เวลานี้หันไปทางไหนก็เจอแต่คนกดไลก์ BNK48 จากเดิมที่เคยนอนอยู่บ้านในวันหยุด กลายเป็นว่า ถ้าไม่ได้ออกไปติดตามดูคอนเสิร์ตของสาวๆ ไอดอลวงนี้ก็รู้สึกเหมือนชีวิตขาดอะไรไปบางอย่าง
ถ้าหาก BNK48 คือประตูทางเข้าให้คนไทยรู้จักวัฒนธรรมไอดอลกันมากขึ้น คงปฏิเสธได้ยากเหมือนกันว่า เฌอปราง อารีย์กุล ก็คงเป็นเมมเบอร์ที่ผู้คนจะนึกถึงเป็นลำดับแรกๆ เพราะนอกจากความสดใสน่ารักแล้ว เฌอปรางยังได้รับตำแหน่งเป็น ‘กัปตัน’ ทำหน้าที่เสมือนหัวหน้าห้องคอยดูแลเพื่อนๆ น้องๆ ในวงร่วม 30 คน
ในช่วงเวลาที่ BNK48 กำลังเดินหน้าสู่เป้าหมายเป็นไอดอลที่ประสบความสำเร็จในไทย The MATTER ชวนเฌอปรางมาพูดคุยกันถึงชีวิตการเป็นไอดอลที่เธอรัก และการนำเอาวิทยาศาสตร์ที่เธอชอบมาใช้ในชีวิตข้างนอกห้องเรียน
เริ่มชอบความเป็นไอดอลตั้งแต่เมื่อไหร่
ตามไอดอลจากอนิเมะเรื่อง AKB0048 ที่มีไอดอลใช้เสียงเพลงต่อสู้กันในอวกาศเพื่อให้คนรักสามัคคีกัน ถัดมาพอรู้ว่ามีวง AKB48 อยู่จริงๆ ก็รู้สึกชอบขึ้นมาเพราะทุกคนน่ารัก สดใส มีพลังงานกันหมดเลย ยิ่งได้รู้จักคนที่ตัวเองชอบมากอย่าง ยามาโมโตะ ซายากะซังก็เลยตามเขาเป็นหลักรวมถึงคนอื่นบ้างตามที่ชอบ
แล้วความชอบในคอสเพลย์เริ่มต้นจากตรงไหน
มาจากความชอบการ์ตูน ตอนเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยก็ชอบทำกิจกรรมไปพร้อมๆ กับการเรียน ในตอนแรกตัวเองไม่ค่อยมีสังคมเพื่อนในมหาวิทยาลัยมากเท่าไหร่ เรียนไปอย่างเดียวก็รู้สึกเบื่อ เลยลองไปคอสเพลย์กับกลุ่มคนที่ชอบคอสเพลย์ด้วยกัน
ได้อะไรจากงานอดิเรกเหล่านี้บ้าง
ได้กลุ่มเพื่อนสนิทมาอีกกลุ่มจากการคอสเพลย์ เพราะชอบในสิ่งเดียวกันเลยได้กลุ่มเพื่อนเพิ่ม และได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เช่นตัดเย็บเสื้อผ้า รวมถึงการแต่งหน้าที่เมื่อก่อนทำไม่ได้เลย ถึงขั้นเกลียดด้วยซ้ำ แต่พอได้มาลองอะไรใหม่ๆ ก็รู้สึกดี รวมถึงได้ภาษาที่ได้คุยกับครอสเพลย์เยอร์ต่างชาติด้วย
ทำอย่างไรกับคนที่มองการคอสเพลย์ในด้านลบ
เราก็ได้แต่พิสูจน์ตัวเอง ตอนแรกพ่อก็ไม่ชอบให้ทำ แต่พอเห็นว่าชุดที่เราทำขึ้นมาเองนั้นมันได้เพิ่มทักษะจริงๆ เช่น สามารถช่วยเย็บกระโปรงให้ที่บ้านได้ หรือเวลาไปข้างนอกเจอเพื่อนรู้จักทักทายกัน เจอคนในหลากหลายสาขามากขึ้นจากที่ตัวเองเคยมีอยู่ ทำให้คุณพ่อก็ยอมรับมากขึ้น
เพราะอะไรถึงมาสมัครเป็นไอดอล BNK48
เพราะความชอบใน AKB48 ทำให้อยากรู้ว่าไอดอลที่เราชอบเขาต้องผ่านอะไรบ้าง ตอนที่รู้ว่ากำลังจะมี BNK48 ก็ดีใจ แต่ตอนแรกอายุเกิน (หัวเราะ) พอเขาเพิ่มเกณฑ์อายุมากขึ้นก็เลยมาลองสมัคร ตอนนั้นคิดมันว่า แค่มีประสบการณ์ออดิชั่นสักหนึ่งรอบ หรือได้ส่งเอกสารไปสมัครก็โอเคแล้ว
พอได้เป็นไอดอลจริงๆ ต่างกับที่คิดมากไหม
