บทสัมภาษณ์โดย ปฏิกาล ภาคกาย
เป็นเอก รัตนเรือง บอกผมว่า เขาขึ้นชื่อเรื่องการทำที่อัดเสียงของนักสัมภาษณ์เจ๊ง หลังเห็นผมนั่งแกะถ่านเข้าๆ ออกๆ แล้วนั่งหน้าถอดสีเมื่อพบว่าเครื่องอัดเสียงแสดงอาการติดๆ ดับๆ ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มสนทนา
ผมบอกเขาว่า ไม่เป็นไร ใช้โทรศัพท์มือถืออัดก็ได้
เป็นเอกหัวเราะ แล้วถามทันทีว่า ตกลงคุณมาคุยเรื่องอะไรนะ
อยากชวนคุยเรื่องชีวิตช่วงนี้ แต่หลักๆ ก็เรื่องการทำงานเป็นผู้กำกับ เห็นว่านับตั้งแต่คุณทำหนังเรื่องแรก (ฝัน บ้า คาราโอเกะ) จนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าปีที่ 20 แล้ว ในฐานะผู้กำกับคนหนึ่ง คุณจะทำหนังไปอีกนานมั้ย และในฐานะของคนทั่วไป คุณมีความสนใจอะไรบ้าง
ผมตอบพลางก้มหน้างุดๆ กดเข้าแอพพลิเคชั่นบันทึกเสียง แล้วเริ่มต้นการพูดคุยกับเป็นเอกในวันที่อายุของเขาก้าวเข้าเลข 55 พอดิบพอดี
The MATTER : นอกจากเตรียมทำหนัง ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต แล้ว ตอนนี้คุณทำอะไรอีก
กำกับโฆษณา ก่อนหน้านี้มีสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยมหิดลด้วย เป็นคลาสไดเรกติ้ง แต่ช่วงนี้ยุ่งเลยขอเขาหยุดก่อน การสอนหนังสือมันใช้พลังเยอะมาก สอนไปสอนมาแบตฯ หมดเหมือนกัน หรือบางครั้งข้อมูลหมด ก็ต้องกลับมาอัพเดตตัวเอง ต้องชาร์จแบตฯ บ้าง
The MATTER : ทำไมคุณไม่สอนสิ่งเดิม
ผมจะใช้ข้อมูลเดิมก็ได้นะ เพราะพอเปลี่ยนเทอมนักเรียนก็เปลี่ยนหน้าไป เขาไม่มารู้หรอกว่าผมสอนแบบเดียวกับรุ่นก่อนหน้า แต่ปัญหาคือถ้าผมจะสอนสิ่งเดิม ผมต้องมีแรง inspire นักเรียนให้ได้เท่ากับหรือมากกว่าเทอมก่อนหน้าด้วย ห้ามน้อยกว่าเด็ดขาด ซึ่งมันยากไง ผมเลยขออัพเดตตัวเองดีกว่า
The MATTER : คุณเจอนักศึกษาแบบไหนบ้าง
ขึ้นๆ ลงๆ คือนักเรียนที่ผมสอนส่วนมากอยู่ปีสอง ซึ่งบางทีอาจเด็กไปหน่อยสำหรับการเอาคนอย่างผมไปสอน เพราะผมสอนจากประสบการณ์ ถ้าคนที่เรียนมีประสบการณ์มากหน่อยมันจะเข้าใจกันง่าย แต่พอเขายังไม่เคยลงสนามจริง ครึ่งหนึ่งที่ผมพูดไป เขาอาจไม่รู้เรื่องเลย
เทอมไหนถ้าโชคดีก็จะมีนักเรียนแจ๋วๆ เยอะหน่อย แต่บางเทอมก็เจอแบบที่ไม่สนใจเลยนะ แบบไม่ได้อยากมาเรียนสิ่งนี้ ซึ่งพอเจอแบบนี้เราต้องใช้พลังเยอะมาก เพราะต้องสอนด้วย ต้องทำให้เขาเข้าใจด้วย แล้วไหนจะมีคนเล่นมือถือจนรบกวนการสอนอีก เวลาเจอแบบนี้มันหมดกำลังใจ ไม่ชอบ ไม่อยากเจอ ตอนหลังผมเลยใช้วิธีว่า “ไม่สนก็ช่างมึง” (หัวเราะ) มึงอยากนั่งเล่นมือถือ กินข้าวระหว่างกูสอนก็ตามสบาย เชิญ เราก็สอนต่อไป เพราะในหมู่คนเหล่านั้นก็จะมีคนที่โอเคอยู่ ซึ่งถ้าเทอมไหนเจอนักเรียนดีๆ เยอะ เราก็จะมีแรงหน่อย
ที่จริงผมชอบการสอนหนังสือนะ มันไม่สนุกหรอก แต่มันบังคับให้เราต้องดูหนัง เพราะต้องเอาหนังไปให้เด็กดู ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจได้ ต้องเบรกดาวน์ซีนต่างๆ ให้เขารู้เรื่องได้ เราก็ต้องใส่ใจกับหนังเป็นพิเศษ ดูกลับไปกลับมา นั่งโน้ตความคิด แล้วก็เอาไปจับกับประสบการณ์ที่เรามี เรียงลำดับให้เป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งดีกับเรานะ ไปๆ มาๆ ผมน่าจะได้เรียนรู้มากกว่าเด็ก เพราะนอกจากได้ทบทวนการทำงานของตัวเองแล้ว เวลาเด็กทำหนังทำอะไรกัน ผมก็ได้รู้ว่ามันทำแบบนี้ได้ด้วย คือความที่เด็กเขาไม่มีเวลา ไม่มีงบ เขาก็ต้องหาทางลัด ใช้วิธีแบบมวยวัด ซึ่งบางทีมันก็ดันออกมาดีไง เราเห็นแล้วก็รู้สึกว่า ต่อไปกูไม่ต้องไปเสียเงินขนาดนั้นแล้ว ทำแบบมันเลยดีกว่า ง่ายกว่า แล้วถ้ากูทำมันจะยิ่งเวิร์กกว่านี้อีก เพราะกูมีประสบการณ์ มีอุปกรณ์ที่ดีกว่า ทีมงานดีกว่า ถ้ากูขโมยของมันมาทำ ต้องเวิร์กกว่าแน่ๆ ขอบคุณว่ะ (หัวเราะ)
ที่จริงผมชอบการสอนหนังสือนะ มันไม่สนุกหรอก แต่มันบังคับให้เราต้องดูหนัง เพราะต้องเอาหนังไปให้เด็กดู ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจได้
The MATTER : คุณให้เกรดนักศึกษายังไง
ก็มีงาน มีแบบฝึกหัดให้เขาทำนะ แต่เกรดวิชาผมโคตรง่ายเลย มีแต่ A กับ B เพราะเราไม่สนใจเรื่องเกรดมาตั้งแต่สมัยเรียนเองแล้ว คือจะอะไรกันนักกันหนากับเกรดวะ ต่อให้ได้ B ได้ A แล้วภูมิใจ มึงก็รู้ตัวอยู่ว่าทำแค่ไหน เกรดสำหรับผมเลยเหมือนทำบุญน่ะ คุณทำเท่าไหร่ก็ได้เท่านั้น
