“ในเมื่อความอยุติธรรม อยู่ในกระบวนการยุติธรรม เดินทะลุฟ้า ก็คือการต่อสู้กับความอยุติธรรม” – ไผ่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา
กิจกรรมเดินทะลุฟ้า จัดขึ้นมาได้เกือบครึ่งเดือนแล้ว โดยมีเป้าหมายในการเดินเท้า 247.5 กิโลเมตร จากโคราช นครราชสีมา มาถึงกรุงเทพฯ ด้วย 3 ข้อเรียกร้อง คือ การปล่อยเพื่อนเรา, ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และยกเลิก 112
ที่ไม่เพียงแค่การเดินเท้าไปตามเส้นทาง แต่ขบวนเองยังได้พบปะประชาชนตามข้างทาง แจกใบปลิว พูดคุย รวมถึงในช่วงหัวค่ำของแต่ละวันที่มีกิจกรรมเช่น การเสวนา การฉายหนัง วงพูดคุยต่างๆ ในประเด็นสังคมที่เกิดขึ้นด้วย
ในวันหนึ่งที่แดดจ้า และระหว่างที่ขบวนกำลังเดินเท้าอยู่บริเวณจังหวัดสระบุรี (ปัจจุบันขบวนอยู่ที่ จ.อยุธยา มุ่งหน้าสู่ปทุมธานี) The MATTER ได้ไปร่วมเดินสั้นๆ และพูดคุยกับคนในขบวน ถึงเหตุผลที่พวกเขามาเดิน มุมมองต่อข้อเรียกร้อง และการต่อสู้เคลื่อนไหวในครั้งนี้กัน
พี่ทราย เจริญปุระ ดารานักแสดง หรือที่รู้จักในนาม ‘แม่ยกประชาธิปไตย’
“เดินทุละฟ้าคือ เราเดินไปหาเพื่อน อยากเดินไปหา ขาคือขาของเรา การเดินมันคือการเคลื่อนไปข้างหน้า แล้วก็สื่อสารกับผู้คนระหว่างไปด้วย เราชอบให้คนถามกับเราว่า เดินไปทำไม? เราก็บอกว่าไปหาเพื่อน เขาถามต่อ ว่าเพื่อนไปไหน? เราก็บอกติดคุก ทำไมถึงติด ? เราก็บอกว่าโดน ม.112 ก็ไล่ไปเรื่อยๆ”
เรามีการเคลื่อนไหวมาหลายรูปแบบตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการเดินระยะไกลเช่นนี้ พี่ทรายก็มองว่า การเดินทะลุฟ้า ไม่ใช่การยกระดับการเคลื่อนไหว แต่เป็นการขยายวงกว้างมากกว่า “เราไม่ได้มองว่ามันเป็นการยก ถ้ายกมันคือระดับสูง แต่เรามองว่ามันเป็นการขยายพื้นที่มากกว่า ว่าแบบนี้มันก็ทำได้ คุณไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ ก็เดิน ออกมาเดิน สื่อสารกันแบบนี้ ว่าเราเป็นเจ้าของเนื้อตัว เจ้าของแข้งขา เราก็ออกมาเดิน เพื่อแสดงว่าเราไม่เห็นด้วย หรืออยากสื่อสารในประเด็นอะไร ซึ่งก็จะเห็นว่า ธงในขบวน ก็จะมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม LGBT เรื่องชาติพันธุ์ หรืออะไรก็ตาม สุดท้ายมันกลับไปที่ปัญหาโครงสร้างมากกว่าว่า เราให้คนอื่นจัดการตัวเรา โดยที่เขานึกจะทำอะไรกับเราก็ได้ เหมือนเราเป็นอุปกรณ์ ดังนั้นเราก็ใช้อุปกรณ์ที่เรามีคือขา ในการเดินไปถามผู้มีอำนาจ”
“แม้รัฐไม่ตอบสนองเรา แต่เราก็ต้องถามรัฐไปทุกวัน เราเคยเห็นข่าวที่มีคนอินเดียที่ขุดภูเขา ขุดคนเดียว แรกๆ มันก็คงเป็นอะไรแบบนี้ ขุดทุกวัน จนหลายเป็นถนน และคนก็มาใช้ถนนนี้ร่วมกัน เราว่าวันแรกๆ ก็มีคนมาหาว่าเขาบ้าแหละ ตอนที่เขาทำแรกๆ เขาก็คงคิดทุกวันว่าเขาบ้า แต่ถ้ามัวมารอว่า ทำไมไม่ทำอย่างนั้น อย่างนี้ ตั้งเงื่อนไข เราคงจะไม่ได้ทำเลย”