ต่างมาก ไม่คิดว่าจะซ้อมขนาดหนักและเผชิญกับอะไรเยอะขนาดนี้ ไม่เคยรู้ว่าต้องซ้อมทุกวัน ต้องร้องเพลง ซ้อมเต้น และเรียนการแสดงหนักขนาดนี้ เราต้องสู้กับตัวเองมากกว่าที่คิด ต้องทำงานหนักมาก เมื่อก่อนเคยสงสัยว่าทำไมไอดอลบางคนเขาไม่อัพโซเชียลให้เห็นบ้างเลย แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว เพราะเวลาทำงานเสร็จก็อยากได้พักบ้าง
การเป็นไอดอลมันสนุกยังไงบ้าง
ได้เล่นกับเพื่อน ได้ขึ้นคอนเสิร์ต เฌอสนุกมากจริงๆ เวลาเชียร์อัพแล้วคนเชียร์ตาม แล้วคนดูเขาเล่นไปกับเรา ส่วนเวลาที่ไม่มีคนเชียร์อยู่ เราก็คิดว่าต้องทำอะไรให้เขารู้สึกสนุกไปกับเรา
อะไรคือเป้าหมายของการเป็นไอดอลของเฌอปราง
อยากให้ BNK48 แข็งแรง เพราะตอนแรกเฌอไม่ได้อยากเป็นนักร้องหรือนักแสดง สิ่งที่เฌออยากทำคืออยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ เราชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า แต่พอได้เข้ามาอยู่ในที่ตรงนี้ สิ่งที่คิดคือ ขออยู่ตรงไหนก็ได้ แต่อย่างน้อยได้ช่วยอะไรในวงก็ยังดี
เป็นไอดอลแล้วต้องยอมเสียชีวิตส่วนตัวไปบ้างไหม
ไม่เชิงเสีย แต่อาจจะเสียอย่างเดียวคือถ่ายรูปกับเพื่อนไม่ได้ เพื่อนก็บ่นนิดนึง แต่เราก็บอกทำนองว่าอย่างน้อยก็ได้เจอกัน แล้วเก็บเป็นความทรงจำเป็นตัวอักษรแทน
คุ้มไหมที่ต้องแลกกับอะไรที่หายไป
ตอนนี้คิดว่าคุ้มนะ เฌอรู้สึกแฮปปี้เพราะว่ามีแฟนๆ ที่ส่งจดหมายตอบกลับมาว่า เขาได้รับแหล่งกำลังใจ มีไฟที่เห็นเราทำสิ่งต่างๆ เราก็แค่ทำของเรา แต่เขาได้รับแหล่งกำลังใจจากสิ่งนี้ ทำให้รู้สึกว่ามันคุ้มมากที่มีโลกอีกใบขึ้นมา เฌอก็รู้สึกว่าได้ช่วยเหลือคน
ต้องเปลี่ยนตัวเองเยอะไหม
เยอะเพราะต้องดูแลตัวเองมากขึ้น ต้องออกกำลังกาย ต้องคีพลุค ต้องออกไปไหนพยายามที่จะแบบดูแลตัวเองหน่อย บางทีก็จะขี้เกียจหน่อย
การคีพลุคนี่ทำให้เราทรมานไหม
ไม่นะ เหมือนกับว่าเวลาจะอยู่ที่ไหน เฌอจะคิดเสมอว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร บางทีมันก็จะออกมาโดยธรรมชาติ เช่น วันนี้ที่มาสัมภาษณ์เราก็ต้องนั่งหลังตรง ต้องมีภาพลักษณ์ที่ดี แต่ถ้ากลับไปอยู่กับที่บ้าน หรืออยู่กับเพื่อนเราก็เป็นอีกรูปแบบนึง ไม่เชิงคีพลุค แต่เป็นปฏิบัติหน้าที่ไปตามแต่ละบทบาทของตัวเองมากกว่า
ภาพของ BNK48 ที่เราเห็นกันโดยส่วนใหญ่คือน่ารัก สดใส ร่าเริง จริงๆ แล้วมีมุมอื่นๆ รึเปล่า
พวกเรามีมุมที่เครียด เหนื่อย และท้อกันเยอะ บางทีเราก็อิจฉาน้องบ้าง หรือบางครั้งก็รู้สึกว่า ทำไมบางคนที่เขาพยายามมากๆ แล้วแต่ยังไม่ได้รับเลือก
ระบบวงที่มีแบ่งเป็นเซนเตอร์ เซ็นบัตสึ อันเดอร์เกิร์ล มันก็ย่อมทำให้บางคนหลุดออกไปจากสปอต์ไลท์ หรือพื้นที่สื่อไปบ้าง เรื่องอย่างนี้ทำให้บรรยากาศในวงมันกดดันไหม