แต่เด็กที่ผมสอนเขาก็ไม่ใช่เล่นๆ นะ ทำหนังกันจริงจัง โปรดักชั่นอย่างดี หลายคนทำได้เหนือความคาดหมาย เรื่องผลิตหนังออกมาให้หน้าตาดี ผมว่าเด็กสมัยนี้ไม่มีปัญหาตรงนั้นแล้ว
The MATTER : ปัญหาอยู่ตรงไหน
เทคโนโลยีทำให้ทุกคนเหมือนกันหมด ตัดต่อ ทำเสียง หรือแม้กระทั่งตัวเรื่อง อีกอย่างคือพอทำได้ง่ายขึ้น ความอดทนมันน้อยลง ความลึกซึ้งมันก็น้อยลงไปด้วย สมัยที่ผมเริ่มทำหนังใหม่ๆ การทำหนังเป็นเรื่องยากมาก ฟิล์มแพงมากนะ ถ้าคุณยังเป็นนักศึกษาอยู่ จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อ หรือต่อให้มีเงินซื้อจะได้สักกี่ม้วน ยังไม่พอ กองถ่ายต้องใช้ไฟดวงใหญ่มาก (ผายมือออกกว้าง) แล้วไหนจะต้องมีทีมงานกองถ่ายอีก เป็นนักศึกษาจะเอาปัญญาที่ไหนไปทำ เพราะฉะนั้นสมัยก่อนกว่าจะได้กำกับหนังเรื่องนึง คุณต้องอดทน ค่อยๆ ไต่เต้า การนั่งดูคนอื่นเขาทำ มันจะทำให้เราเกิดความลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็คิดถึงชีวิตหรือหนังที่เราอยากทำมากขึ้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแล้วไง อยากทำก็ทำได้เลย ความลึกซึ้งมันเลยหายไป กลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้ทำหนังเพราะความคิดว่า “ผมอยากทำหนังแบบนี้ เพราะชอบผู้กำกับคนนี้”
The MATTER : การมีเทคโนโลยีที่ทำให้เราทำหนังได้ง่ายขึ้น ถือว่าดีหรือไม่ดีสำหรับวงการภาพยนตร์
ไม่รู้เลย คนทำหนังรุ่นใหม่ฉลาดกว่าคนรุ่นผมมาก ฉลาดในที่นี้คือฉลาดทุกเรื่องด้วย ทำพีอาร์เป็น ทำการตลาดได้เก่งกว่าผมไม่รู้กี่เท่า ผู้กำกับสมัยนี้เขาทำกันได้ทุกอย่าง ส่วนผมทำได้แต่หนัง ทำอย่างอื่นไม่เป็นเลย
ผมคิดว่าอนาคตของคนทำหนังน่าจะสดใสขึ้น อย่างน้อยคนทำหนังอินดี้น่าจะลืมตาอ้าปากได้มากกว่าคนรุ่นผมเยอะ เมื่อก่อนทำหนังเสร็จไม่รู้จะเอาไปฉายที่ไหน เดี๋ยวนี้โรงภาพยนตร์ก็ให้พื้นที่ จะไปเช่าโรงฉายเองก็ได้ เทคโนโลยีอะไรก็สะดวก
แต่พอหนังถูกทำได้ง่ายขึ้น คุณก็ต้องยอมรับว่าจำนวนขยะก็เยอะขึ้นด้วย ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนผมทำ ฝัน บ้า คาราโอเกะ ปีนั้นทั้งปีมีหนังไทยแค่เก้าเรื่อง และในจำนวนนั้นมีหนังดีถึงสามเรื่อง คือ 2499 อันธพาลครองเมือง ของพี่อุ๋ย (นนทรีย์ นิมิบุตร) เรื่องนี้ได้เงินมหาศาลเลยนะ สมัยก่อนค่าตั๋วไม่กี่บาทเอง แต่ได้เงินไป 70 ล้าน เทียบกับสมัยนี้ก็เหมือนได้ร้อยล้านอยู่นะ แล้วก็มี ท้าฟ้าลิขิต ของออกไซด์ (ออกไซด์ แปง) และก็ ฝัน บ้าฯ เฮ้ย แม่งเปลี่ยนวงการเหมือนกันนะ (หัวเราะ) คือผมจะบอกว่านี่มันหนึ่งในสามเลยนะ แล้วปีนั้นยังมีสองสามเรื่องที่ถือว่าใช้ได้ มีห่วยแค่สองเรื่อง แต่สมัยนี้หนังไทยเข้าฉายหกสิบเรื่องต่อปี มีดีประมาณสามเรื่องเท่าเดิมเลย แล้วคุณจะไปโทษว่าคนไทยไม่ดูหนังไทยไม่ได้นะ ก็มันดูไม่ได้น่ะ เขาเข้าไปดูแล้วเจอขยะ พอเข้าไปดูอีกทีก็ยังเจอขยะอีก มันไม่โดนอันที่ดีสักที ซึ่งเมื่อก่อน จำนวนหนังที่ดีมันเท่าปัจจุบัน แต่ขยะมันน้อยกว่ายี่สิบเท่าได้มั้ง การเดินเข้าไปเจอของดีมันเลยง่ายกว่า
The MATTER : ขอย้อนกลับไปที่หนังอินดี้ คุณบอกว่าน่าจะลืมตาอ้าปากได้ แต่ดูเหมือนว่าทุกวันนี้พวกเขาก็ยังได้รับพื้นที่น้อยอยู่นะ
ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปตามกลไกของตลาดทุนนิยมด้วยนะ การที่เราทำหนังได้ตามใจชอบ มันคือกลไกของระบบทุนนิยม เพราะถ้าคุณอยู่เกาหลีเหนือ คุณเลือกไม่ได้ คุณต้องทำหนังโปรโมตท่านผู้นำอย่างเดียว เพราะงั้นเมื่อคุณเลือกที่จะมีอาชีพอยู่ในกลไกของระบบทุนนิยม คุณก็ต้องยอมรับความไม่แฟร์ของมันด้วย ระบบนี้มันไม่แฟร์ มัน take อย่างเดียว คุณทำหนังออกมา เขาไม่สนใจหรอกว่าหนังคุณเป็นศิลปะหรือเปล่า หนังคุณคือสินค้า มันเหมือนแชมพู ถ้าแชมพูนี้ไปสระผมคนจำนวนได้เยอะ คุณก็ได้โรงเยอะ แต่ถ้าแชมพูคุณหน้าตาไม่เหมือนแชมพู เทมาไม่มีฟอง มีแต่กากอะไรก็ไม่รู้ แล้วคุณบอกว่า นี่เป็นแชมพูที่โคตรดีเลยรู้เปล่า ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ใช้แชมพูนี้กัน มันไม่ทำให้โรงหนังให้โรงคุณเยอะขึ้นหรอก
