลับบ้านไปด้วย
เดาว่าก่อนหน้านี้คุณหยิบเอาปัญหากลับไปที่บ้านด้วย
ก็เอากลับไปคิดต่อ และมันก็ทําร้ายตัวเราเองนะ เราคิดว่าการมีสติก็คือการมองเห็นว่าแอคชั่นไหนที่เราทําแล้วมันทําร้ายตัวเรา พอรู้แล้ว เราเลยต้องหยุดทําสิ่งนั้น แต่เราต้องรู้ได้ด้วยตัวเองเท่านั้นไง อย่างนี้รึเปล่านะที่เขาใช้คำว่า “ต้องใจดีกับตัวเอง”
ใจดีกับตัวเอง, คิดว่าใช่คำนั้น
อยากให้ลองนึกถึงความโดดเดี่ยวที่เราเจอ แล้วความโดดเดี่ยวแบบนี้ เวลากลับบ้านไปก็ไม่ได้รับการ support ในแบบที่อยากได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเราเดินเข้าห้องน้ํามองตัวเองในกระจกแล้วพูดกับตัวเองว่า “วันนี้เก่งมากเลยปอม เก่งมากวันนี้ ภูมิใจในตัวแกจริงๆ” แล้วบางครั้งน้ําตาก็ไหลออกมา เราก็ตั้งใจว่าถ้าเดินออกจากห้องน้ําไป เปิดประตูออกไป มันคือวินาทีใหม่แล้วนะ จะไม่มีเรื่องเหล่านี้อยู่ในหัวเราแล้ว
น้ำตาที่ไหลออกมามันเพราะความรู้สึกโดดเดี่ยว
ความรู้สึกที่โดดเดี่ยวก็คือสุดท้ายแล้วเรากําลังจะแต่เรามีตัวเองไง เรากําลังให้กําลังใจตัวเองอยู่ แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้ทุกวันนะ ร้องแค่เวลาที่มันหนักจริงๆ
ความโดดเดี่ยวคือสิ่งที่คุณเผชิญอยู่ในช่วงนี้
ใช่ แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่เผชิญช่วงนี้มันก็ต้องเผชิญสักช่วงหนึ่งของชีวิตแล้วเราก็รับมือมันดีขึ้นเรื่อยๆ บางวันก็ง่าย บางวันก็ยาก แต่เราเชื่อว่ามันมีพรุ่งนี้เสมอเลย ถึงแม้เราจะไม่รู้ว่า พรุ่งนี้มันจะยากหรือมันจะง่าย แต่มันก็ยังมีพรุ่งนี้ใช่ไหม
แล้วการใจดีตัวเองช่วยให้คุณเดินต่อไปได้ยังไงบ้าง
เราได้กําลังใจในการใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวัน มันคือส่ิงสำคัญมากเลยนะในทุกโลกวันนี้ที่มันง่ายมากที่เราจะยอมแพ้ต่อโลกและชีวิต เราจะเลือกไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ได้ เราจะเลือกใจร้ายกับตัวเองก็ได้ เราจะมองตัวเอง เราคว้าคําพูดของใครบางคน ที่ว่าเราไม่ดีในเรื่องต่างๆ แล้วเก็บมาขยายให้มันใหญ่ในหัวเราก็ได้ แต่ถ้าเราทําแบบนั้น เราจะไม่เหลือกําลังใจในการตื่นมาในวันพรุ่งนี้
อีกเรื่องหนึ่งที่คุณเป็นมาเสมอๆ คือไม่ว่าจะมีใครมาสัมภาษณ์ คุณก็มักจะไม่พูดถึงความสำเร็จของตัวเองเลย ทำไมถึงเป็นแบบนั้น
เราเป็นคนที่รับคําชื่นชมลําบากมาก เราเองก็ไม่ได้เกาะความสําเร็จไว้นาน เราไม่ค่อยอยากเก็บอะไรไว้กับตัวนาน แล้วรวมถึงความสําเร็จด้วยเหมือนกันน่ะ แต่เมื่อปีที่แล้วเราบินกลับไปปีที่แล้วที่อังกฤษ นั่นน่าจะเป็นช่วง exhibition ครบรอบยี่สิบปีด้วย วันที่เราไปถึงเราที่อังกฤษ เป็นวันที่เรารู้สึกว่า success ซึ่งจริงๆ แล้วความรู้สึกว่า success มันแทบจะไม่เกิดกับเราบ่อยขนาดนั้น ที่เรารู้สึกแบบนั้นได้ เพราะเรารู้ว่า เราได้เป็นผู้หญิงที่เราอยากเป็น
ไม่ได้บังคับให้คุณเล่านะ แต่อยากรู้ว่าทําไมถึงมองแบบนั้น
ตอนเราอายุยี่สิบ เราเคยฝันอยากเป็นผู้หญิงคนนี้ในวัยนี้เลย เราเดินผ่านกระจกที่ลอนดอน แล้วเราก็เห็นตัวเราเองในอดีต เห็นผู้หญิงคนนี้ที่เคยไปฝึกงาน เห็นภาพความลําบาก และอุปสรรคทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันทําให้เราสามารถยิ้มกับตัวเองได้ว่า วันนี้ที่เราอายุสี่สิบ เราได้เป็นทุกอย่างที่เราอยากเป็นในตอนยี่สิบแล้ว