เรากดดันอยู่แล้ว แต่มันเป็นการแข่งขันที่ทุกคนรักกัน เราเอาใจช่วยและเอาใจใส่กันและกัน แต่ก็มีบ้างที่ในใจลึกๆ แล้วเราก็อยากไปยืนอยู่ในจุดตรงนั้นนะ มันเกิดความรู้สึกที่แตกต่างออกไปกัน คือเราก็เอาใจช่วยนะ ก็ดีใจกับเพื่อนที่ได้ แต่ก็รู็สึกว่าทำไมเราไม่ได้บ้าง ในวงมันเหมือนกับการผลัดเปลี่ยนจุดที่ทุกคนได้เปล่งประกายออกมา
แต่ละคนก็มีเป้าหมายของตัวเอง แล้วอย่างนี้ BNK48 หาจุดร่วมกันตรงไหนบ้าง
ผู้บริหารบอกกับเราเสมอว่า พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน ถึงแม้จะมีความชอบแตกต่างกัน แต่สุดท้ายก็ต้องการให้ครอบครัวนี้อยู่กันอย่างมีความสุขและแข็งแรง
พอมาทำงานเป็นไอดอลแล้วได้เจอมุมดาร์คๆ ของตัวเองบ้างไหม
เจอนะคะ เวลาทำอะไรไม่ได้สักที ก็จะไปนั่งกดดันตัวเอง บางครั้งก็ไปเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า เขาพัฒนาได้เร็วกว่าเรา แต่ทำไมเราถึงพัฒนาช้า
ดึงตัวเองขึ้นมาจากสถานการณ์ดาร์คๆ แบบนั้นอย่างไร
เฌอชอบมองรูปไอดอล หรือไม่ก็มองน้องๆ คนอื่นที่เขาไม่ได้ในจุดที่เราได้ เราก็ต้องพยายามแทนในส่วนของเขา เราได้อะไรบางอย่างมาแล้วก็ต้องแชร์ให้คนอื่น
ในฐานะกัปตันทีม ความรับผิดชอบมันมากขึ้นไหม
ยังคงไม่มั่นใจในจุดนี้ พยายามถามทีมงานว่าเราต้องทำอะไรบ้าง แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือเป็นตัวเฌอเหมือนเดิม เขาบอกว่าเฌอมักจะดูแลทุกคนอยู่แล้ว โดยธรรมชาติเป็นคนที่จะคอยกวาดตาสอดส่อง และค่อนข้างไวกับสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ก็จะคอยดูเรื่องส่วนกลางเป็นหลักด้วย
เมื่อตัวเองก็มีเป้าหมาย วงเองก็มีเป้าหมาย รวมไปถึงสมาชิกคนอื่นๆ ก็มีเป้าหมายต่างกันไป แล้วแบบนี้จะเดินไปข้างหน้าพร้อมกันอย่างไร
แต่ละคนคงไม่ได้มีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวในชีวิต พวกเรามีเป้าหมายของตัวเองและของวงที่ไปพร้อมกัน เป้าหมายของวงคือการเป็นแมสให้เป็นที่รู้จักให้มากที่สุด ส่วนของเฌอก็อยากให้วงมีความแข็งแรง เมื่อมีงานเข้ามาเฌอจะรับทำงานเท่าที่จะทำได้ เพื่อเรียนรู้ฝึกฝนไปกับสิ่งที่เข้ามา เพราะฉะนั้น สิ่งที่เฌอทำมันก็จะส่งเสริมกับเป้าหมายที่วงต้องการอยู่แล้ว
สำหรับน้องๆ หลายคนอยากเป็นนักร้องนักแสดง เวลาเข้าออกไปทำงาน เวลาเขามีโอกาสที่เข้ามาเขาก็ทำตรงนั้น แต่สุดท้ายมันก็มีนามสกุลติดห้อยตามอยู่แล้วว่าเป็น BNK48
ในฐานะที่เป็นกัปตัน ถ้ามีอำนาจออกนโยบายอะไรสักอย่างในวง อยากทำเรื่องอะไร