The MATTER : ถ้าอย่างนั้น คนทำหนังควรทำยังไง
ทำหนังสนุกๆ ที่คุณภาพดีๆ ผมชอบหนังฮอลลีวูดยุคนึงมาก โคตรดีเลย แถมทำเงินด้วย เป็นหนังยุค 60s ปลายๆ ถึง 70s ทั้งหมด พวก The Godfather, Annie Hall, Manhattan, Midnight Cowboy, Tootsie ยุคนั้นหนังตลาดกับหนังอาร์ตใกล้กันมาก อาร์ตก็ไม่อาร์ตจ๋า ตลาดก็ไม่ทุเรศ อย่าง The Godfather นี่เป็นหนังตลาดนะ หรือ Taxi Driver นี่อาร์ตตรงไหน สนุกฉิบหาย คือเราว่าถ้าอยากจะเบ่งบานแล้วไม่ทุเรศ เราน่าจะทำหนังแบบนั้นกันมากๆ เพราะอุตสาหกรรมฮอลลีวูดตอนนั้นก็เบ่งบานมาก โดยไม่ต้องพึ่งการ์ตูนมาร์เวล
The MATTER : เรื่องนี้น่าจะขึ้นอยู่กับสตูดิโอด้วยหรือเปล่า
ถูกต้องเลย สมัยผมทำหนังใหม่ๆ เป็นช่วงต่อสู้กันระหว่างสตูดิโอกับคนทำหนังว่าใครจะมีอำนาจ คือก่อนผมเข้ามาทำสตูดิโอมีอำนาจมาก สั่งให้ผู้กำกับทำแต่หนังแบบกระโปรงบานขาสั้น ซึ่งวันหนึ่งก็จบชีวิตไป ไม่ได้เงินแล้ว แต่พอมายุคผม พี่อุ๋ย วิสิทธิ์ เข้ามาทำ ตอนนั้นสตูดิโองงอยู่ เพราะหนังไทยก่อนหน้านี้เจ๊งกันไปหมด ล่มสลาย เขาเลยไม่สามารถสั่งพวกเราได้ คือเขาก็ไม่รู้ว่าทำอะไรแล้วจะสำเร็จ หนังไทยยุคนั้นเลยมีความหลากหลาย แต่พอมายุคนี้ ทั้งสตูดิโอและผู้กำกับก็ไม่มีอำนาจด้วยกันทั้งหมด ปัจจุบันคนมีอำนาจคือ ‘โรงหนัง’ เขาจะให้ฉายกี่โรงขึ้นอยู่กับเขาทั้งหมด
ถามว่าแฟร์มั้ย ไม่แฟร์นะ แต่นี่คือระบบทุนนิยม ระบบนี้ไม่เคยประกาศตัวว่าแฟร์อยู่แล้ว และเอาจริงๆ โลกนี้มีระบบไหนแฟร์บ้าง ไม่มีนะครับ สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุด แต่ก็ไม่ได้แฟร์ร้อยเปอร์เซนต์น่าจะเป็นระบอบสังคมนิยม ไม่ใช่คอมมิวนิสต์นะ คือทุกคนอยากทำอะไรก็ได้ แต่เมื่อคุณมีพอแล้วก็แบ่งปันคนไม่มีบ้าง คนรวยก็ต้องจ่ายภาษีเยอะหน่อย ซึ่งสุดท้ายมันก็ไม่แฟร์หรอกครับ ไม่มีระบบไหนทำได้จริงหรอก
ผมเลยเลิกบ่นเรื่องความไม่ยุติธรรมของอุตสาหกรรมหนังมานานแล้ว เพราะว่าถ้าอยากจะทำสิ่งนี้อยู่ก็อย่าบ่น ก้มหน้าก้มตาสู้กับแม่งไป ทุกวันนี้ผมก็สู้นะครับ หนังของผมไม่มีเรื่องไหนหาเงินได้ง่ายๆ ต่อให้มีชื่อเสียง มีคนรู้จักทั้งอุตสาหกรรม กว่าจะได้เงินมาสักแสนเลือดตาแทบกระเด็นทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น ถ้าจะทำก็ก้มหน้าก้มตาทำไป นานทีก็มารวมตัวกินเหล้า บ่นๆๆๆ แล้วก็กลับไปก้มหน้าก้มตาทำหนังกันต่อ
นี่คือระบบทุนนิยม ระบบนี้ไม่เคยประกาศตัวว่าแฟร์อยู่แล้ว และเอาจริงๆ โลกนี้มีระบบไหนแฟร์บ้าง ไม่มีนะครับ
The MATTER : การทำหนังเหมือนการต่อสู้
ใช่ ผมคิดอยู่ทุกวันว่าต้องสู้ เพราะถ้าผมยังสู้อยู่ คนอื่นก็น่าจะมาสู้ด้วยกัน เพราะเราชอบในสิ่งที่เราทำ แล้วก็เลิกทำไม่ได้ด้วย ถามว่าทำไมเลิกไม่ได้ ก็เพราะว่ามันเสพติด อีกอย่างคือยังมีคนให้ทำอยู่ แม้จะหายากขึ้นทุกวัน แต่ว่าบวกลบคูณหารแล้ว สองปีผ่านไปผมก็หาเงินได้ครบนะ กระเบียดกระเสียรสักหน่อยก็ทำได้ ผมเลยยังทำอยู่ ยังสู้อยู่
The MATTER : ทำมาตั้ง 20 ปี ความเสพติดไม่ลดลงบ้างเหรอ
ลด แต่ไม่ได้ลดในจำนวนที่เลิกเสพได้ ตอนนี้ถ้าไม่ได้เสพก็ไม่เป็นไร คอนโทรลตัวเองได้ แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคือลงแดงเลยนะ ยกตัวอย่าง ถ้าเกิดว่าต้องเลื่อนเปิดกล้อง ผมชักดิ้นชักงอเลย ฟาดหัวฟาดหาง ต้องโวยวายว่าเกิดอะไรขึ้นวะ เคยโวยวานจนนายทุนถามว่า “นี่มึงมาขอเงินกู หรือกูมาขอเงินมึงเนี่ย” แต่ตอนนี้เลื่อนก็โอเค ได้ เจอกัน พร้อมเมื่อไรปลุกนะ งั้นตอนนี้ขอไปงีบก่อน คือทัศนคติเปลี่ยนไป ความคันมือคันไม้ กระตือรือร้อนน้อยลงเยอะ
The MATTER : แล้วมีความเบื่อบ้างมั้ย
ไม่เบื่อ ถ้าเบื่อก็เลิกไปนานแล้ว การทำหนังมีความหมายกับชีวิตผมมาก พูดงี้ดีกว่า ผมสนุกกับการทำหนังมากกว่าจะทรมานกับมัน ความทรมานไม่เคยเกิดขึ้นเลยทั้งๆ ที่มันยากโคตรๆ มีแค่ความอึดอัด เช่น ทำไมคิดบทไม่ออกวะ หรือบางทีมีทางเลือกให้สามทาง ผมดันไปเลือกทางที่ห่วยที่สุด จะกลับตัวก็ไม่ได้ ต้องฝ่าต่อไป ซึ่งต่อให้ต้องดีลกับชอยส์ที่แย่สุด ผมก็ยังสนุก มันเหมือนได้ยาคุณภาพไม่ดี แต่เสพแล้วแม่งก็เมาอยู่ดี อาจไม่เมาดีเท่าอันนั้น แต่คนมันเสพติด ได้เมาก็โอเคแล้ว (หัวเราะ)