สำหรับการเดินจากโคราช ก็ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว พี่ทรายก็บอกว่า บรรยากาศประชาชนที่พบเจอ ก็ค่อนข้างหลากหลาย “เจอคนทุกแนว ทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นสิทธิของเขาที่จะไม่เห็นด้วย เรามีสิทธิที่จะเดิน อันนี้มันก็ปกติ ตำรวจก็ใช้อำนาจในการดูแลกัน ทำหน้าที่ ทุกคนก็มีหน้าที่ เราก็ทำหน้าที่เราเต็มที่ ก็มีทั้งป้าๆ บางคนมาเดินด้วยแปปนึง เท่าที่กำลังขาจะไหว หรือบางคนก็เอาขนมมาให้ มันก็มีหลากหลาย มันก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะเราสื่อสารกับมนุษย์ ที่มีความหลากหลาย”
ระยะทางตอนนี้ ก็เข้าใกล้กรุงเทพฯ ชึ้นเรื่อยๆ พี่ทรายก็บอกว่า ตั้งใจจะเดินไปหาเพื่อนที่ยังอยู่ในคุก (ทนายอานนท์, เพนกวิน, สมยศ, หมอลำแบงค์) “ถ้าถึงกรุงเทพ หลักการคือไผ่จะเดินไปรายงานตัว ถ้าถึงตอนนั้น เพื่อนเราถ้ายังอยู่ในคุกก็จะถามเพิ่ม เดินไปถามหน้าคุก ไปหาเพื่อนเรา เราคิดถึง”
เดฟ 3฿one แร็ปเปอร์กลุ่ม Rap Against Dictatorship
การเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในช่วงที่ผ่านมา ยังมีการใช้ศิลปะ ไปถึงเพลงแร็ปในการต่อสู้กับอำนาจรัฐ อย่างกลุ่ม Rap Against Dictatorship ซึ่ง เดฟ หรือ ‘3฿one’ ผู้มีส่วนร่วมในผลงานเพลงปฏิรูป ก็เป็นหนึ่งคนที่ร่วมเดินทะลุฟ้าตั้งแต่วันแรกด้วย
“เราเดินมาตั้งแต่วันแรก การเดินมันก็สนุกดี มันท้าทายตัวเองดี และก็เป็นพลังด้วย เราก็เป็นคนๆ นึงที่มาแสดงจุดยืน และแสดงพลัง และพยายามที่จะสร้างศิลปะมาให้ทุกคนได้ฟังกัน โดยการเดินนี้ มันเริ่มต้นที่โคราช ส่วนตัวเป็นคนโคราชด้วย ก็รู้สึกว่าตัวเองพลาดไม่ได้จริงๆ”
“ผมมองว่า การเดินมันยกระดับแบบไปเรื่อย ยิ่งเราเดินไป ยิ่งใกล้เท่าไหร่ ยิ่งมีคนมากขึ้น มันก็ทำให้เรามีพลังที่จะสู้ครั้งนี้ ผมมองว่า ถึงรัฐจะไม่มอง แต่เราก็ต้องสู้ต่อไป เพื่อให้คนที่เห็นต่างก็ดี หรือคนรอบข้างที่ยังไม่พร้อมที่จะสู้ ให้เขาได้ตระหนัก และออกมาสู้กับเรา ถึงรัฐยังไม่มอง แต่ถ้าเรามีพลังที่มากพอ ผมว่าเราก็จะสู้รัฐได้”
สำหรับขบวนเดินทะลุฟ้า ก็มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ ปล่อยเพื่อนเรา, ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และยกเลิก ม.112 ซึ่งเดฟก็มองถึง 3 ข้อนี้ว่า “ผมว่าถ้าเราได้ 3 ข้อเรียกร้องนี้มา มันเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้เลย ซึ่งถ้าข้อปล่อยเพื่อนเรา เราได้เพื่อนเรากลับมาสู้กันต่อ แก้ไขรัฐธรรมนูญ มันก็จะช่วยให้เรามีสิทธิ เสรีภาพจริงๆ มากขึ้นด้วย”
10 กว่าวันที่เดินผ่านมานี้ เดฟก็เล่าว่า “เจอชาวบ้าน ส่วนมากก็มีให้กำลังใจตามรายทาง แต่ก็มีส่วนน้อยที่มาแสดงพฤติกรรม บางครั้งก็มาสาดไล่ บางคนก็ชูนิ้วกลางให้ ก็มีหลายแบบ แต่เราก็เดินต่อ ไม่หมดกำลังใจ”