เฌออยากให้ทุกคนมีประชุมกันทุกวัน คือมาอัพเดตว่าวันนี้ตัวเองทำอะไร หรือเจอปัญหาอะไรกันมาบ้าง อยากให้มาแชร์ประสบการณ์กันเยอะๆ เพราะบางทีเราออกไปทำงานแล้วไม่ได้มาเล่าให้กันฟังกันเท่าไหร่ มักจะเอามาเล่าในกลุ่มเล็กๆ ถ้าเราได้คุยกันกลุ่มใหญ่ๆ ได้แชร์ประสบการณ์กัน มันก็จะทำให้กลุ่มต่อไปที่ไปทำงานตรงนั้นก็จะพัฒนาได้เร็วขึ้น
การได้เป็นที่ปรึกษาของสมาชิกในวงหลายคน คิดว่าความรู้สึกที่คล้ายๆ ที่คนในวงเจอกันคือเรื่องอะไร
ทุกคนกดดัน หลายคนรู้สึกว่าเราทำได้ดีพอแล้วหรือยัง บางคนสงสัยว่าทำไมเรามาอยู่ในจุดนี้ได้ ในเวลาเดียวกัน บางคนก็มีคำถามว่า ทำไมเรายังไปถึงจุดที่ตัวเองคาดหวังเอาไว้ไม่ได้สักที ตัวเราเองก็ได้แต่ฟัง เพราะเราก็ตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกัน บางทีพวกเราไม่ต้องการคำตอบ เราแค่ต้องการระบายมันออกมาเฉยๆ
ขึ้นชื่อว่าเป็นไอดอลก็ต้องมีระเบียบมากมายเป็นเงาตามตัว รู้สึกอึดอัดบ้างไหม
ตอนแรกก็รู้สึกอึดอัดนะ รู้สึกว่าต้องเปลี่ยนชีวิตเราขนาดนั้นเลยหรอ แต่เคยคุยกับศิลปินรุ่นพี่ของพวกเราซึ่งเป็นวงข้างนอก เขาบอกว่า การที่เขาเป็นศิลปินในจุดนี้ได้เพราะผ่านอะไรมาเยอะมาก แถมยังต้องเริ่มต้นจากศูนย์ แต่พวกเราเหมือนเริ่มจากสิบ เพราะฉะนั้นการที่เรามีกฏต่างๆ มากมายให้เราอยู่ในกรอบ มันก็เป็นการแลกกัน กฎที่ว่านี้ช่วยให้พวกเราอยู่กันอย่างสามัคคีและไม่เกิดปัญหา
บางคนอาจมองว่า การอยู่ภายใต้กฎหรือกรอบที่เยอะๆ มันก็จะทำให้เราเสียตัวตนไป รู้สึกแบบนั้นไหม
กฎมันไม่ได้ทำให้เราสูญเสียตัวตนขนาดนั้น เพราะเราก็ยังทำสิ่งที่เราชอบได้ เพียงแค่เราต้องรู้ว่าควรแสดงออกไปยังไง กฏมักจะอยู่ในโซนที่ว่าเราแสดงออกได้มากน้อยแค่ไหนแล้วก็อยู่กับโซนตรงนี้ยังไง อย่างคนในวงเราก็คุยกันได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการแสดงออกหรือความชอบของเราไม่ได้ถูกจำกัดขนาดนั้น
ทำกิจกรรมมาแล้วหลายเดือน ได้เจอแฟนคลับเยอะๆ มาให้กำลังใจรู้สึกยังไงบ้าง
รู้สึกดีใจที่มีคนสนับสนุนเรา เรียกว่าใจชื้นละกัน ได้รู้สึกว่าอยู่ตรงนี้ก็มีคนเห็นคุณค่าของเราอยู่นะ
จากคนที่เคยเปย์ไอดอล มาเป็นไอดอลที่ถูกเปย์บ้าง คิดว่าจุดเหมาะสมของการเปย์อยู่ตรงไหน
คิดว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลในการจ่าย เหมือนเราอยากให้บริการอะไรก็จ่ายไปเท่านั้น เฌอได้แต่ขอบคุณที่เขาแฮปปี้ที่ให้การสนับสนุน และขอบคุณที่เขาเห็นคุณค่าของเรา ที่ผ่านมาตอนที่ติดตามไอดอล
เมื่อก่อนเราไม่เคยมีรายได้เป็นหลักเป็นแหล่งมาก่อน สิ่งที่เราทำได้ในฐานะแฟนคลับก็คือตามเก็บสะสมในสิ่งที่เราชอบ มาวันนี้ที่เห็นคนมาสนับสนุนเรา และมีคนให้เราในรูปแบบนั้นเหมือนกัน ก็ยิ่งทำให้เฌอรู้สึกดีใจมากจริงๆ ถ้าเขามีความสุขที่จะให้ เฌอก็พร้อมที่จะรับการสนับสนุนเหล่านั้น
มองความสัมพันธ์ระหว่างไอดอลกับแฟนคลับว่าเป็นอย่างไร