อีกอย่างคือ เพราะผมไม่ยอมทิ้งความเป็นมือสมัครเล่นไปด้วยมั้ง มันคือความไม่ค่อยรู้อะไรมาก อยากลองนั่นลองนี่ก็ลอง บางทีเห็นหายนะลางๆ อยู่ข้างหน้าก็เดินไปหามัน เพราะอยากรู้ เดินไปข้างหน้าแบบมืดๆ คลำๆ ไป นี่แหละความเป็นมือสมัครเล่น เพราะการทำหนังเป็นสิ่งที่ทำให้เชื่องไม่ได้เลยนะ เริ่มโปรเจกต์ใหม่ก็เหมือนต้องรับมือกับสัตว์ตัวใหม่ ซึ่งตัวที่แล้วกว่าจะเอาอยู่ล่อไปสามปี เราก็ต้องงัดกับมันไปเรื่อยๆ แล้วไม่มีสัตว์ตัวไหนที่เหมือนกันสักครั้ง การทำหนังแต่ละเรื่องเลยเหมือนได้เปลี่ยนความท้าทายใหม่
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำหนังมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราทั้งหมด ถ้าเกิดคนที่เขาสนับสนุนเลิกสนับสนุน พอละ…กูไม่ไหวกับมึงแล้ว ถึงตอนนั้นผมก็ต้องเลิกไปโดยปริยาย
การทำหนังมีความหมายกับชีวิตผมมาก พูดงี้ดีกว่า ผมสนุกกับการทำหนังมากกว่าจะทรมานกับมัน
The MATTER : ถ้าไม่ได้ทำหนัง คุณจะทำอะไร
อยากเป็นช่างไม้ (หัวเราะ) แต่ทำไม่เป็นเลยนะ คงต้องไปเรียน คือเราเป็นคนค่อนข้างสันโดษ โดยนิสัยแล้วชอบอยู่คนเดียว ทำงานเงียบๆ ตามลำพัง แต่การทำหนังไม่มีวันเป็นแบบนั้นได้ เวลาอยู่กองถ่ายนี่สามสิบคนขึ้นไปเสมอ หรือถ้าวันไหนมีสตันต์มีทำฝนเทียม คนแม่งเป็นร้อย แล้วทุกคนต้องยุ่งกับเราตลอดเวลา ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราชอบเลย แต่ต้องทำ เพราะนั่นคือธรรมชาติของการทำหนัง
แต่อย่างที่บอกว่าไม่ได้เป็นคนชอบความอึกทึก เลยคิดว่าเป็นช่างไม้ดีกว่า อยู่เงียบๆ ทำคนเดียว เดี๋ยวจะย้ายบ้านไปอยู่เชียงใหม่แล้ว คงไปสร้างโรงไม้ไว้ที่นั่น
The MATTER : อยากปลีกตัวเลยเหรอ
ไม่ถึงขั้นไปเป็นฤาษีหรือไม่ยุ่งกับใครเลยนะ ยุ่งได้ แต่ถ้าได้ทำอะไรเงียบๆ ใน pace ของตัวเองไปเรื่อยๆ ก็น่าจะดี ทุกวันนี้ไม่ได้ต้องการเงินอะไรมากมายนัก คือไม่ได้มีเงินเยอะนะ แต่คิดว่าน่าจะพอเลี้ยงตัวเองได้ เพราะตัวเราก็ยังพอทำงานทำการได้อยู่ มีความรู้ มีประสบการณ์ชีวิต อยากทำอะไรก็ยังมีคนเอามาให้ทำอยู่ เรื่องตกงานคงไม่มี เลยอยากไปลองเป็นช่างไม้ เพราะเอาเข้าจริง ทำหนังมันมีข้อแม้ที่ขึ้นอยู่กับคนอื่นเยอะ ทั้งจังหวะของชีวิต ทั้งดินฟ้าอากาศ ทั้งเงินทุน เรื่องทุนนี่ผมอาจโชคดีหน่อย เพราะคนส่วนมากที่เอาเงินมาลงทุนกับหนังผม เขาเชื่อในตัวเรา ไม่มีประเภทเอาเงินมาลงแล้วสั่งจะเอาไอ้นั่นไอ้นี่ เขาแค่อยากให้ผลลัพธ์ออกมาอย่างที่เราอยากให้เป็น อาจจะมีข้อแม้นิดๆ หน่อยๆ เพื่อเมคชัวร์ว่าจะไม่ขาดทุนชิบหายวายป่วง แต่ว่าไม่ใช่ข้อแม้หนักหน่วงอะไร
ถึงอย่างนั้น ชีวิตผมก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกเยอะอยู่ดี เลยคิดว่าถ้าลดตรงนี้ไปได้ เราควบคุมชีวิตตัวเองได้มากขึ้นก็น่าจะดี
The MATTER : ถ้าวันหนึ่งต้องเลิกทำหนัง จะคิดถึงมันมั้ย
คิดว่าไม่นะ เพราะถ้าคิดถึง ผมก็คงไม่เลิก แต่ถ้าไม่มีใครสนับสนุนแล้ว และยังอยากทำหนังอยู่ ก็คงหาทางสู้ต่อไป อาจปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำหนัง ทำหนังง่ายๆ กับเพื่อนแค่สองสามคน หรือใช้โลเคชั่นไม่กี่ที่ก็พอ
การที่เรากลายเป็นแบรนด์ (ถึงแม้จะเป็นแบรนด์เล็กๆ) อย่างในทุกวันนี้มันไม่เวิร์กกับชีวิตเราแล้ว มันทำให้งานต้องมีความคาดหวังบางอย่างที่ต้องไปให้ถึงเสมอ ซึ่งบางทีก็น่าเบื่อ เท่ากับว่าเราก็ไปติดกับดักความสำเร็จของตัวเอง แล้วพอมีคนผลักให้เราขึ้นสูงเท่าไหร่ กลายเป็นว่าความกลัวมันก็เยอะขึ้น ซึ่งไม่ดีเลย เราควรเป็นแบบตอนที่ทำหนังสองสามเรื่องแรก คือไม่กลัวอะไรเลย กูจะทำบ้าบอคอแตกอะไรก็ได้ แต่มาถึงจุดหนึ่ง รู้มากขึ้นก็ไม่สด มีชื่อเสียงมากขึ้นก็ระวังตัวมากขึ้น สิ่งเหล่านั้นมันเลยหายไป ซึ่งถ้าสิ่งนั้นหายไปมันก็จะไม่น่าสนุก
อีกอย่างคือ ผมเป็นคนโบราณ ไม่สามารถทำอะไรหลายอย่างได้พร้อมๆ กัน การทำหนังมันต้องมีอย่างเดียวในชีวิตถึงจะเวิร์ก เวลาคิดไอเดียได้ถึงจุดหนึ่ง ผมหยุดทุกอย่างเลยนะ ไม่ทำโฆษณา ไม่รับงานอะไร ทำชีวิตให้นิ่ง เอาหนังที่กำลังจะทำเป็นศูนย์กลางของชีวิต ทำแบบนี้มาตลอด 20 ปี แต่ตอนนี้มันมีอย่างอื่นเข้ามาในชีวิต ความสนใจมันก็เลยค่อยๆ เบาลง ถ้าผมจะเลิกทำหนัง ก็คงเพราะตัวเองหมดความสนใจนี่แหละ