ลุงธร อายุ 63 ปี
ในขบวนเดินทะลุฟ้า มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่อายุหลากหลาย ซึ่งลุงธร วัย 63 ปี แม้จะมีอายุแล้ว แต่ก็บอกกับเราว่า เขาตั้งใจมาจากดอนเมือง กรุงเทพฯ ขับรถตามมาสระบุรี เพื่อมาร่วมเดิน “ตอนแรกเราปวดฟัน มาไม่ไหว แต่เดินวันนี้วันเดียว เพราะพรุ่งนี้นัดหมอฟัน และมะรืนจะมาใหม่ พร้อมกับพวก 3-4 คน เรานัดกันไว้แล้ว ว่าเราจะมาเติมขบวนด้วยกัน”
“ผมอยากมาช่วยเขา เพราะว่าพวกเด็กๆ เขาทำงานตรงนี้ เขาเหนื่อยเยอะ เราเดินแค่นี้กระจอกมาก นี่ดูไมค์ (ภาณุพงศ์) เดิน เพนกวิน (พริษฐ์) เองก็ติดคุก เขาลำบากกว่าเรามาก ถ้านอนดูอยู่บ้านมันเครียด เราต้องมาเอง อยากมาช่วยพวกลูกๆ หลานๆ เพราะว่าเขาลงทุน เดินแค่ไหนไหวก็ไหว ถ้าเราเดินไม่ไหว เราก็ขับรถกลับบ้าน” ลุงธรบอก
ลุงธรยังมองว่า การเดิน มันทำให้สื่อ และหลายๆ คนเห็นว่าเรามีการประท้วง “และพี่น้อง 4 คนที่อยู่ในเรือนจำก็ได้เห็นว่า คนข้างนอกไม่ได้นิ่งนอนใจ และยังเคลื่อนไหว เพราะทั้ง 4 คนเขาลำบาก และเสียสละกว่าเราเยอะแยะ ของลุงสู้มาตั้งแต่สมัยคนเสื้อแดง เราไม่มีปัญญาสู้เหมือนน้องๆ หนูๆ แบบนี้ พวกนี้คือมาปลุกชีวิตให้เราสู้ขึ้นมาใหม่ เพราะเราสู้มาเรารู้อยู่แล้วว่ามันยากเย็น”
แม้การเดินนี้ จะมีประชาชน คนผ่านไปผ่านมาสนใจ เราก็ถามคุณลุงว่า แต่ภาครัฐ หรือคนที่เราเรียกร้องจริงๆ นั้นยังนิ่งเฉย ไม่ตอบสนองอยู่ “เขาไม่ฟังเราอยู่แล้ว ทีนี้ว่า มันอยู่ที่ว่าคนจะออกมาเยอะแค่ไหน แต่ว่าลุงมองว่า ระบบนี้ไม่มีทางอยู่ได้ในโลกนี้ มันจะช้าหรือเร็วก็เท่านั้นเอง ถ้าคนออกมาเยอะ เราก็อาจจะเปลี่ยนแปลงเร็ว แต่ถ้าน้อย ก็อาจจะช้าหน่อย แต่ว่าลุงมองว่าชนะทุกนาที เราก็สู้ของเราอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ลุงก็ออกมาสู้เรื่อยๆ อยู่แล้ว จริงๆ ลุงอยู่สบายแล้ว แต่เราก็ยังไม่สบายใจ ต้องออกมา ซึ่งชั่วโมงนี้ กับเมื่อ 4-5 เดือนที่แล้ว การพูดของเราก็ต่างกันไปเยอะแยะแล้ว เราก็สู้ต่อไป ไหวไม่ไหว ก็ค่อยว่ากัน”
สายชล อายุ 49 ปี
ธง ป้าย สัญลักษณ์ต่างๆ ก็เป็นหนึ่งสิ่งที่ผู้เดินขบวนนี้ ถือเพื่อแสดงข้อเรียกร้อง และประเด็นต่างๆ ซึ่งพี่สายชล ก็เป็นคนหนึ่งที่นำกระดานไวท์บอร์ดเล็กๆ ติดตัวมา และเขียนข้อความต่างๆ พร้อมชูไปด้วยระหว่างเดิน
“ผมมาจากลพบุรี มาเดินได้ 2 วันแล้ว มาร่วมเดินเพราะมาให้กำลังใจกับน้องๆ หลานๆ ชื่นชมในการต่อสู้ เลยทนไม่ได้ แต่เรามาไม่ได้ทุกวัน เพราะติดภารกิจ ลูกยังเรียนหนังสือ เราเลยอาศัยวันหยุดมาเดินด้วย ก็จะมาให้ได้ทุกวันหยุด จนกว่าเขาจะถึงที่กรุงเทพฯ” พี่สายชลเล่า พร้อมเสริมว่า เส้นทางที่ผ่านมา ก็มีการตอบรับที่ดี คนที่ผ่านไป ผ่านมาก็ทักทาย แม้ว่าจะมีบ้างคนที่เห็นต่าง แต่ก็เป็นส่วนน้อย