เป็นเหมือนคุณพ่อคุณแม่สนับสนุนลูก เขาสนับสนุนเราเพราะอยากเห็นเราเติบโตมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็เคยให้ในแบบที่หวังว่าจะช่วยให้เขามีความสุข คืออยากให้เราเปล่งประกายต่อไป เขารู้สึกแฮปปี้ที่จะเห็นพวกเราเติบโตและพัฒนา
ในเวลาเดียวกับที่เป็นไอดอล ตัวเราเองก็อยู่ในฐานะนักเรียนคนหนึ่งด้วย เลยอยากรู้ว่าเพราะอะไรถึงเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์เป็นสาขาที่ตอบข้อสงสัยในหลายอย่างให้กับเราได้ สมมติว่า ทำไมน้ำถึงเปลี่ยนสถานะอย่างนี้ พอเรียนไปเรื่อยๆ ก็รู้ว่า พันธะโมเลกุลมันเข้ามาใกล้กัน มันผสานตัวกัน มันตอบคำถามให้กับเฌอได้ ทำให้รู้สึกสนุกที่จะเรียนรู้ไปกับมันเรื่อยๆ
คิดว่าเพราะอะไรที่ทำหลายคนไม่ชอบเรียนวิทยาศาสตร์
อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ค่อยมีคนที่ช่วยอธิบายให้เขาเข้าใจ เฌอเรียนกับโรงเรียนที่วิทยาศาสตร์ถูกอธิบายด้วยการให้ลงมือทำเอง ไม่ได้ผ่านหนังสือขนาดนั้น มันก็ต้องอ่านหนังสือเอง แต่เขาให้เราลองทำอะไรใหม่ๆ เอง เพราะฉะนั้น เฌอจะสนุกกับการที่จะได้ทำ และได้หาเหตุผลที่จะอธิบายมันว่าทำไมถึงเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ถึงแม้จะอธิบายไม่ได้ทั้งหมด แต่เราก็สนุกที่ได้ทำตรงนั้น นอกจากนี้ยังมีคนช่วยยืนยันความเป็นเหตุเป็นผลให้กับเรา และอธิบายให้เราเห็นภาพได้
คิดว่าหลายคนไม่ยอมเปิดใจให้กับวิทยาศาสตร์เพราะไม่มีคนอธิบายให้เห็นภาพ และทำให้เขาถูกปิดกั้นที่จะรับรู้ เหมือนกับที่เวลาเราไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง เราก็ไม่อยากอยู่กับมันแล้ว
แต่ถ้ามีคนที่สามารถอธิบายให้เห็นภาพ ให้เขาเข้าใจได้ ทุกคนก็จะแบบแฮปปี้มากขึ้น เวลาที่เห็นวิทยาศาสตร์ถูกอธิบายเป็นภาพมากขึ้น เฌอรู้สึกว่าการที่เอาความรู้ตรงนี้ไปให้คนอื่นได้เรียนรู้ ทุกคนก็จะอะเมซิ่งเสมอเวลาเจอข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่อธิบายเป็นอะไรที่ง่ายๆ ให้เขาเข้าใจได้ ทุกคนจะชอบมากเสมอ
ถ้าพูดกันแบบวิทยาศาสตร์ การเป็นไอดอลตอนนี้ถือเป็นการทดลองได้ไหม
เฌอเข้ามาเป็น BNK48 เพราะอยากลองดูว่าการออดิชั่นมันเป็นยังไง สำหรับเราแล้วทุกอย่างในชีวิตเป็นการทดลองวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ตั้งสมมติฐาน ทดลอง สรุปผล เริ่มจากความสงสัยว่า ถ้าเราเข้าไปทำแบบนั้นมันจะเป็นยังไง แล้วก็ลองเผชิญหน้ากับมันดู แล้วก็ได้ข้อสรุปออกมาว่าฉันก็สนุกดีเหมือนกัน ฉันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
จริงไหมที่ตอนนี้ผู้หญิงเรียนวิทยาศาสตร์น้อยกว่าผู้ชาย