ในมิติที่เราพูดนี้มันไม่ใช่ความสำเร็จแบบได้โล่อะไรนะ แต่มันคือความรู้สึกว่า เราได้กลายเป็นผู้หญิงที่ independent ได้แล้วว่ะ เราไม่คิดว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยยืนแจกใบปลิวอยู่ข้างถนน เคยไม่มีเงินพอที่จะขึ้นรถเมล์ เคยทํางานเป็นพนักงานขายเครื่องสําอาง แจกใบปลิว เสิร์ฟ ตอนกลางคืน แต่แล้วยี่สิบปีผ่านไป ผู้หญิงคนนี้คือที่ทําได้ทําสิ่งที่ตัวเองรัก
เชื่อไหมว่า เราไปซื้อของที่เคยอยากได้เมื่อตอนที่ไม่มีเงิน เข้าไปร้านอาหารที่เรา ไม่เคยกล้าหรือมีเงินพอที่เข้าไป แล้วรู้สึกเหมือนชนะตัวเองนะ นี่ไงไอ้ร้านที่เราอยากกินวันนั้น มาวันนี้เราได้มากินแล้วด้วยเงินตัวเอง และวันนี้เราก็ได้พา ทีมที่เรารักมากได้มาที่อังกฤษด้วยกัน เราได้สามารถพาคนมาเปิดโลกไปด้วยกัน
เราได้กลายเป็นผู้หญิงที่สามารถดูแลทีมสิบกว่าคนได้ และสามารถสร้างงานศิลปะที่ inspire ผู้คนและมีประโยชน์ต่อสังคมได้ เราให้ทุนการศึกษาน้องฝึกงานได้ หรือในวันที่เราสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้พ่อเราได้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทําให้เราภูมิใจได้แล้วนะ
เพราะความสำเร็จมันเป็นได้หลากหลายความหมาย
ความสําเร็จมันหลากหลายมากๆ ขึ้นอยู่กับว่าเรานิยามแบบไหน และความสําเร็จสำหรับแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกัน แต่การมีความสุขคือการที่ได้ทําตามใจตัวเองนะ
ถ้าเราต้องรอทำทุกเรื่องให้สําเร็จ เราถึงจะตอบตัวเองได้ชีวิตเราประสบความสำเร็จแล้ว เราว่ามันใจร้ายกับตัวเองไปนิดนึง เมื่อก่อนเราเคยมี mindset ที่ใจร้ายกับตัวเองมากเลย แต่ในทุกวันนี้เรามองความสำเร็จเป็นเดือนๆ เป็นวันๆ เป็นเรื่องๆ ดีกว่ามัน เราเชื่อเรื่อง small win นะ เพราะมันคือสิ่งที่ทําให้เราอยู่ได้
ทําไมคุณถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น
เพราะว่าเมื่อก่อนไม่เคยลุกขึ้นมาทำการบ้านกับตัวเอง แต่พอได้มีเวลาคิดกับตัวเอง เราก็เลยเจออะไรหลายหลายอย่างที่เราไม่เคยเจอในตัวเองมั้งนะ อีกสิ่งหนึ่งที่เราค้นพบเมื่อเร็วเร็วนี้ก็คือ ความเชื่อว่า สัญชาตญาณของตัวเอง เป็นคําตอบที่ดีกว่าสมองตอบอีก
ถึงแม้เราจะมีที่ปรึกษาในหลากหลายสาขา มีคนให้ไอเดียเยอะแยะ มีทีมมากมายหลายแบบ ที่ให้ opinion นี่หนึ่ง สอง สาม ถึงร้อย เต็มไปหมดเลย choice มันเยอะมาก พอเป็นแบบนั้นแล้วเราจะเลือก choice ไหนดีล่ะ? สุดท้ายแล้วสิ่งที่ gut feeling ตอบเราว่าใช่นี่แหละ คือ choice ที่เราควรเลือก
เพราะว่าเมื่อเราได้มานั่งคิดดู อย่างที่บอกว่าจากเด็กแจกใบปลิวข้างถนนคนหนึ่ง มาประสบความสําเร็จประมาณนึงอย่างทุกวันนี้ได้ ก็ด้วย gut feeling เลยนะ เรามีแผนธุรกิจที่ทําเองขึ้นมาโดยไม่ได้มีที่ปรึกษา มันมาจาก feeling เราล้วนๆ มาจากการอ่านหนังสือ มาจากการคิดวิเคราะห์ของเรา นั่นคือสิ่งที่เราใช้มาตลอด
มันไม่ใช่ว่าเราใช้ gut feeling โดยไร้สติ แต่เราอ่าน เราศึกษา เราพูดคุย แล้วดู choices แต่เมื่อถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
เราก็เลือกจากสัญชาตญาณของเราที่บอกว่าอันนี้แหละถูกต้อง เพราะนั่นคือสิ่งที่เราเชื่อ มาตลอด และทําให้เราเป็นเราในวันนี้