The MATTER : เคยลองทำหลายอย่างพร้อมกันหรือเปล่า
เละ ดูไม่ได้เลยฮะ คือเรื่องงานออกมาเละนี่เรื่องหนึ่งนะ นั่นแค่ผลลัพธ์ แต่ว่าตัวเองไม่มีความสุขนี่สิ สำคัญกว่า ผมมีเพื่อนคนหนึ่งทำอีเวนต์ สมุดนัดเต็มตลอดเวลา คิวอย่างเยอะ ต้องแยกร่างไปทำนู่นทำนี่ทุกวัน ผมเคยบอกมันว่า ถ้าวันหนึ่งสมุดนัดกูหน้าตาแบบนี้ มึงช่วยยิงกูทิ้งด้วยนะ (หัวเราะ) ผมไม่สามารถแยกร่างได้ ไม่มีความสุข
The MATTER : ยังมีเรื่องที่อยากทำเป็นหนังอีกมั้ย
มีครับ มีอีกเรื่องนึง เขียนบทมานานแล้วด้วย คงทำหลังจาก ไส้เดือนตาบอดฯ อ๋อ แต่เร็วๆ นี้เราจะมีหนังชื่อว่า Samui Song เป็นเรื่องเกี่ยวกับดาราละครคนนึงที่ชีวิตมีปัญหา เธอแต่งงานกับฝรั่งแล้วชีวิตคู่แม่งโคตรแย่ เท่านั้นไม่พอ สามีดันไปบ้าลัทธิ แล้วเจ้าลัทธิก็ดันมาชอบเธอ เธอก็ถูกกระทำมากขึ้นๆ จนวันหนึ่งทนไม่ไหว ไปจ้างผู้ชายที่บังเอิญเจอตอนดูดบุหรี่ให้ไปฆ่าสามีซะงั้น ซึ่งนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นนะ ตัวหนังจริงๆ จะเกี่ยวกับเรื่องราวหลังผัวตายไปแล้ว เธอจะหนีออกจากโลกของผู้ชายยังไง หนีสำเร็จมั้ย คือเป็นหนังที่ออกไปทางเฟมินิสต์หน่อยๆ
เรื่องนี้จะเอนเตอร์เทนมาก เอาจริงคือตอนทำ ฝนตกขึ้นฟ้า ผมก็ตั้งใจทำหนังให้เอนเตอร์เทนนะ ไม่มีความเป็นส่วนตัวแบบ Last Life in the Universe แบบพลอย แบบนางไม้ กะทำให้สนุกเลย
The MATTER : ทำไมถึงอยากทำหนังเอนเตอร์เทน
เพราะโดนด่าบ่อยๆ ว่าทำหนังไม่เอนเตอร์เทน แล้วสิ่งที่เคยรู้สึกตอนอายุน้อยๆ อย่างการตั้งคำถามกับชีวิต อย่างตอนทำ Last Life in the Universe, Invisible Waves, พลอย, นางไม้ มันไม่มีอีกแล้ว เหมือนคุณภาพชีวิตมันดีขึ้นมั้ง มีแฟนเป็นตัวเป็นตน มีหมาที่รักอย่างกับลูก ปัญหาที่หมกมุ่นในหัวมันก็น้อยลง แล้วพอปัญหาน้อยลง แรงขับที่จะทำหนังส่วนตัวมากๆ มันก็เลยไม่มี คือคนเราจะทำหนัง เขียนหนังสือ วาดรูป แต่งเพลงที่เป็นส่วนตัวมากๆ ได้ มันต้องมีแรงขับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทางลบ มันจะทำให้เราอยากทำอะไรที่เป็นส่วนตัวมากๆ
แต่การทำหนังที่ส่วนตัวมากๆ นี่มันทรมานนะ เพราะมันใกล้ความจริง ใกล้กับตัวเรามาก ไม่รู้ว่าจะคลำไปเจออะไรบ้าง ทีนี้พอไม่มีแรงขับที่จะให้ทำอะไรส่วนตัว เลยอยากทำหนังเอ็นเตอร์เทนหน่อย ทำหนังให้คนอื่นดู ไม่ใช่ให้ตัวเองดู หนังที่ทำตอนนี้เลยเป็นงานฝีมือมากขึ้น ไม่ได้เป็นงานคอนเซปต์ ไอเดีย ตั้งคำถามกับชีวิตอีกแล้ว ตอนนี้ผมทำหนังเหมือนการทอเสื่อ ความสุขอยู่ตรงที่คิดว่าฉากเปิดจะเป็นแบบไหน จะทำฉากนั้นยังไงมากกว่า
พูดแบบนี้ไป คนที่ดู ฝนตกขึ้นฟ้า อาจถามว่า “นี่ทำให้คนอื่นดูแล้วเหรอเนี่ย” (หัวเราะ) อันนี้ก็แล้วแต่คนคิด แต่ส่วนตัว ผมรู้สึกว่าห้าปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีความทุกข์ทรมานมากพอที่จะกลั่นออกมาเป็นหนังส่วนตัว ไม่มีเลย
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งทำอีเวนต์ สมุดนัดเต็มตลอดเวลา คิวอย่างเยอะ ต้องแยกร่างไปทำนู่นทำนี่ทุกวัน ผมเคยบอกมันว่า ถ้าวันหนึ่งสมุดนัดกูหน้าตาแบบนี้ มึงช่วยยิงกูทิ้งด้วยนะ
The MATTER : คุณชอบพูดว่าไม่กล้าดูหนังตัวเอง เพราะเห็นบาดแผลเยอะ ทุกวันนี้กล้ากลับไปดูหรือยัง
เดี๋ยวนี้ดีขึ้น พออายุมากขึ้นมันก็ปลงได้มากขึ้น นั่งดูแล้วก็ไม่รู้สึกแย่นัก แต่เมื่อก่อนตอนที่ยังหนุ่มๆ อยู่นี่ดูแล้วจะมวนท้อง ปั่นป่วนไปหมด ทำไมกูแม่งทำแบบนั้นวะ โคตรทุเรศเลย จังหวะตรงนี้ก็รอๆ รีๆ อะไรไม่รู้ ตรงนั้นตัดเร็วไป ตรงนี้ช้าไป ต่อให้ใครบอกว่าหนังเรื่องนี้ดีแค่ไหน ผมก็จะเห็นแต่ความพิการของมัน
The MATTER : ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะรู้ว่ามันพิการ
เป็นช่วงๆ คือพอตัดต่อเสร็จ เราจะรู้แล้วว่าเรื่องนี้เราทำได้ดีประมาณไหน เรื่องนี้ไม่ค่อยดี เรื่องนี้โอเค แต่บางทีก็มีเรื่องของเวลามาเกี่ยวอีก เช่น ห้าปีผ่านไป เราต้องมาดูหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งอีกที เราอาจรู้สึกว่ามันเหี้ยกว่าที่คิดอีก (หัวเราะ) เมื่อก่อนเราคิดว่ามันเหี้ยแค่นี้ แต่จริงๆ แม่งเหี้ยมากเลยนี่หว่า แม่งโคตรแย่เลย แต่พอผ่านไปอีกห้าปี กลับมาดูเรื่องเดียวกัน เฮ้ย แม่งดีว่ะ มันไม่ได้แย่เลยนี่นา