ตอนมัธยมเฌอเป็นผู้หญิงคนเดียวในห้อง ที่เหลือเป็นเพื่อนผู้ชายที่เรียนวิทยาศาสตร์ ไม่มั่นใจว่าไปอ่านเจอมาจากที่ไหน แต่มีการอธิบายว่า สมองของผู้ชายจะค่อนข้างมีระบบในการคิดเลขและเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์มากกว่าผู้หญิง ส่วนเพศหญิงเป็นเพศที่มี Emotional เยอะกว่า
แต่เฌอเป็นคนแปลกประหลาดเพราะ Emotional ของตัวเองมีน้อย เราก็เลยรู้สึกเข้าใจว่า เพราะอะไรถึงเกิดอารมณ์นี้ขึ้นมากับเรา ดังนั้นพอมันเกิดขึ้นมา เราก็มักจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้มากกว่าคนอื่น
อยากให้ลองเปรียบเทียบระหว่าง ควอนตัมฟิสิกส์ กับ จำท่าเต้น
จำท่าเต้นง่ายกว่า การจดจำด้วยร่างกายมันง่ายกว่าจดจำตัวหนังสือ คือเฌอก็ทำได้แต่รู้สึกว่า ตอนแรกไม่ได้ชอบขนาดนั้น เราเป็นคนประเภทเอาข้อมูลมากางรอบตัวแล้วทำอะไรบางอย่าง อันนั้นเฌอสนุกมากกว่าการที่มาเต้น แต่ถ้าให้เลือกว่าต้องนั่งท่องหนังสือกับเต้น เฌอเลือกเต้นมากกว่าท่องหนังสือแน่นอน
เอาวิธีการเรียนในวิชาวิทยาศาสตร์มาใช้กับการเป็นไอดอลอย่างไร
เนื้อเพลงถ้าร้องบ่อยๆ จำบ่อยๆ เฌอก็จำได้ เหมือนกับตารางธาตุถ้าเขียนบ่อยๆ เราก็จำได้ มนุษย์ทุกคนสามารถทำอะไร ถ้าได้ฝึกฝนทุกวัน หรือได้ทำมันบ่อยๆ เฌอก็เจอมากับตัวว่า บางทีถ้าต้องการจำข้อมูลตรงนี้ เฌอจำมันทุกวันสักอาทิตย์หรือเดือน มันก็จำได้เพิ่มขึ้น ท่าเต้นหรือเนื้อร้องก็เหมือนกัน ถ้าร้องเพลงทุกวันยังไงก็จำได้
อันที่จริงมันก็ใช้ได้กับทุกอย่าง เช่น ถ้าคุณอยากเล่นดนตรี คุณก็เล่นมันทุกวัน ก็จะเก่งขึ้นและจำได้ว่าต้องเล่นยังไง ถ้าพิสูจน์กับตัวเองก็คือ เฌอเรียนไวโอลินตั้งแต่ ป.1-6 เล่นทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ เล่นถึงตอนเรียนมัธยมประมาณ 12 ปี ปัจจุบันนี้ทิ้งไวโอลินไปประมาณสองสามปี มาจับอีกที ร่างกายมันก็ยังจำได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำอะไรบ่อยๆ เยอะๆ ร่างกายมันก็จะจำ ข้อมูลมันก็จะอยู่ในหัวเราไปอีกนาน
รู้ตัวเมื่อไหร่ว่าชอบเรียนวิทยาศาสตร์
น่าจะประมาณ ม.3 เพราะเริ่มรู้สึกว่าไม่ค่อยชอบวิชาภาษาไทย สังคม มันเหมือนเป็นอะไรที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่แล้ว เฌอไม่ชอบเรียนภาษาเท่ากับวิทยาศาสตร์
คิดว่าการศึกษาภาคบังคับ มันเอื้อให้เด็กสมัยนี้ได้เจอสิ่งที่ตัวเองชอบมากน้อยแค่ไหน
ทุกคนถูกบังคับให้เรียนเหมือนกัน มันเลยไม่ค่อยเปิดโอกาสให้กับเราขนาดนั้น เรายังคงต้องเรียนสิ่งที่เราไม่ชอบอยู่ เฌอเปรียบเทียบไม่ได้ขนาดนั้นเพราะตอนมัธยมเรียนมาอีกแบบ แต่ตามความเข้าใจคือ เราควรเรียนทุกอย่างจนถึง ม.ต้น เรียนทุกวิชาเพื่อที่จะได้รู้ว่าตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไร แล้วก็มีพื้นฐานในระดับหนึ่งที่จะเอาไว้ใช้ในชีวิตประจำวันได้ แล้วหลังจากนั้นควรจะได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองมี Passion ที่จะเรียนมากกว่า