“โดยส่วนตัวคิดว่าการเดินนี้มีผล เพราะว่าเราอยู่กับถนนเส้นใหญ่ แน่นอนว่ามีคนผ่านไปผ่านมาเยอะ การได้ทำอะไรบ้าง อย่างน้อยอะไรที่มันเคลื่อนไหว มันก็แปลว่าเราไม่ได้หยุด และเป็นการเคลื่อนที่สำคัญ ถึงคนจะไม่มากเท่าไหร่ แต่เป้าหมายชัดเจน และเป็นอะไรที่ดูทรงคุณค่า และมีพลังอยู่ในตัว เหมือนเข็ม อันเล็ก แต่มีอานุภาพ”
“เราเดินไป ก็พยายามบอกให้คนรู้ในประเด็น ข้อเรียกร้องต่างๆ สำหรับคนไม่รู้ ก็คือไม่รู้ สำหรับเรา เรารู้ว่ามันคือรัฐพันลึก (การปกครองแบบรัฐซ้อนรัฐ ที่มีการแก่งแย่งอำนาจ มีโครงสร้างผลประโยชน์ – ผู้เขียน) ที่พัวพันกันหลายชั้น และซับซ้อน คิดว่าเวลาจะทำให้คนส่วนใหญ่ได้รู้ เมื่อคนส่วนใหญ่รู้ นั่นคือสิ่งที่น่ากลัวสำหรับรัฐพันลึก เราต้องการคนส่วนใหญรู้แล้วลุก ตอนนี้เราก็คือทำให้เขารู้ และรอวันให้เขาลุกเท่านั้นเอง”
พรทิพย์ 47 ปี
ความตั้งใจอยากมาเติมขบวน คือเหตุผลที่หลายคนเข้าร่วมการเดินทะลุฟ้า เช่นเดียวกับ พี่พรทิพย์ วัย 47 ปี ที่บอกว่าตั้งใจมาจากกรุงเทพฯ “เราเห็นข่าวการเดินทะลุฟ้า แต่ไม่มีเวลา พอวันนี้ว่างก็เลยตั้งใจมา อยากมาเติมจำนวนคนเข้าร่วมของขบวน”
“พี่มองว่า การเดินส่วนหนึ่งก็คือมันเป็นยุทธวิธีเรียกร้องให้คนมาสนใจ และเป็นช่องทางในการสื่อสารประเด็นที่เรากำลังพูดถึงด้วย” ซึ่งพี่พรทิพย์ก็บอกว่า ตนเองเห็นด้วยกับ 3 ข้อเรียกร้องของขบวนนี้ “สิ่งที่การเดินทะลุฟ้ากำลังเรียกร้องพี่เห็นด้วยนะ เพราะส่วนนึงมันไม่ใช่แค่คนอื่นที่ถูกกระทำ ในอนาคตมันอาจจะเป็นเราที่ถูกกระทำก็ได้ ซึ่งเราไม่รู้นะ”
“ถ้าเราแก้เรื่องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนได้ อันนี้ก็จะปลดล็อกบางอย่างได้ ในทางเดียวกันข้อเรียกร้องอื่นๆ อย่างปล่อยเพื่อนเรา ก็ต้องให้สิทธิกับเขาทั้ง 4 คนได้ออกมาสู้ตามกฎหมายอย่างยุติธรรม และยกเลิก 112 พี่คิดว่า มันก็เป็นสิ่งที่ต้องกลับมาคุยกันใหม่ เพราะถ้าใครโดนมันก็ไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว”
ถึงอย่างนั้น พี่พรทิพย์ก็มองว่า การต่อสู้ในครั้งนี้ ต้องใช้เวลา และเราต้องอดทน “พี่คิดว่าการที่เราทำอยู่ มันเป็นเรื่องที่ใหญ่ มันต้องใช้เวลา และเราก็ต้องอดทนที่จะทำยังไง เราจะไม่หลุดจากขบวนไป พี่ว่านี่เป็นประเด็นที่สำคัญ ไม่งั้นทุกอย่างมันจะกลับไปที่ 0 ใหม่ หรืออาจจะกลับไปติดลบกว่าเดิมก็ได้”
ดรีม อายุ 19 ปี
พ่อ แม่ ลูก ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราเห็นในขบวนเดินทะลุฟ้า ที่หลายครอบครัว ตั้งใจมาเพื่อเดินร่วมกัน โดย ดรีม วัย 19 ปี ก็มาเดินทะลุฟ้าทั้งครอบครัว กับ แม่ น้องชาย โดยมีพ่อ เป็นหนึ่งในการ์ดที่ดูแลเส้นทางของขบวนด้วย
เธอบอกว่า ตอนนี้มันมีความยุติธรรมเกิ
.
สำหรับการเคลื่อนไหว เธอมองว่า “อันดับแรกก็อยากให้หลายๆ คนออกมาเยอะๆ กว่านี้ เพราะที่เห็นหลายๆ คนยังไม่ค่อยตื่นตัวกับสิ่ง