ผมว่าการที่เราไม่ชอบงานตัวเองก็ถือเป็นเรื่องดีนะ เพราะมันทำให้เราทำต่อไปด้วยความหวังว่าเรื่องต่อไปเราจะไม่พลาดแบบนั้นอีก ที่ผมทำหนังมาได้ยาวนานขนาดนี้ ก็เพราะผมไม่เคยแฮปปี้กับผลลัพธ์สักที เลยต้องลุกขึ้นมาทำต่อไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยรู้สึกล้มเหลวนะ ถ้ารู้สึกล้มเหลวคงเลิกไปแล้ว เพราะความล้มเหลวขนาดใหญ่มันก็ไม่ดี ทำให้หมดกำลังใจ แต่ไอ้ความสำเร็จขนาดใหญ่ที่ทำให้ตัวเราเป็นพระเจ้าก็ไม่ดีเหมือนกัน ทำให้แฮปปี้เกินไป ซึ่งผมไม่เคยได้ทั้งสองอย่าง ไม่เคยล้มเหลวชนิดที่ว่าต้องเอาปี๊บคลุมหัว เดินไปไหนมาไหนแล้วโดนด่าเละ ไม่เคยขนาดนั้น หรืออาจเคยโดนด่าเละแต่ไม่รู้ (หัวเราะ) แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกแย่กับหนังตัวเองขนาดนั้นนะ มีแค่เรื่องนี้ไม่ค่อยดี แม่งพลาด แม่งไม่ค่อยแฮปปี้ หรือเรื่องนี้ไม่เลวว่ะ ทำได้ใกล้เคียงกับที่คิด ผมมีแต่ความรู้สึกประมาณนี้ เลยไม่เคยรู้สึกแฮปปี้แบบสุดๆ หรือแย่สุดๆ
The MATTER : แต่คนก็ชื่นชมคุณเยอะนะ
มันก็เรื่องของเขา แต่ผมถือว่าเป็นโชคดีของเรา คือการที่มีคนชื่นชมในสเกลระดับของผมนี่คือโชคดีนะ เพราะว่าผมพูดอะไรออกไป ก็จะมีคนฟังประมาณหนึ่ง อย่าไปพูดอะไรงี่เง่าพร่ำเพื่อก็พอ อีกอย่าง ชื่อเสียงอันนี้ก็ดีตรงที่มีคนชวนให้ไปทำหนัง ชวนไปทำโปรเจกต์นี่นั่น ชวนไปทำโฆษณา ทำมิวสิกวิดีโอ ผมถือว่าเป็นโชคดี
แต่ไม่ว่าใครจะชื่นชมแค่ไหน เราก็ต้องจำให้ได้ว่ารู้สึกยังไงกับตัวเองจริงๆ มึงห้ามลืมน่ะ คือถ้าเรารู้สึกว่างานนี้เราทำได้ไม่ค่อยดี ก็ต้องรับได้ว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยดี อย่าไปคิดว่า พอมีคนบอกว่ามันดีๆ แล้วเราจะยอมรับว่า เออดีก็ได้วะ มันไม่ได้ไง เราต้องรู้ตัว แล้วเราก็ไม่ต้องไปบอกใครหรอก เขาชื่นชมเราก็ดีแล้ว เพราะเวลาคนชื่นชมเรา บุญกุศลไม่ได้ตกแค่ที่เรานะ มันไปตกที่คนที่ชื่นชมเราด้วย บางครั้งเขาได้แรงบันดาลใจจากเราน่ะ มีหลายคนที่มีผมเป็นแรงบันดาลใจทำให้ลุกขึ้นมาทำหนัง การอินสไปร์คนให้ทำอะไรได้ ผมว่าเป็นสิ่งที่ดี
ที่ผมทำหนังมาได้ยาวนานขนาดนี้ ก็เพราะผมไม่เคยแฮปปี้กับผลลัพธ์สักที เลยต้องลุกขึ้นมาทำต่อไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยรู้สึกล้มเหลวนะ
The MATTER : กับการทำโฆษณาล่ะ คุณเคยพูดว่าไม่โอเคกับมัน ทุกวันนี้ยังรู้สึกแบบนั้นมั้ย
มันเป็นช่วงๆ วงการโฆษณาทุกวันนี้เปลี่ยนไปเยอะมาก เราจะเอาสินค้ามายัดใส่หน้าหรือโฆษณาทื่อๆ ไม่ได้แล้ว ปัจจุบันคนเลยทำหนังสั้น ทำอินเทอร์เน็ตฟิล์มกันมากขึ้น คุณต้องหาทางสื่อสารแบบใหม่ โฆษณาก็เป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่ไม่มีวันอยู่นิ่ง มันกลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้มันเป็นสัตว์ที่กลายพันธุ์มาทางผมมากขึ้น เลยพอรับไหว
แล้วการทำโฆษณาทำให้ได้ฝึก ได้ลองใช้กล้องตัวใหม่ๆ ได้ลองเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เจอนักแสดงหน้าใหม่ๆ เมื่อก่อนผมเรื่องน้อยกว่านี้ ใครเอาอะไรมาให้ทำก็ทำ แต่เดี๋ยวนี้เลือกมากขึ้น ไม่อยากทำก็ไม่เอา ซึ่งลูกค้าก็เลือกเรามากขึ้นเหมือนกัน เมื่อก่อนมีคนอยากทำงานกับเราเยอะ แต่ตอนนี้น้อยลง ส่วนหนึ่งก็เพราะมีคนใหม่เยอะขึ้น อีกส่วนก็เพราะผมอายุมากขึ้น แล้วงานที่ทำมันยิ่งมีแนวทางชัดขึ้นเรื่อยๆ พอยิ่งชัด เส้นทางก็ยิ่งแคบ ลูกค้าเห็นแล้วก็แบบ พี่เขาไปทางนี้ไม่ได้แน่ๆ ไม่เอาดีกว่า คือคนเรายิ่งเส้นทางชัดเท่าไร งานชัดเท่าไร งานก็ยิ่งน้อยลง แต่ถ้าคุณทำอะไรก็ได้ ตลาดก็จะใหญ่มากขึ้นๆ
The MATTER : แนวทางทำงานอย่างนี้คือดีหรือไม่ดี
ดีซี่! ในกรณีที่คุณไม่ต้องการเงินเยอะนะ อย่างผมนี่ชีวิตค่อนข้างซิมเปิลเลย ไม่ค่อยอยากได้อะไรในชีวิตแล้ว ผมซื้อรถหนึ่งคันใช้ได้สิบห้าปี นานๆ ทีถึงจะขับไปต่างจังหวัดบ้าง นอกนั้นก็เดินหรือขี่จักรยานเอา ค่าใช้จ่ายในชีวิตผมน้อยมาก การที่มีคนมาทำงานด้วยน้อย มันทำให้งานที่ได้รับค่อนข้างเป็นตัวเรา เพราะคนที่เข้ามา เขาก็อยากได้งานในแบบเราจริงๆ ก็มีความสุขขึ้น ปวดหัวน้อยลง ที่ทำท่าจะเป็นโรคกระเพาะก็ไม่เป็นแล้ว ชีวิตโอเคขึ้น