ถ้าถามว่าการศึกษาปัจจุบันเปิดให้เลือกได้มากแค่ไหน ก็ถือว่าเยอะอยู่นะ เพราะเราเรียนพื้นฐานทุกอย่างเหมือนกันหมด แต่บางทีก็อยู่ที่คนสอนด้วยว่าทำให้เราสนุกกับสิ่งที่เราเรียนมากแค่ไหน
เวลาพักผ่อนทำอะไร เล่นเกมไหม
ชอบเล่นพวก RPG เป็นแนวเกมสตอรี่ที่ดำเนินเนื้อเรื่องแบบสวมบทบาทตัวละครตัวนึง แล้วก็เดินไปตามเรื่องราว
ถ้าเฌอปรางเป็นตัวละครในเกม RPG อยู่เลเวลไหนแล้วของการเป็นไอดอล
เฌอน่าจะเป็น Beginner เก็บแต้มมาได้บ้างแล้วกำลังเข้า Class ระดับหนึ่ง กำลังจะได้สวมอาวุธอีกขึ้น ตอนแรกใช้ของ Beginner ตอนนี้กำลังจะได้อีกหนึ่งขั้น
ถ้าเปรียบเทียบการเป็นไอดอลคือเกมชนิดหนึ่ง คิดว่าเรามีด่านอะไรต้องพิชิตบ้าง
เป็นด่านที่ต้องเดินตามตาราง แล้วเราต้องหลบเลี่ยงจุดต่างๆ ต้องกระโดดไปให้ถูกจุดเพื่อที่จะไปให้ถึงอีกฝั่งหนึ่ง คิดว่า BNK48 กำลังผ่านด่านตรงนั้นอยู่ เรากำลังเป็นกลุ่มที่ก้าวเท้าไปลองในพื้นที่ต่างๆ ว่ามันจะเจอกับอะไรบ้าง เราทำถูกไหม ผิดไหม เราอยู่ในช่วงทดลองว่า ต้องก้าวไปทางไหนถึงจะถูกต้อง
พอพูดถึงชื่อ BNK48 คนก็น่าจะนึกถึงกรุงเทพ ถ้าได้วงของเราได้เป็นตัวแทนโปรโมทการท่องเที่ยวกรุงเทพจะนำเสนอเรื่องอะไรบ้าง
ตามเนื้อเพลง BNK48 เลย สถานที่ท่องเที่ยวเรามีความโดดเด่นด้านวัฒนธรรม วัด อาหาร ศิลปะ ของพวกเราไม่มีชาติไหนเหมือน เพราะฉะนั้นถ้าชูเรื่องวัด ตลาด อาหารการกินขึ้นมาได้ มันก็จะเป็นสิ่งหลักๆ ที่ทำให้กรุงเทพโดดเด่น
ชีวิตที่ต้องเข้าเมืองมาทำงานบ่อยๆ เคยเจอปัญหาอะไรที่น่าเบื่อในเมืองบ้างไหม
ชีวิตในเมืองน่าเบื่อตรงที่รถติดนี่แหละ เฌอมองว่าวางผังเมืองกันมายังไง แต่ก็เข้าใจว่าบางทีอาจจะไม่ได้วางแผนในระยะยาวขนาดนั้นเอาไว้ บางทีเราก็ไม่ได้มองกันในระยะยาว ผังเมืองตอนแรกที่มันโผล่มาแบบหนึ่ง ถึงแม้เราพยายามจะปรับเปลี่ยน แต่ด้วยความที่มันเป็นของเก่า มันเป็นวัฒนธรรม เราก็ไม่อยากจะเปลี่ยนมัน ทำให้บางทีก็ได้แต่สร้างสะพานข้ามเพิ่ม ทำนู่นทำนี่เพิ่ม แล้วมันก็รถติด
อยากจะเปลี่ยนอะไรในกรุงเทพบ้าง
เฌออยากเปลี่ยนผังเมือง รู้สึกว่ามันก็มีความเป็นระเบียบของมัน แต่มันก็ยังอยู่แบบกระจัดกระจายแล้วแปลกๆ อยู่ในหลายมุมมอง ทำให้มันเกิดปัญหาหลายอย่างตามมาเพราะวางผังไว้ไม่ดีพอ
เวลาเจอกับปัญหาที่เกิดขึ้น คิดว่าตัวเองเป็นคนที่อยากเข้าไปเปลี่ยนแปลง หรือ อยากหลบหนีไปจากมันมากกว่ากัน