แต่ก็ต้องระวังเหมือนกัน พอต้องดิ้นรนน้อยลง ต่อสู้น้อยลง ความเฉื่อยก็เข้ามาเยือนเหมือนกัน ก็ต้องระวัง เพราะชิลมากบางทีก็ไม่ดี เดี๋ยวจะชินกับมัน แล้วก็จะไม่มีแรงไปต่อสู้กับอะไรเลย
ต้องระวังเหมือนกัน พอต้องดิ้นรนน้อยลง ต่อสู้น้อยลง ความเฉื่อยก็เข้ามาเยือนเหมือนกัน
The MATTER : แต่ละวันของเป็นเอกเป็นอย่างไรบ้าง
ทำงานครับ แต่ก่อนไปทำงานต้องตื่นมาอ่านหนังสือ กินกาแฟอยู่หลายชั่วโมงนะ ใครจะมานัดประชุมเก้าโมงเช้าไม่ได้ ช่วงนี้อ่านหนังสือเยอะ ชอบ
The MATTER : เล่นอินเทอร์เน็ตบ้างมั้ย
เอาไว้เข้าเว็บโป๊อย่างเดียว ถ้าพวกข่าวสารก็ฟังวิทยุ ฟังทุกเช้า กับเวลาขับรถ ผมไม่ดูทีวี หนังสือพิมพ์ก็ไม่อ่าน
The MATTER : ทำไมคุณไม่เล่นเฟซบุ๊ก
ผมไม่มีความสนใจเรื่องพวกนี้เลย คือผมคิดว่าคนที่หมกมุ่นกับเฟซบุ๊กมีอยู่สองประเภท คือหนึ่ง ชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน เอาไว้เข้าไปส่องเรื่องต่างๆของคนอื่น กับสอง คนที่อยากให้ชาวบ้านเข้ามาเสือกเรื่องของตัวเอง อยากให้ชาวบ้านมารับรู้ว่ากูทำอะไรอยู่ ผมไม่มีความสนใจทั้งสองอย่าง ผมไม่อยากให้ใครมารู้ว่ากำลังทำอะไร เวลาทำหนัง ผมก็ทำไปเงียบๆ เพราะวันหนึ่งพอหนังเข้าโรง คนก็รู้เองว่าเราทำอะไรอยู่ แล้วผมก็ไม่ได้อยากรู้ว่าใครทำอะไรอยู่ ผมสนใจในสิ่งที่คนอื่นทำน้อยมาก ผมสนใจแต่สิ่งที่ตัวเองทำ คือฟังดูเหี้ยนะ แต่ผมเป็นแบบนี้
คิดดูนะ ขนาดไม่มีเฟซบุ๊ก แต่ได้อยู่ในเฟซบุ๊กทุกวันเลย บางทีเพจของ The Film Factory ซึ่งผมทำงานกับเขามานาน ก็ชอบเอางานเราไปลง เอาบทสัมภาษณ์เราไปอัพ หรือบางทีเรานั่งกินข้าวมันไก่อยู่ริมถนน เจอคนรู้จักมานั่งกิน ทักทายกันไปตามประสา สักพักเขาขอถ่ายรูปเอาไปอัพขึ้นเฟซบุ๊ก อีกสามวัน ผมไปเจอใครสักคน เขาก็รู้อีกว่าเมื่อวันก่อน ผมไปกินข้าวมันไก่มา คือมีคนรู้หมดว่าผมไปไหนมาไหนโดยผมไม่ต้องมีเฟซบุ๊ก (หัวเราะ) ใครสักคนต้องได้เจอผมแล้วก็อัพขึ้นเฟซบุ๊กไป ผมเลยเหมือนได้อยู่ในเฟซบุ๊กทุกวัน
ทุกวันนี้ผมมีแค่ไลน์ เอาไว้ทำงาน เพราะเวลาทำหนัง เขามีไลน์กรุ๊ปทีมงานกัน ไม่งั้นเขาต้องส่งเอสเอ็มเอสให้ผมคนเดียว สงสารทีมงาน
ผมไม่อยากให้ใครมารู้ว่ากำลังทำอะไร เวลาทำหนัง ผมก็ทำไปเงียบๆ เพราะวันหนึ่งพอหนังเข้าโรง คนก็รู้เองว่าเราทำอะไรอยู่
The MATTER : งั้นขอถ่ายรูปอัพขึ้นเฟซบุ๊กหน่อยครับ
…
The MATTER : ไม่อยากรู้เหรอว่าคนในเน็ตพูดถึงคุณยังไงบ้าง
ไม่อยาก ผมเคยไปเสิร์ชหาตัวเองทีนึงตอนมีคนมาบอกว่าผมมีเฟซบุ๊ก แล้วผมบอกไม่มี มันก็หาว่าผมมี ผมเลยลองเสิร์ชหาดู ปรากฏว่าเป็นเพจที่คนทำขึ้นมาให้ มีโพสต์พวกบทสัมภาษณ์ เทรลเลอร์หนัง ซึ่งรู้แล้วก็จบกัน ไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่มีข้อมูลที่กูไม่รู้ (หัวเราะ)
The MATTER : หนังยุคนี้ชอบโปรโมตในเฟซบุ๊กนะ คุณไม่สนใจบ้างเหรอ
ให้ทีมโปรโมตทำไป แต่ถ้าเขาบังคับให้เข้าไปแจมผมก็ทำนะ คือผมจะยอมก็ต่อเมื่อมันเป็นธุรกิจน่ะ ถ้าเกิดช่วงไหนผมไม่มีหนังกำลังเข้าฉาย ไม่ได้ทำอะไร จะให้ผมเข้าไปเล่นเฟซบุ๊กหรือมาขอสัมภาษณ์ก็คงไม่เอา แล้วบางทีสื่อก็ชอบมาสัมภาษณ์ประเด็นอะไรไม่รู้ เช่น ตอนที่ คริส หอวัง มีดราม่าเรื่องโฆษณาก็มีคนมาขอความเห็นผม ทำไมผมต้องมีความเห็นเรื่องนี้วะ? โอเค ผมเคยทำงานกับคริส คริสเป็นเพื่อนผม สนิทกันนะ แต่ทำไมกูต้องมีความเห็นเรื่องโฆษณาตัวนี้ กูจะไปมีความเห็นอะไร หรือประเภทจะมาดูบ้าน เอาไปลงหนังสือ interior แน่ใจเหรอว่าจะมา เห็นแล้วจะช็อคนะ มันเป็นบ้านคนธรรมดามากเลยนะเว้ย หนังสือกองเกลื่อนรกจะตาย ก็ไม่ให้มา ไม่เอา
คือต้องเป็นเรื่องงานน่ะ เราถึงพร้อมที่จะคุยหรือทำอะไรสักอย่าง ไม่งั้นก็ต้องเป็นเรื่องที่เราอดรนทนไม่ได้ เช่น การเมืองที่บางทีระยำมาก แล้วบางทีมันมีความไม่ยุติธรรมเยอะ ผมทนไม่ได้ มีคนมาสัมภาษณ์ผมก็จะพูด
The MATTER : เวลาคุณวิจารณ์เรื่องการเมื
ไม่กลัว ถ้ากลัวก็ไม่พูด