ก็มีความอยากเปลี่ยน แต่บางทีก็ปล่อยความรู้สึกนี้ไป เพราะในบางครั้งมันเป็นปัญหาที่เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้ เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับผู้คนเยอะแยะมากมาย คือจริงๆ เราก็อยากจะเปลี่ยนมันเหมือนกันนะ แต่มันเป็นการเปลี่ยนทัศนคติคนหมู่มาก เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยาก
คิดว่าการเป็นไอดอลสามารถผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมได้ไหม
เรากลายเป็นคนที่พูดอะไรออกไป แล้วมีคนฟังมากขึ้น นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เฌอคุยกับพ่อว่า การเป็นไอดอลสามารถช่วยให้เฌอสามารถพูดเรื่องวิทยาศาสตร์ให้กับคนหมู่มากได้มากขึ้น
เรื่องนี้อาจารย์ก็พูดเหมือนกัน ตอนที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะเข้ามาเป็น BNK48 ดีไหม อาจารย์บอกว่า ถึงแม้เราเป็นนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ทำเปเปอร์ออกมาหนึ่งฉบับ เป็นความรู้หนึ่งองค์ความรู้ เราได้แต่พิมพ์มันออกไป ไม่รู้ว่ามีคนได้อ่านมันมากน้อยแค่ไหน ถ้าเฌอได้เป็นกระบอกเสียงเพิ่มขึ้น ทำให้คนได้รับรู้ถึงข้อมูลตรงนี้ได้ง่ายขึ้น หรือมากขึ้น มันก็จะเป็นประโยชน์มากกว่าการเป็นนักวิทยาศาสตร์เฉยๆ เพราะฉะนั้นก็เลยมาลองทำดูสิ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร
มองไปอนาคตข้างหน้า อยากเห็นวัฒนธรรมไอดอลในไทยเป็นยังไงบ้าง
มันเป็นอะไรที่ใหม่อยู่เลย ในเมืองไทยไม่ค่อยมีมาก่อน
พอเป็นเรื่องใหม่แล้ว ต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
เราต้องเผชิญกับความคิดของคนรุ่นเก่าแน่ๆ อยู่แล้ว บางทีเขาก็ไม่ยอมรับอะไรที่มันใหม่เท่าไหร่ มันคือสิ่งที่ต้องเจอว่าจะทำให้เขายอมรับได้อย่างไร เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ได้เสียหายหรือไม่มีประโยชน์ ทุกอย่างมันมีประโยชน์ในแบบของมันเอง แค่เป็นประโยชน์ที่เขายอมรับได้รึเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกคนทำมันมีประโยชน์ในนัยยะของมันเอง เหลือแค่ว่าเรามองเห็นประโยชน์ของมันรึเปล่า
คิดว่าวัฒนธรรมไอดอลในอนาคตของบ้านเราจะมีหน้าตาเป็นแบบไหน
พวกเราจะพิสูจน์ตัวเองว่า สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนอื่นได้เหมือนกัน ในอนาคตอาจจะมีคนยอมรับเรามากขึ้น คงจะมีคนเห็นพวกเราร้องเล่นเต้น และมอบความสุขให้กับผู้อื่นได้มากขึ้น เชื่อว่าสังคมก็น่าจะสนับสนุนพวกเรามากขึ้น ในอนาคตอาจจะมีคนที่อยากเข้ามาเป็นไอดอล อยากเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงสังคม และมีคนฟังในสิ่งที่เราพูดออกไปมากขึ้น
ถ้าอนาคต BNK48 จะมีเลือกตั้งเหมือนกับ AKB48 คิดว่าตัวเราเองจะใช้นโยบายอะไรในการหาเสียงให้ตัวเองบ้าง
เฌอพยายามทำให้ดีในทุกๆ อย่างที่เฌอเป็น จะพยายามทำทุกด้านให้ดีที่สุด ขอฝากตัวด้วยนะคะ