ผมโดนจัดให้เป็นทั้งแดง ทั้งสลิ่มเลยนะ แต่ก็ตามสบายเลย ยังไงก็ได้ ไม่ตอบโต้ ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง ความคิดทางการเมือง จุดยืนทางการเมืองเป็นยังไง แล้วก็รู้ด้วยว่าอีกห้าปีหลังจากนี้ผมก็เปลี่ยน เพราะผมเป็นมนุษย์ พออายุมันเปลี่ยน ความคิดก็เปลี่ยน หรือไปเจอข้อมูลบางอย่าง ความจริงบางอย่าง มันก็เปลี่ยน เพราะฉะนั้นจะไปเลือกข้างทำไม แน่ใจได้ไงว่าวันข้างหน้า คุณจะไม่เห็นความเลวร้ายของข้างที่เลือก หรือข้างที่คุณไปด่าเขา ดูถูกเขา คุณจะแน่ใจได้ยังไง ว่าวันข้างหน้า คุณจะไม่ไปค้นพบว่าเขาพูดถูก ไม่มีทางรู้หรอก มนุษย์ทุกคน ของทุกอย่างในโลกมันมีทั้งข้อดีข้อเสีย อย่างไอ้เนี่ย (ชี้ไปที่ไอโฟน) ทำให้คนได้ดิบได้ดีมาตั้งเท่าไรแล้ว แต่ขณะเดียวกัน ไอโฟนก็ทำให้คนโดนตีหัวข้างถนนมาไม่รู้กี่คน ผมเลยไม่เชื่อหรอกว่าแดงดีกว่าเหลือง หรือเหลืองดีกว่าแดง
แล้วประชาชนอย่างเรานะจะรู้ความจริงสักเท่าไร ประชาชนธรรมดาอย่างเราที่อยู่ในประเทศที่มีการปกครองแบบนี้ ระบบเจ้าขุนมูลนายขนาดนี้ มันมีเรื่องที่คนอย่างพวกเรารู้ประมาณหนึ่งในห้าสิบเองมั้ง แล้วผมคิดว่าทุกสังคมก็เป็นแบบนี้หมดแหละ คุณอย่าไปคิดว่าอเมริกาเป็นประชาธิปไตยแล้วจะด่าใครก็ได้ หรือไม่มี hidden agenda ใดๆ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้วยังไงก็ตุกติกน่ะ
เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องรู้ความจริงไปหมดหรอก ความจริงมันเจ็บปวดจะตาย บางครั้งอยู่ในความฝันบ้างก็ดี รู้มากไปเดี๋ยวก็ฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็อยู่ไม่ได้เลยนะ เรามีเพื่อนตั้งหลายคนต้องหนีออกจากประเทศนี้ไป โอเค บางคนเป็นเพราะว่าถูกคุกคาม แต่บางคนเขาเลือกที่จะไม่อยู่ เพราะมันไปรู้อะไรเยอะเหลือเกิน ซึ่งมันก็สงสัยแหละนะว่าผมอยู่ได้ยังไง อ้าว กูก็อยู่ได้สิ เพราะกูไม่รู้เยอะเท่ามึงไง
The MATTER : พูดถึงหนังการเมือง ประชาธิป’ไทย ที่คุณเคยทำบ้าง
ประชาธิป’ไทย เราเข้าไปทำเพราะอยากรู้ว่าประเทศนี้มาถึงจุดนี้ได้ยังไง เมื่อก่อนเราไม่ใช่คนสนใจการเมืองเลย ทำแต่หนังรัก แต่วันหนึ่งก็เกิดความสงสัยว่าประเทศเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไงวะ ทำไมเพื่อนกูที่รักกันจะตาย ตอนนี้ไม่เผาผีกันแล้ว อ๋อ…เพราะมันไปเลือกกันคนละสี แล้วมันเลือกสีได้ยังไงวะ? กูยังเลือกไม่ได้เลย ผมสงสัยขึ้นเรื่อยๆ พอเอก (ภาสกร ประมูลวงศ์) ชวนไปทำก็เลยลอง วันที่ก้าวไป ผมค่อยๆ เข้าไปทีละนิด ไม่ได้เริ่มทำหนังเลยนะ ผมเข้าไปทำรีเสิร์ชก่อนเป็นปี พอยิ่งทำก็ยิ่งลึก ก้าวเข้าไปก็ถอยไม่ได้แล้ว เกิดอาการตาสว่าง จากที่ด่าฝั่งนี้ลูกเดียว เห็นด้วยกับฝั่งนู้นท่าเดียว พอตาสว่างปุ๊บก็เลิกเห็นด้วย เริ่มมองเห็นว่าฝั่งที่ไปด่าๆ เขาไว้ เขาทนอยู่ในความไม่ยุติธรรมมานานเท่าไร เริ่มเห็นอีกด้านมากขึ้น
แต่การทำ ประชาธิป’ไทย ก็ไม่ได้ทำให้พบคำตอบใดๆ ได้แต่ทำให้ตาสว่างขึ้น มีสติขึ้น เพราะสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยของประเทศนี้มันยังเดินทางมาไม่ถึงเท่าไร แปดสิบปีถือว่าไม่เยอะ ระหว่างทางก็ง่อยไปง่อยมา เดินหน้าสามก้าว ถอยสองก้าว วนเวียนอยู่แบบนี้ แปดสิบปีเลยไม่ใช่การเดินทางที่ยาวไกล มันเพิ่งเริ่มต้นเองมั้ง
The MATTER : ตอนที่ทำ ประชาธิป’ไทย ถือว่าเสี่ยงมั้ย
ไม่เสี่ยงมากหรอก เพราะหนังก็ไม่ได้รุนแรงอะไร ผมก็เซ็นเซอร์ตัวเองประมาณหนึ่งอยู่แล้ว ไม่เซ็นเซอร์เลยก็ฉิบหาย อ้อ เดี๋ยวจะมีภาคสองด้วยนะ ใกล้เสร็จแล้ว เพียงแต่ถ้า$%@$#^รัฐบาลทหาร(*#^@^@ไม่ได้ฉาย @%!#*มีพูด@&@(#รัฐประหาร พูดเรื่อง@^!*@(@รัฐบาลปกติ @%!&@ดูหนังก็จะไม่คิดว่า!&!*@*ไรหรอก แต่%@&#ประหลาด !^#นอยด์ ระดับความนอยด์แม่งสูง @^##*เด็กนักเรียนอะไรก็ไม่รู้ ไผ่ ดาวดิน @&#^#)!แชร์อันเดียว!#^*@*@^หมื่นไปจับ!^#*@(@คนเดียว หรือ@^!*@&#&อุทยานราชภักดิ์ !^#*#ไล่ตะครุบเขา !&)(^#*@#$!%@&*$!%@&@&@(#!&!*@* 1984%@&#แบน@(@ทำไม &@เคยอ่าน#$!%เปล่า อ่านไม่รู้เรื่อง@&@&@(#! เลอะเทอะ@^!*@( มันไม่ได้มา$%@$#^ คือถ้ามา@(@ถูกทาง @$#^ปฏิวัติ ก็จะไม่มี@%!#*หรอก
(หมายเหตุ: เครื่องหมายเหล่านั้น ไม่ใช่คำพูดของเป็นเอก แต่เป็นเพราะบทสนทนาในช่วงดังกล่าวถูกรบกวนด้วย$%@$#^ ทำให้แอพพลิเคชั่นบันทึกเสียงรับสัญญาณติดๆ ขัดๆ)
The MATTER : คุณรู้สึกยังไงต่อเรื่องนี้